“ถ้ารักความสะอาดเป็นพิเศษจนใกล้บ้าจะเรียกว่า ‘คลั่งความสะอาด ! ’ ส่วนคลั่งความสะอาดด้านความรู้สึกคือทนรับความสกปรกด้านความรู้สึกไม่ได้ ทั้งทางกายหรือทางความรู้สึกก็ไม่ได้…” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงยุคสมัยอันย่ำแย่ที่บุรุษสูงส่งสตรีต้อยต่ำ นางจึงมีรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมา
เจียงโม่หานมองนาง “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าคือ ‘หนึ่งภพหนึ่งชาติหนึ่งคู่ชีวิต’ ใช่หรือไม่ ! ”
“ใช่ หากจะพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือความหมายนี้เอง ทว่าถ้าพูดให้ฟังหยาบคายหน่อยก็คือรังเกียจบุรุษใจแคบ ขี้อิจฉา ไม่สนใจหลักความประพฤติอันดีงาม…ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีข้าวสารเพิ่มอีกหน่อยก็คิดจะรับอนุภรรยามาปรนนิบัติ จะมีบุรุษสักกี่คนที่ตรงตามมาตรฐานของข้า ? ” หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจ หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เดินลงจากเขา
เจียงโม่หานหยุดยืนเพื่อคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินลงเขาด้วยทางสายเดียวกัน
พวกชาวบ้านที่มุงดูกังหันวิดน้ำต่างขยิบตาและมุ่ยปากไปทางทั้งสองคน ดูสิ สองคนนี้กำลังจะมีข่าวดีกันหรือไม่ ? พวกเจ้าคนใดเคยเห็นบัณฑิตเจียงพูดจาสนิทสนมกับใครเช่นนี้หรือ ?
“ผิดคาดไปหมด ! เดิมทีคิดว่านางหนูรองเป็นคนตามตื้อบัณฑิตเจียง แต่ตอนนี้คงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ! ดูนั่นสิ นางหนูรองเพิ่งก้าวเท้าหน้า บัณฑิตเจียงก็ก้าวตามหลังแล้ว”
“ดูเถิด บัณฑิตเจียงเดินตามไปแล้ว แถมยังเริ่มชวนนางหนูรองคุยก่อนด้วย ! ที่แท้บัณฑิตเจียงผู้เย็นชาก็ชอบสตรีอย่างนางหนูรองนี่เอง ! ”
“เสี่ยวเว่ยแล้วทำไม ? นางเก่งจะตาย ? ล่าสัตว์บนเขา ทำนา ทำอาหารเก่งและยังทำการค้าขายกับคนในเมือง…บัณฑิตเจียงชอบอาหารฝีมือเสี่ยวเว่ยที่สุด ! ” ป้ากุ้ยฮวาจิ้มหน้าผากบุตรสาวของตน…เจ้ามีตรงไหนเทียบกับเสี่ยวเว่ยได้ ไม่ว่าการแต่งงานของบัณฑิตเจียงจะไปอยู่ที่ใครก็ไม่มีทางมาถึงเจ้าแน่นอน ตัดใจเสียเถิด !
