เมื่อก่อนตอนที่ตระกูลหลินขาดเสาหลักเหลือเพียงแม่ม่ายลูกติดและยังมีตัวถ่วงเป็นบุตรโง่เขลาอีกหนึ่งคน บุตรสาวคนโตของบ้านก็มีอายุ 15 ปี แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดเข้ามาพูดเรื่องการแต่งงานเลย
บุตรสาวคนโตของตระกูลหลินไม่ได้มีหน้าตาน่าเกลียดเพราะได้ยีนเด่นของบิดาและมารดา แม้ว่าบุตรชายและบุตรสาวทั้งสี่คนจะเทียบไม่ได้กับเจียงโม่หาน แต่ท่ามกลางเด็กในหมู่บ้าน พวกเขาก็ถือว่ามีหน้าตาระดับกลางถึงสูง
แม้หน้าตาและอุปนิสัยของบุตรสาวคนโตจะด้อยกว่าน้องสาว ทว่ายังไม่ใช่จุดสำคัญที่ชาวบ้านไม่เลือกนาง แต่มีเพียงเหตุผลข้อเดียว…เหตุผลใหญ่ที่สุดคือกังวลว่าพอแต่งนางเข้าบ้านแล้ว บุตรที่คลอดออกมาจะเป็นเด็กสติปัญญาไม่ดีเหมือนน้องสาว และนี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้บุตรสาวคนโตตระกูลหลินมีปมเรื่องความเกลียดชังน้องรอง
หลังจากที่หลินเว่ยเว่ยลงเขามาแล้วก็ได้กวางแดงไปเก็บไว้ในห้องใต้ดิน จากนั้นก็เดินมาที่สวนหลังบ้านและเห็นนางหวงกำลังส่งสตรีชุดสีเขียวแดงออกจากบ้านด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางจึงถามด้วยความสงสัย “ท่านแม่เจ้าคะ นั่นใครหรือ ? แต่งตัวสวยเชียว”
นางหวงตอบพร้อมรอยยิ้ม “นางน่ะหรือ เจ้าควรเรียกนางว่าอาฮวา นางเป็นแม่สื่อที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในละแวกนี้”
“แม่สื่อ ? มาคุยเรื่องแต่งงานของพี่ใหญ่หรือ ? ฝ่ายชายเป็นครอบครัวเช่นไร ? เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิท่านแม่” หลินเว่ยเว่ยหยิบผลไม้อบแห้งเข้าปากแล้วเคี้ยวโดยไม่รักษาภาพลักษณ์
ในเวลานี้เจ้าหนูน้อยก็พาบุตรสาวคนโตตระกูลหลินเดินเข้ามา นางหวงให้พี่น้องสตรีทั้งสองมานั่งข้างตน จากนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า “ครอบครัวที่อาฮวาของพวกเจ้ากล่าวถึงเป็นคนในหมู่บ้านละแวกนี้ อายุมากกว่าเจ้าใหญ่ 1 ปีและมีพี่สาวอีก 3 คน มีเพียงเขาคนเดียวที่เป็นลูกชาย ฐานะทางบ้านก็ไม่เลว มีที่นา 10 หมู่ อาฮวาของเจ้ายังกล่าวอีกว่าเด็กผู้ชายคนนั้นนิสัยดีมาก…บ้านพวกเขากำลังหาคนที่ขยันและทำงานเก่งเหมือนพี่เจ้าอยู่ ! ”
พี่สาวคนโตก้มหน้าลง ในขณะที่ฟังนั้นใบหน้าของนางก็เป็นสีแดงระเรื่อราวกับว่าไม่มีความเห็นใด
แต่สัญชาตญาณของหลินเว่ยเว่ยบอกว่าชายผู้นั้นไม่ใช่คู่ครองที่ดี “ในบ้านมีพี่สาว 3 คน มีน้องชายสุดรักสุดหวงเพียงคนเดียว เช่นนี้พวกนางจะไม่ตามใจเขาเป็นว่าเล่นเลยหรือ ? ท่านแม่เจ้าคะ พวกเราต้องไปลองสืบดูก่อน อย่าเอาแต่นิ่งเฉย กินดีอยู่ดีในบ้านไปวัน ๆ คนที่หาลูกสะใภ้ขยันคืออยากให้ไปเป็นวัวเป็นควายที่บ้านแล้วเอาใจลูกชายต่อไปไม่ใช่หรือ ?
