ตอนที่ 137 แฟนคลับของบัณฑิตน้อย
หลินเฉียงเอ๋อร์และหลินจื่อเหยียนได้แต่มองตามแผ่นหลังของหลินเว่ยเว่ยอย่างเงียบ ๆ…พวกเราไม่มีทางเทียบเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ได้เลย ! ต่อจากนั้นทั้งสองก็ก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าวสาลีต่อไป
ท่าทางจับเคียวของเจียงโม่หานทำให้คนมองอึดอัดยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะเขาค่อย ๆ เอื้อมมือไปจับข้าวสาลีแล้วใช้เคียวเกี่ยวมันอย่างระมัดระวัง…
ตอนหลินเว่ยเว่ยเกี่ยวจนเดินกลับมาอีกช่องหนึ่งแล้วก็พบว่าบัณฑิตหนุ่มเพิ่งเกี่ยวข้าวได้แค่ 5-6 รวงเท่านั้น นางจึงหัวเราะแล้วพูดหยอกล้อไปว่า “บัณฑิตน้อย เจ้ากำลังทำงานเย็บปักอยู่หรือ ? ”
หลิวต้าหยาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลกำลังเกี่ยวข้าวไปพลางแอบมองเจียงโม่หานไปด้วย นางจึงอดไม่ได้ที่จะทวงความยุติธรรมแทนบัณฑิตเจียง “มือของบัณฑิตเจียงมีไว้จับพู่กัน ไหนเลยจะเคยทำงานไร่นา ? เขามาช่วยเจ้าได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว เจ้ายังกล้าเยาะเย้ยเขาอีกหรือ ? ”
“ไอหยา ! บัณฑิตน้อย มีคนออกหน้าแทนเจ้าด้วยล่ะ ! ” ใบหน้าของหลินเว่ยเว่ยปรากฎรอยยิ้มเบาบาง
ส่วนใบหน้าของเจียงโม่หานดูไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงตั้งใจเกี่ยวข้าวสาลี ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าข้าวสาลีในมือเขาเป็นบทความที่เขียนขึ้นมาด้วยความยากลำบากจนคุ้มค่าที่จะกลั่นกรองและอภิปรายกันอย่างละเอียด
แต่ใบหน้าของหลิวต้าหยากลับแดงจนถึงต้นคอ นางรีบหาเศษดินแถวนั้นแล้วปามาทางตัวหลินเว่ยเว่ยทันที “ถ้ายังพูดเหลวไหลอีก ข้าจะฉีกปากเจ้า ! ”
ด้วยความไม่คาดคิด เศษดินเหล่านั้นไม่ไปในแนวเดียวหรือจะเรียกได้ว่าพวกมันส่วนใหญ่กระจายไปตกใส่ร่างกายของเจียงโม่หานนั่นเอง หลิวต้าหยาจึงได้แต่ตกตะลึง
เจียงโม่หานสะบัดกายเพื่อให้เศษดินหลุดออกแล้วเกี่ยวข้าวสาลีต่อโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองแม้แต่น้อย
ขณะมองแผ่นหลังของเขา หลิวต้าหยาก็เผยแววตาแห่งความผิดหวังอย่างลึกซึ้งออกมา…บัณฑิตเจียงยังดูสูงส่งและไม่สนผู้ใด ราวกับว่า…ไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตาของเขาทั้งสิ้น
“ตอนเขาอยู่บ้าน…ก็เป็นเช่นนี้หรือ ? ” หลิวต้าหยาถามด้วยเสียงแผ่วเบา
หลินเว่ยเว่ยยกแขนเสื้อปาดเหงื่อ จากนั้นก็อธิบายแทนบัณฑิตหนุ่มว่า “เขาน่ะ ! แข็งนอกอ่อนใน อ่านตำรามากไปหน่อยจึงไม่รู้ว่าควรเข้ากับผู้คนเช่นไร แต่พอสนิทกันแล้วประเดี๋ยวก็ดีเอง ! ”
หลิวต้าหยายืนนิ่งขณะมองแผ่นหลังของเขา หลังจากนั้นพักใหญ่นางก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วถอนหายใจออกมา “ข้ารู้สึกเหมือนบัณฑิตเจียงเป็นเซียนที่ลงมาจากฟากฟ้า ส่วนข้าและคนธรรมดาทั้งหลายพยายามไขว่คว้าแต่ไปไม่ถึงเขาเสียที…”
“จริง ! วันแรกที่ข้าเจอเขาคือตอนกลางคืน ข้าก็เข้าใจผิดว่าเขาเป็นเทพเซียนที่ลงมาจากวังจันทรา ! ” หลินเว่ยเว่ยย่อตัวแล้วเกี่ยวข้าวสาลีไปพลางกล่าวไปด้วย “ตอนนั้นข้าถึงขั้นตกตะลึงไปเลย แต่บัณฑิตน้อยกลับโมโหจนแทบจะไล่ข้าออกจากบ้าน ! ”