“แต่งกับเสี่ยวเว่ยแล้วบัณฑิตเจียงก็ไม่ได้เสียหาย ! สอบซิ่วไฉต้องไปในเมือง พอสอบขุนนางต้องไปอยู่ในมณฑลที่ห่างไกลเป็นเวลานาน ถ้าอยากพัฒนาไปอีกขั้นก็ต้องไปที่เมืองหลวง…สตรีเช่นนางเฝิงที่ต้องเลี้ยงบุตรเพียงคนเดียวคิดจะสนับสนุนบัณฑิตเจียงนั้นเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก
พวกเจ้าดูตระกูลหลินในเวลานี้ ทั้งบ้านพึ่งพาเสี่ยวเว่ยคนเดียว นางหวงต้องดื่มยาสองเทียบทุกวัน ต้าฮว๋าต้องเรียนหนังสือในเมือง การที่บุตรสาวคนโตตั้งใจเรียนทอผ้ากับแม่ว่ายจื่อได้ก็ไม่ใช่เพราะผลงานของเสี่ยวเว่ยหรือ ถ้านางแต่งเข้าไปก็ถือเป็นการสนับสนุนบัณฑิตเจียง เขาไม่มีทางได้รับแรงกดดันแน่นอน ! ”
“เจ้าอย่าพูดเช่นนั้น บัณฑิตเจียงเป็นคนหยิ่งยโสจะแต่งกับนางหนูรองเพราะเรื่องนี้หรือ ? ทั้งความสามารถและรูปโฉม แม้แต่บุตรสาวของเศรษฐีหวังยังร้องโวยวายจะแต่งกับเขาเลย ดังนั้นบนตัวนางหนูรองต้องมีสิ่งใดที่พิเศษจนสามารถดึงดูดเขาได้แน่ ! ”
“พิเศษตรงไหน ? หยาบคายเป็นพิเศษหรือ ? หรือหน้าไม่อายเป็นพิเศษเล่า ? ” สาวน้อยคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา
“ดูท่าทางฉุนเฉียวของเจ้าสิ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดบัณฑิตเจียงจึงไม่ชอบเจ้า ! ”
…
ซัวถัวมองตามทิศทางที่ทั้งสองคนหายตัวไปพร้อมความเศร้าที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น…
หลินเว่ยเว่ยได้ยินเสียงฝีเท้าทางด้านหลัง นางจึงหันกลับไปมองแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ทำไม ? อยากคุยเรื่องมุมมองชีวิตคู่ของข้าต่อหรือ ? ”
เจียงโม่หานพูดปลอบโยนนางเล็กน้อย “เจ้า…ไม่ต้องมองโลกในแง่ร้ายถึงเพียงนั้นหรอก รอให้ผ่านไปอีกสองสามปี ข้าจะช่วยเลือกสามีที่ตรงกับใจให้เจ้าแน่นอน”
“เจ้าเลือกให้ข้า ? ” หลินเว่ยเว่ยชี้มาที่จมูกของตนแล้วแสดงความประหลาดใจออกมา หลังจากนั้นนางก็มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วกล่าวว่า “เจ้ามั่นใจว่าสายตาดีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนรักเดียวใจเดียวมากนะ”
“แน่นอน ! ” หากใครกล้านอกใจนางเด็กโง่ เขาจะฆ่าล้างตระกูลของมันแน่นอน ! !
“เช่นนั้นก็ได้ ! แต่ข้าไม่ขอสิ่งใดมากหรอก เอาตามมาตรฐานเช่นเจ้าก็พอแล้ว ได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยกลั้นเสียงหัวเราะแล้วทำท่าทางฝืนรับไว้
เจียงโม่หานเหลือบมอง “นี่เรียกว่าไม่ขอสิ่งใดมากหรือ ? เจ้า…คือ…ชอบข้าหรือ ? ” เจียงโม่หานพยายามละทิ้งความเขินอายภายในใจแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่คาดหวังอย่างอธิบายไม่ถูก
“ชอบสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยตอบอย่างมั่นใจ “เจ้ามีหน้าตาหล่อเหล่าราวเทพเซียน ใครเห็นแล้วจะไม่ชอบ ? ” อ้อ มีนิสัยเย่อหยิ่งที่ทำให้อดแกล้งแล้วแกล้งอีกไม่ได้ด้วย !
