“เจ้ากินเองได้หรือไม่ ? กินช้า ๆ ล่ะ อีกประเดี๋ยวข้าจะมาเก็บจาน ! ” หลินเว่ยเว่ยหันมามองเจียงโม่หาน “ไปเถิด ท่านแม่ น้าเฝิงและคนอื่นกำลังรอเราอยู่ ! ”
ขณะมองตามแผ่นหลังที่เปี่ยมไปด้วยพลังของหลินเว่ยเว่ย เจียงโม่หานก็จงใจลดฝีเท้าให้ช้าลง หลังรอให้นางเดินออกจากประตูแล้ว เขาก็หันมามองหลีชิงอีกครั้ง “เจ้าเป็นคนของตระกูลหลีแห่งหลิงหยางใช่หรือไม่ ? ”
ทันใดนั้นหลีชิงที่กำลังนอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงก็ขยำขนมไหว้พระจันทร์เละคามือ สายตาอันเฉียบคมหันมาจับจ้องที่เจียงโม่หาน ส่วนมือซ้ายก็ขยับหากระบี่ที่อยู่ข้างหมอน เขาพยายามแสร้งทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ตระกูลหลีแห่งหลิงหยางสิ้นนามไปนานแล้ว เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้น ? เพราะข้าแซ่หลีใช่หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ตระกูลหลีแห่งหลิงหยางชอบช่วยเหลือผู้อื่น ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ตลอดทั้งภาคเหนือมีผู้ใดไม่เคยได้ยินบ้าง แต่สวรรค์ช่างไร้เมตตา คืนหนึ่งเมื่อสิบสองปีก่อนทั้งตระกูลถูกฆ่าล้าง ไฟลุกโหมนานถึงสามวันสามคืนติด คนในตระกูลหลีร้อยกว่าชีวิตต้องมีจุดจบอย่างน่าอนาถ…”
หลีชิงกำหมัดแน่นแต่ก็ยังแสร้งทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาถอนหายใจ “ถูกต้อง เพราะสวรรค์ไร้เมตตา คนดีจึงทำดีไม่ได้ดี ! ”
“ได้ยินว่าบุตรสาวคนเล็กอายุสองขวบกว่าของตระกูลหลีโดนลักพาตัวไปตอนที่แอบออกไปด้านนอกกับพี่ชายก่อนที่ตระกูลจะโดนกวาดล้างประมาณสองถึงสามวัน…มองจากเรื่องนี้แล้วตระกูลหลีน่าจะยังหลงเหลือผู้สืบทอดอยู่ ถ้าลองคิดให้ดีแล้วบุตรสาวคนเล็กของตระกูลหลีก็น่าจะมีอายุประมาณบุตรสาวคนรองของตระกูลหลิน…” เจียงโม่หานเหลือบมองท่าทีของหลีชิง
หลีชิงรีบเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมายังเจียงโม่หาน จากนั้นก็เค้นถามว่า “บัณฑิตเจียงดูจะรู้เรื่องในยุทธภพมากทีเดียว ! เจ้าพูดถึงเรื่องพวกนี้เพื่อสิ่งใด ? ”
เจียงโม่หานทำเหมือนไม่เห็นท่าทีหวาดระแวงของอีกฝ่ายและยังคงกล่าวต่อไป “ลือกันว่าตระกูลหลีถูกศัตรูฆ่าล้างตระกูล กล่าวกันว่าตอนนั้นตระกูลหลีไปขวางผลประโยชน์ของใครบางคนจึงถูกสังหาร…น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าทายาทคนสุดท้ายของตระกูลหลีอยู่ที่ใด หากสตรีผู้อ่อนแอรู้ฐานะของตนแล้ว ตระกูลหลีก็คงได้มีโอกาสชำระแค้น ! ”
“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบัณฑิตเจียงเช่นไร ? ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าบัณฑิตเจียงเป็นปัญญาชนคนหนึ่ง เหตุใดจึงสนใจเรื่องในยุทธภพถึงเพียงนี้ ? ดูจากอายุของเจ้าแล้ว ไม่เหมือนคนที่จะเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าล้างตระกูลหลีได้…หรือว่า…บัณฑิตเจียงกับตระกูลหลีมีสัญญาหมั้นหมายต่อกัน ? ” หลีชิงมองสำรวจตัวอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่ในความทรงจำของเขาคือตระกูลไม่เคยมีการหมั้นหมาย…อะไรแบบนี้มาก่อน !