“วันแรกหรือ ? เจ้าหมายถึงตอนที่เจ้าได้สติขึ้นมาแล้วเห็นเขาครั้งแรกใช่หรือไม่ ? บัณฑิตเจียง…สนิทด้วยยากถึงเพียงนี้ แล้วทุกวันนี้พวกเจ้าคบหากันได้อย่างไร ? ” หลิวต้าหยาถามด้วยความสงสัย
“จะคบหาได้อย่างไร ? ก็ต้องหน้าหนาเข้าไว้น่ะสิ ! ” หลินเฉียงเอ๋อร์เค้นเสียงออกมาแล้วแสดงท่าทางดูถูกเหยียดหยาม
หลินเว่ยเว่ยยิ้มให้พี่สาวแล้วกล่าวว่า “เจ้าเองก็ทำได้ ! จะอิจฉาที่ข้าสนิทกับบัณฑิตน้อยไปไย ? ”
“ข้าไม่เหมือนเจ้านี่ ไม่รู้จักเจียมตัว คิดจะเป็นคางคกกินเนื้อห่านฟ้าให้ได้ ! ” พี่สาวคนโตก็เคยเป็น ‘แฟนคลับ’ ของบัณฑิตเจียง ทว่าตั้งแต่บัณฑิตเจียง ‘ปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ’ มาคบหากับน้องรองผู้โง่เขลาแล้ว นางก็ไม่มีความคิดเช่นนั้นอีก
ผู้ที่มี ‘กลิ่นสาบ’ คล้ายน้องรองจะมีสิ่งใดดี ? คนหนึ่งปากร้าย ส่วนอีกคนก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา สุดท้ายก็ต้องมีชีวิตแบบ…หมาขนดำบนเนินเขา1 ที่น้องสามเคยพูดถึง ! !
หลิวต้าหยาเป็นหนึ่งใน ‘แฟนคลับ’ ของบัณฑิตเจียง แม้จะรู้สึกปวดใจ แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าพอลับหลังผู้คนแล้ว บัณฑิตเจียงจะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร จะเป็นเหมือนที่หลินเว่ยเว่ยบอกหรือไม่ว่าแม้เย่อหยิ่งแต่ก็ไม่ได้เมินผู้อื่นไปเสียทีเดียว ?
“หลินเว่ยเว่ย คนในหมู่บ้านต่างกล่าวว่าพวกเจ้าสองบ้านมีสัญญาหมั้นหมายต่อกันแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าก็จะแต่งเป็นภรรยาบัณฑิตเจียง เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ” ในน้ำเสียงของหลิวต้าหยาเต็มไปด้วยความหึงหวง เทพบุตรเดินดินของหมู่บ้านกลับถูกหญิงสาวผู้โง่เขลาคนหนึ่งครอบครอง นางไม่ยอมหรอก !
“คำพูดเน่า ๆ ของพวกป้าแก่ ๆ ในหมู่บ้านเจ้าก็เชื่อหรือ ? ต้าหยา เจ้าไปฟังมาจากที่ใด ? ข้าจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้ ! ” แม้หลินเว่ยเว่ยจะชื่นชมในรูปโฉมของบัณฑิตหนุ่มแต่จะฝืนมัดตัวอีกฝ่ายไว้กับตนเพียงเพราะความคุ้นเคยไม่ได้…หากเรื่องแพร่ออกไปแล้ว หลังจากที่บัณฑิตหนุ่มสอบติดจะโดนผู้มีเจตนาร้ายนำไปใช้เป็นเครื่องมือโจมตีจนแย่แน่ !
หลิวต้าหยาได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก…ว่าแล้ว ! เป็นแค่ข่าวลือทั้งสิ้น ! บัณฑิตเจียงเป็นเหมือนเทพเซียน แล้วเขาจะโดนหลินเว่ยเว่ยผู้โง่เขลาลากไปตกนรกได้อย่างไร ?
หากเป็นหลานสาวของผู้ใหญ่บ้านหรือบุตรสาวคนเล็กของเศรษฐีหวังก็ว่าไปอย่าง คิดดูว่าเจ้าเป็นแค่เด็กโง่เขลาคนหนึ่ง ในสมัยก่อนยังยากจนแทบไม่มีจะกิน ในบ้านยังมีมารดาที่ป่วยจนต้องกินยาตลอดเวลาอีกด้วย คิดหน่อยเถิด…เอาเถิด ตอนนี้ถือว่าดูดีใช้ได้ แต่ถ้าเทียบกับบัณฑิตเจียงแล้วยังถือว่าห่างชั้นมากโข สาวน้อยในหมู่บ้านก็ไม่ด้อยไปกว่านางเลย ไม่ว่าอย่างไรก็เหนือกว่าหลินเว่ยเว่ยจอมโง่เขลา !