หลังได้ยินประโยคหลังแล้ว แววตาเปล่งประกายแห่งความสุขของเจียงโม่หานก็จางหายไปทันที ใบหน้าหล่อเหล่าไร้ซึ่งความรู้สึกใด “เจ้ามองคนแค่หน้าตาหรือ ? ”
“แน่นอน ข้าทำตามปรัชญาสามทัศน์1และประสาทสัมผัสทั้งห้า ! ” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงตัวร้ายในละครโทรทัศน์เหล่านั้น ขอแค่ดูดีก็ยังมีแฟนคลับจำนวนมาก
“แม้ชายผู้นั้นจะโหดเหี้ยม ใจดำ ฆ่าคนเป็นว่าเล่นก็ได้หรือ ? ” เจียงโม่หานนึกถึงตนเองในชาติก่อน
หลินเว่ยเว่ยหยุดยืนให้มั่นคงแล้วหันมาสบสายตาคู่นั้น นางคลี่ยิ้มและส่ายหน้า “สภาพอย่างเจ้าถ้ามีคนมาบอกว่าเป็นคนใจดำอำมหิต ทำทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด ! แต่ถ้าเจ้าเปลี่ยนเป็นเช่นนั้นจริงก็คงเพราะหมดหนทางให้เลือกเดินแล้ว ! ”
ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็หลบสายตา ในใจเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ใช่สิ คนที่ด่าเขาในชาติที่แล้วไม่เคยคิดถามว่าเหตุใดเขาจึงเปลี่ยนเป็นคนเช่นนั้น เขาเองก็เคยร่าเริงสดใส มีช่วงวัยหนุ่มแสนเร่าร้อน แต่โชคชะตาเล่นตลกกับชีวิต ทำให้เขาไม่ได้เดินบนเส้นทางปกติทั่วไป…
“เอาเถิด ! ใบหน้าของเจ้าให้เล่นบทตัวร้ายไม่ไหวหรอก ! ถึงอย่างไรก็ทำตัวดี ๆ ตั้งใจอ่านตำราและตั้งใจสอบขุนนางต่อไปเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่ราษฎร…ไป ไปดูคูน้ำของเราว่าเป็นเช่นไรดีกว่า ! ” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้เขาอย่างขี้เล่นและท่าทางขี้เล่นนั้นทำให้ความเศร้าที่เพิ่งผุดขึ้นมาในใจของเขาจางหายทันที
ไม่รู้จริง ๆ ว่าต้องเป็นครอบครัวเช่นไรถึงได้สร้างคนที่มองโลกในแง่ดี ร่าเริง จิตใจงามและมีนิสัยน่ารักเช่นนางได้ บางทีน่าจะเป็นสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและมีความสุขมากกระมัง ?
เจียงโม่หานมองไปยังแผ่นหลังของหญิงสาวตัวเล็กที่เดินไปข้างหน้าด้วยความสุขอย่างสงสารจับใจ…เมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ แล้วต้องเผชิญหน้ากับความแตกต่างขนานใหญ่ นางเอาชนะความกลัวในจิตใจหรือรักษาสภาพจิตใจให้ร่าเริงเบิกบานได้อย่างไร ?
“บัณฑิตน้อย เจ้ามองแผ่นหลังของข้าเช่นนี้ พวกผู้หญิงในหมู่บ้านจะสานต่อนิยายรักของเราอีกนะ ! ” หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มอย่างมีความสุขแล้วชี้ไปยังสาวน้อยสาวใหญ่ที่กำลังกระซิบนินทากันในที่ห่างไกลออกไป
ทันใดนั้นสีหน้าของเจียงโม่หานก็เย็นชาขึ้นแล้วเค้นเสียงพูด “ขี้ปากชาวบ้าน ไม่ต้องไปสนหรอก ! ”
“พี่รอง พี่รอง ! มีน้ำออกมาแล้ว น้ำเยอะมากเลย ! ” เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมรอบท่อไม้ไผ่เอาไว้ น้ำใสสะอาดจากแหล่งน้ำบนเขาไหลออกมาจากท่อไม้ไผ่จนมีน้ำอยู่ในคูจำนวนหนึ่งแล้ว มันเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
“ผู้ใหญ่บ้านพูดไว้ว่าให้รดที่นาของบ้านเจ้าก่อน ข้าจึงปิดคูน้ำทั้งสองด้านไว้แล้ว รอให้น้ำสูงอีกหน่อยค่อยขุดรูให้น้ำไหลเข้านา เจ้าจะได้ไม่ต้องแบกน้ำมารดข้าวโพดอีก ! ”
ช่วงหลายวันมานี้หลิวว่ายจื่อกระตือรือร้นมาก เขาเข้าไปส่งสินค้าในเมืองตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้น หลังจากเดินตรวจงานที่ท่าเรือรอบหนึ่งแล้วก็รีบกลับมาขุดคูน้ำ คูน้ำทั้งหมดบนที่นาของตระกูลหลินเกิดจากฝีมือของเขาและหลิวเอ้อร์ล่ายทั้งหมด คนในหมู่บ้านจึงหันมามองเขาใหม่และเข้าไปชมต่อหน้ามารดาว่ายจื่อว่าเขาก้าวหน้าขึ้นแล้ว !
1 ปรัชญาสามทัศน์ ได้แก่ ทัศนคติต่อชีวิต ทัศนคติต่อโลกและทัศนคติต่อคุณค่า
ตอนต่อไป