เจียงโม่หานยังกล่าวต่อ “รัชสมัยต้าชิงปีที่แปดสิบหก เมืองจงโจวไขคดีการลักพาตัวเด็กครั้งใหญ่และสามารถช่วยเด็กผู้ชายและหญิงรวมกันจำนวน 46 คน ซึ่ง 32 คนในนั้นถูกครอบครัวมารับตัวกลับไป ส่วนเด็กที่เหลืออีก 14 คน อาจเพราะอายุน้อยเกินไปหรือเพราะสาเหตุอื่นจึงหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดไม่เจอ…”
หลีชิงไม่สนใจความเจ็บจากบาดแผลที่หน้าอกอีกต่อไป เขารีบลุกมานั่งตัวตรงแล้วถามว่า “แล้วเด็กเหล่านั้นเป็นอย่างไร ? ถูกจัดการให้ไปอยู่ที่ไหน ? ”
“บางคนถูกครอบครัวอื่นรับเลี้ยง แต่ส่วนใหญ่จะถูกส่งตัวไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ! ” เจียงโม่หานมองใบหน้าเคร่งเครียดของหลีชิง ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่รู้จักเก็บซ่อนอารมณ์ ไม่เหมือนตอนที่ติดตามเขาในชาติก่อนที่มักทำหน้าตาไร้อารมณ์ตลอดเวลา !
“บัณฑิตน้อย เจ้ามัวทำอันใดอยู่ ? ถ้ายังไม่กลับไปอีก อาหารที่เจ้าชอบจะถูกพวกเรากินหมดแล้วนะ เจ้าจะได้แต่เลียก้นจาน รู้หรือไม่ ! ” ทันใดนั้นเสียงของหลินเว่ยเว่ยก็ดังมาจากบ้านข้าง ๆ
พอเจียงโม่หานออกไปแล้ว หลีชิงก็เอนตัวพิงหมอนอีกครั้ง เมื่อหลายปีก่อนมีสงครามเกิดขึ้นทางเหนือ ชาวบ้านส่วนใหญ่พลัดถิ่นที่อยู่อาศัย จากสิบคนเหลือเพียงหนึ่ง แม้จะเป็นหนุ่มวัยฉกรรจ์ก็ไม่อาจรอดจากสงคราม แล้วนับประสาอันใดกับเด็กสาวคนหนึ่ง ?
น้องเล็ก ! เจ้าตัวอ้วนกลมน่ารักของพี่ น้องสาวผู้มีรอยยิ้มอันงดงาม เพราะความประมาทของเขาจึงทำให้นางหายไป ! แม้ท่านพ่อท่านแม่จะไม่ได้ตำหนิเขา แต่เขาก็ลงโทษตัวเองโดยการนั่งคุกเข่าที่หอบรรพชนและคัดลอกคัมภีร์เพื่อหวังจะให้วิญญาณบรรพบุรุษช่วยพาน้องสาวกลับมา
อย่างไรก็ตามน้องสาวไม่ได้กลับมาอย่างที่หวัง ในบ้านยังเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นอีก วันที่โดนฆ่าล้างตระกูล เขาคุกเข่าจนเหนื่อยจึงเผลอหลับในหอบรรพชน ไม่รู้ว่าตัวเองกลิ้งไปอยู่ใต้แท่นบูชาตั้งแต่เมื่อใด บางทีอาจเพราะได้รับพรจากบรรพบุรุษจึงทำให้เขารอดมาได้
หลังตื่นขึ้นมาเพราะความหนาวเหน็บในตอนกลางดึก เขาก็ขยี้ตาแล้วคลานออกจากใต้แท่นบูชา ทว่าบรรยากาศกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต เมื่อเดินออกจากหอบรรพชนแล้วบนพื้นก็เต็มไปด้วยซากศพ ในแววตาเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน…สายเลือดโดยตรงของตระกูลหลีกว่า 17 ชีวิต ลูกศิษย์กว่า 50 คน บ่าวรับใช้อีก 100 กว่าชีวิต…ถูกสังหารสิ้นในราตรีเดียว
ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันพี่ใหญ่ทุบตีเขาหนึ่งยกเพราะเขาแอบออกไปเดินเล่นแล้วไม่ได้ปิดประตูให้ดีจนทำให้น้องสาวหายไป พี่สาวคนรองก็กำลังจะเป็นเจ้าสาวได้ออกเรือนในเดือนหน้า มารดาที่แอบร้องไห้เงียบ ๆ เพราะไม่อยากโทษเขาและบิดาที่ไม่กลัวตาย บนร่างกายมีบาดแผลนับไม่ถ้วนแต่ก็ยังปกป้องภรรยาและบุตร…
ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่หญิงหรือแม้แต่ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาไม่นานซึ่งคอยติดตามเพื่อขอเป็นศิษย์น้อง…ตายหมด ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ! เรือนที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจึงหลงเหลือไว้เพียงค่ำคืนแห่งการนองเลือด !