ในสายตาของเด็กสาวในหมู่บ้าน เห็นเจียงโม่หานเปรียบดั่งจันทราที่ลอยเด่นอยู่บนนภามาโดยตลอด ได้แต่มองทว่าจับต้องไม่ได้ วันนี้ดวงจันทร์ที่สว่างสดใสกำลังลอยอยู่เหนือหลังคาบ้านตระกูลหลินและยังเป็นเหมือนพวกนางที่ถือเคียวเกี่ยวข้าวสาลี
สาวน้อยทั้งหมดในหมู่บ้านหรือแม้แต่หลานสาวของผู้ใหญ่บ้านที่ทำใจให้นางลงมาทำนาไม่ได้ก็ยังถือเคียวเกี่ยวข้าวเป็นครั้งแรกพร้อมลงมาเก็บเกี่ยวผลผลิตในแปลงนาด้วย
ผ่านไปไม่นานหลินเฉียงเอ๋อร์ก็พบว่าที่ดินของบ้านตนที่อยู่ด้านในสุดและอยู่ใกล้ภูเขาที่สุดมีสาวน้อยคนแล้วคนเล่าหาเหตุผลมาพูดกับนาง บางคนนั้นนางไม่อยากจะสนใจสักเท่าไรในเวลาปกติ แต่ก็ยังเลือกที่จะฝืนใจแล้วเข้ามาสนทนากับนาง
วังม่านเหนียง หลานสาวคนเล็กของผู้ใหญ่บ้านเกี่ยวข้าวสาลีเป็นหรือ ? ยังกล้าบอกว่าจะมาช่วยพวกเรา ถ้าเผลอทำมือตนเองบาดเจ็บแล้วใครจะรับผิดชอบ ?
ซิ่วเอ๋อร์ ที่นาของบ้านเจ้าใหญ่กว่าพวกเรามาก บ้านเจ้ายังเกี่ยวไม่เสร็จเลย บ้านเราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า ! กลับไปเสียเถิด ไม่เห็นลูกตาของมารดาเจ้าหรือ ? มันจะถลนออกมาแล้ว
คุณหนูหวังใส่อาภรณ์และรองเท้าปักแสนงดงาม ปิ่นปักผมพลิ้วไหว นี่ท่านยกน้ำชามาให้พวกเราหรือ ? บ้านเราไม่คุ้นชินกับการดื่มชาหรอก ทำถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวดมาแทนเถิด !
หลินเฉียงเอ๋อร์กลอกตามองบน สาวน้อยเหล่านี้ขยันและใจดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร ? สุดท้ายก็ไม่ได้มาเพราะอยากเห็นบัณฑิตเจียงหรอกหรือ !
“พี่ใหญ่ร้อนหรือไม่ ? ดื่มชาแล้วพักผ่อนก่อนเถิด นี่คือชาชั้นดีที่พ่อข้าซื้อมาจากในเมืองเชียวนะ ! ” หวังอันชิงบุตรสาวคนสุดท้องของเศรษฐีหวังกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาฉบับสาวงาม
แต่เวลาเจ้าพูดกับข้า เหตุใดสายตาจึงไปอยู่ที่ตัวบัณฑิตเจียงเล่า !
“บัณฑิตน้อย พักหน่อยเถิด ดูใบหน้าอันงดงามของเจ้าสิ เป็นสีแดงก่ำหมดแล้ว” หลินเว่ยเว่ยยืดตัวตรง จากนั้นก็เริ่มยืดเส้นยืดสาย หลังปาดเหงื่อเสร็จแล้ว นางก็เดินตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่
เมื่อเห็นบัณฑิตเจียงวางเคียวลงแล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหา หวังอันชิงก็แอบดีใจ ใบหน้ามีสีแดงเรื่อ แล้วนางก็กล่าวด้วยความเขินอายว่า “บัณฑิตเจียง ดื่มชาแก้กระหายหน่อยเถิด…ข้าชงมาด้วยตนเองเลยนะ”
แต่เจียงโม่หานกลับมองผ่านตัวนางไปราวกับไม่เห็นน้ำชาในมือนางด้วย เขาเดินตรงไปหาหลินเว่ยเว่ยแล้ว ‘แย่ง’ กระบอกน้ำที่อีกฝ่ายเพิ่งเปิดฝา จากนั้นก็ยกขึ้นดื่มอย่างสบายอารมณ์
1 หมาขนดำ ( แรคคูน ) บนเนินเขา หมายถึง ทั้งสองคือประเภทเดียวกัน
ตอนต่อไป