เรื่องไฟไหม้นั้นเป็นฝีมือเขาทำเอง เพราะไม่รู้ว่าศัตรูเป็นใคร ยังซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ หรือไม่…ใช่ว่าเขากลัวตายแต่เพราะต้องการรักษาชีวิตนี้ไว้เพื่อตามหาฆาตกรที่สังหารบิดามารดา พี่ชายพี่สาว ศิษย์พี่ศิษย์น้องและคนอื่น ๆ จากนั้นก็แก้แค้นแทนพวกเขา !
ดูจากห้องหนังสือที่โดนรื้อค้นและห้องนอนของบิดามารดาที่โดนค้นและชิงสมบัติไปแล้ว น่าจะไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว ! ทว่าสกุลหลีมีสมบัติล้ำค่าอันใดให้ควรค่าแก่การโดนฆ่าล้างตระกูล ?
เขาไม่สามารถฝังศพให้บิดามารดาได้และยังกลัวว่าคนร้ายจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการแล้วหวนกลับมาระบายกับศพอีก เขาจึงจุดไฟเพื่อให้มันแผดเผาทำลายทุกอย่างในตระกูลหลีจนมอดไหม้
ช่วงหลายปีมานี้ เขาเพียรฝึกวรยุทธและตามสืบหาตัวคนร้ายที่ฆ่าล้างตระกูลหลีมาโดยตลอด หลังจากนั้น 12 ปีผ่านมา ในที่สุดเขาก็หาร่องรอยบางอย่างพบ แต่เสียดายที่ศัตรูมีอำนาจมากเกินไป ข้างกายมีองครักษ์ฝีมือดีคอยติดตาม เขาไม่เพียงลอบสังหารไม่สำเร็จแต่ยังเกือบเอาชีวิตไปทิ้งด้วย ถ้าไม่ได้กู่เหนียงที่ยิ้มเก่งมาช่วยไว้ เขาก็คง…
เขาสืบจนรู้แล้วว่าศัตรูเป็นใครแต่ยังไม่รู้ข่าวเกี่ยวกับน้องสาวเลย ดังนั้นจึงพักรักษาตัวในหมู่บ้านนี้ได้อย่างไร้กังวล สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือรักษาบาดแผลแล้วค่อยวางแผนขั้นต่อไป !
หลีชิงเทอาหารและซุปลงในถ้วยข้าว จากนั้นก็ขยับปากเคี้ยวอย่างจริงจัง…ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ธัญพืชห้าชนิด…อร่อยเหมือนที่มารดาทำไม่มีผิด ! ในช่วงสิบกว่าปีมานี้ เขาสัมผัสถึงรสชาติขนมไหว้พระจันทร์ได้ในความฝันเท่านั้น ขณะลิ้มรสชาติอาหาร แล้วหลีชิงก็ร้องไห้ออกมา
สาวน้อยบ้านข้าง ๆ บอกว่านี่คือขนมที่นางทำเอง นางเป็นเหมือนน้องสาวของเขาไม่มีผิด นางมีดวงตาเปื้อนยิ้มเหมือนกัน เวลาไม่ยิ้มตาจะกลมโตสีนิลเป็นประกาย แต่พอยิ้มแล้วก็จะเป็นเสี้ยวพระจันทร์เล็ก ๆ น่ารัก เขาจึงตั้งฉายาให้น้องสาวเป็นการส่วนตัวว่า ‘เยว่หยาเอ๋อร์’…ไม่รู้ว่า…หากไปถามนางว่าเป็นน้องสาวของตนหรือไม่ เขาจะโดนนางทุบตีหรือเปล่า ?
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก ! ’ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น หลีชิงรีบคว้ากระบี่ข้างกายขึ้นมา จากนั้นก็ฝืนลุกจากเตียงไปซ่อนยังหลังบานประตู สาวน้อยกล่าวไว้ว่าเจ้าของบ้านหลังนี้ย้ายไปอยู่ในเมืองแล้ว คนในหมู่บ้านต่างก็รับรู้ว่าที่นี่เป็นบ้างร้าง ดังนั้น…คนที่มาเคาะประตูจะต้องไม่ใช่คนในหมู่บ้านแน่นอน…
ตอนต่อไป