บ้านมีที่นา 10 หมู่ เท่าที่ข้ารู้คือปีนี้หมู่บ้านในละแวกนี้ไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว ดังนั้นที่นา 10 หมู่คงว่างเปล่า เลยคิดจะมาขอข้าวสารไปเติมท้องไม่น้อยเลยกระมัง ? ถ้าพี่ใหญ่แต่งเข้าไปแล้วกินไม่อิ่ม ท่านจะไม่ปวดใจจนต้องส่งเงินส่งของไปช่วยนางหรือ ? นิสัยดีเสียด้วย ? ขออย่าให้เป็นคนไร้หัวคิด อะไรก็เอาแต่เชื่อฟังพ่อแม่เถิด”
ใบหน้าเขินอายของบุตรสาวคนโตจางหายไปทันที นางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะเอาแต่กินนอนไม่ทำสิ่งใดและไร้สมอง ? บ้านมีที่นา 10 หมู่ก็ถือว่ามีทรัพย์สมบัติอยู่บ้าง เขาจะมาขอข้าวจากทางบ้านฝ่ายหญิงได้อย่างไร ? ไม่รู้อันใดก็อย่าพูดจาเรื่อยเปื่อย ! ”
“ใช่สิ ! เพราะไม่รู้อันใดเราจึงต้องสืบให้แน่ใจก่อน ปากของแม่สื่อคือผีเจ้าเล่ห์ ไหนเลยจะเชื่อได้ ? ” หลินเว่ยเว่ยมุ่ยปาก “ท่านอยากออกเรือนเร็วถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”
พี่สาวคนโตจึงกล่าวอย่างเขินอาย “ใครรีบแต่งกันเล่า ? ถ้ายังพูดเหลวไหลอีก ข้าจะฉีกปากเน่า ๆ ของเจ้าเสีย ! ”
นางหวงถอนหายใจ “เด็กสาวในหมู่บ้านคุยเรื่องหมั้นหมายกันตั้งแต่อายุสิบสองสิบสามแล้ว คนที่เป็นเช่นเจ้าใหญ่ที่อายุ 15 ปีแล้วยังไม่มีสัญญาหมั้นหมายก็เหลืออยู่แค่ไม่กี่คน เป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องเอง ทำให้การแต่งงานของพี่เจ้าล่าช้า ! ”
“เพิ่ง 15 ปีไม่ใช่ 25 ปีเสียหน่อย เหตุใดต้องรีบร้อนด้วยเจ้าคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยรีบปลอบมารดาที่กำลังร้องไห้ “ชีวิตของบ้านเราก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ พี่ใหญ่ยังเรียนทอผ้าจากย่าหลิวอยู่ รอให้นางเรียนจบแล้ว แค่งานทอผ้าอย่างเดียวก็สามารถทำเงินได้ไม่น้อยในหนึ่งเดือน บ้านเราเพิ่มสินเดิมเข้าไปอีกหน่อย จะต้องกังวลว่าแต่งออกไปไม่ได้อีกหรือ ? ”
“อายุ 15 ปีก็ไม่น้อยแล้ว บุตรสาวตระกูลติงอายุรุ่นเดียวกับพี่เจ้า แต่บุตรของนางกลับเรียกแม่ได้แล้ว ! ” นางหวงก็เศร้าเหมือนกัน แต่หลังจากได้ยินบุตรสาวคนรองวิเคราะห์ก็เริ่มคิดว่าครอบครัวที่นางฮวากล่าวถึงดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไร
“อายุสิบห้าก็ยังมีร่างกายเป็นเด็กอยู่ ยังไม่โตเต็มที่ พอมีลูกแล้วก็มักจะแท้งง่าย เด็กก็ไม่ได้เลี้ยงง่าย ๆ…เรื่องพวกนี้ข้าได้ยินมาจากท่านหมอเหลียง เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มาจากครอบครัวหมอก็มักออกเรือนตอนอายุได้ 18 ปีทั้งนั้น !
ที่บ้านอื่นให้บุตรสาวแต่งออกไปเร็วเพราะจะได้ประหยัดข้าวปลาอาหาร แต่ฐานะของพวกเราในเวลานี้ใช่ว่าจะเลี้ยงพี่ใหญ่ไม่ไหวเสียหน่อย แต่ก็พูดเถิด ปริมาณอาหารที่พี่ใหญ่กินก็ไม่น้อยจริง ๆ ถ้าครอบครัวธรรมดาทั่วไปจะต้องเลี้ยงไม่ไหวแน่นอน…” ท้ายที่สุดหลินเว่ยเว่ยก็อดไม่ได้ที่จะบ่นสักประโยค
“เจ้ากล้าพูดว่าข้ากินเยอะหรือ ? มีมื้อไหนบ้างที่ข้ากินเยอะกว่าเจ้า ? ” บุตรสาวคนโตโกรธจนควันออกหู การที่ข้ายังไม่มีสัญญาหมั้นหมายจนถึงตอนนี้ไม่ได้เป็นเพราะตัวถ่วงสติไม่สมประกอบอย่างเจ้าหรือ ? ยังรังเกียจที่ข้ากินเยอะอีก ! บ้านยากไร้เพราะใครกันแน่ ?
หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้ม “สิ่งที่ข้ากินเป็นของที่หามาด้วยตนเอง ดังนั้นข้าจึงสามารถกินได้อย่างสบายใจ ! ”
“เจ้าไม่ได้เพิ่งหาเงินเข้าบ้านในช่วงไม่กี่เดือนนี้เองหรือ ? หลายปีก่อนท่านแม่ก็ไม่ได้รังเกียจที่เจ้ากินเยอะ ! แต่ตอนนี้เพิ่งหาเงินได้แค่ไม่กี่วันก็ทำตัวเป็นคางคกขึ้นวอแล้ว ! รอให้ผ่านไปอีกสองสามเดือน ข้าเรียนทอผ้าจบแล้ว กินของเจ้าไปเท่าไร ข้าจะคืนให้เป็นเท่าตัว ! ” บุตรสาวคนโตโมโหจนตาแดง
หลินเว่ยเว่ยจึงไม่แกล้งนางอีก “มาจริงจังกันต่อเถิด เรื่องการแต่งงานครั้งนี้ของพี่ใหญ่ยังต้องสืบให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ ท่านแม่เจ้าคะ ท่านคิดตามนะ ปีแห่งภัยแล้งเช่นนี้มีบ้านไหนไม่ใช้ชีวิตอย่างประหยัดบ้าง ? แต่งลูกสะใภ้เข้าบ้านในเวลานี้ไม่เหมือนเพิ่มปากมาอีกหนึ่งปากหรือ ? การเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานในเวลานี้ หากไม่ได้เป็นเพราะบ้านมีฐานะร่ำรวย เลี้ยงเพิ่มอีกปากไหว ก็ต้องมีแผนร้ายบางอย่างซ่อนอยู่…”
บุตรสาวคนโตยังโมโหอยู่จึงคิดว่าหลินเว่ยเว่ยเห็นนางได้ดีกว่าไม่ไหว ดังนั้นต้องจงใจไม่อยากให้การแต่งงานครั้งนี้สำเร็จ ส่วนนางหวงกลับคิดตก “เจ้ารองกล่าวได้ถูกต้อง ต้องสืบให้แน่ใจเสียก่อน ! แม่เคยได้ยินป้ากุ้ยฮวาของเจ้าบอกว่านางมีพี่สาวคนหนึ่งแต่งไปอยู่ในหมู่บ้านนั้น ประเดี๋ยวแม่จะให้นางไปสืบ”
เมื่อพักกลางวันเสร็จแล้ว ป้ากุ้ยฮวาก็เข้างานช่วงบ่ายและได้ยินเรื่องราวจากนางหวง นางจึงขอลางานครึ่งเช้าของวันถัดไปทันที หลังเตรียมข้าวสารจำนวนหนึ่งแล้วก็ไปเยี่ยมบ้านพี่สาวคนรอง ณ หมู่บ้านเซี่ยถัง
มื้อกลางวันนั้นป้ากุ้ยฮวาไม่ได้อยู่กินข้าวที่บ้านพี่สาว เพราะนางกลับมาด้วยความโมโหทันที “น้องหวง โชคดีที่เจ้าให้ข้าไปสืบก่อน ! ”
นางหวงถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เป็นเช่นไรบ้าง ? บ้านนั้นมีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ? ”
“มีสิ่งใดผิดปกติเช่นนั้นหรือ ? บ้านนั้นไม่เห็นเด็กผู้หญิงเป็นคนด้วยซ้ำ เดิมทีบ้านนั้นไม่ได้มีลูกสาวแค่ 3 คนหรอก พอคลอดออกมาก็กดให้จมน้ำตายตั้งแต่เกิด จากนั้นก็เอาไปโยนทิ้งบนภูเขา ต่อมาก็เหลืออยู่แค่ 3 คน พวกนางโดนครอบครัวใช้ให้เป็นวัวเป็นควายตั้งแต่เด็ก พอโตแล้วเพื่อให้ได้สินสอดเพิ่มหน่อยก็ให้ออกเรือนไปอยู่ในบ้านสามีแบบไหนรู้หรือไม่ ? พ่อม่ายบ้างล่ะ คนพิการบ้างเล่า จะแบบไหนก็ให้แต่งเข้าไปหมด แถมยังบีบบังคับให้ลูกสาวเอาของมีค่าต่าง ๆ มาจากบ้านสามี ลูกสาว 3 คนไม่มีใครได้มีชีวิตที่ดีสักคน ! ”
ป้ากุ้ยฮวาเอ่ยถ้อยคำมากมายออกมาภายในชั่วอึดใจ หลังรับน้ำจากมือหลินเว่ยเว่ยมาดื่มแล้ว นางก็กล่าวต่อทันที “หมู่บ้านเซี่ยถังย่ำแย่มาก พืชผลเก็บเกี่ยวไม่ได้แถมยังไม่กล้าขึ้นเขาไปหาของป่า เปลือกไม้และรากหญ้าแถวหมู่บ้านโดนขุดมากินหมดแล้ว ส่วนบ้านพี่สาวของข้านั้น…ไม่มีข้าวกินมาสองวันแล้ว ครอบครัวที่นางฮวาเอ่ยถึงก็ไม่ได้อดอยากหรอก แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงไม่อดอยาก ? เพราะผู้หญิงคนนั้นบังคับให้ลูกสาวขายบุตรเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวมารดา ! ”
นางหวงมีสีหน้าที่ย่ำแย่ “เช่นนั้น…ครอบครัวฝ่ายสามีจะเห็นด้วยหรือ ? ”
“ไม่เห็นด้วยก็ไปสร้างปัญหาให้ทุกวัน ก่อกวนจนอีกบ้านใช้ชีวิตต่อไม่ได้ หลังโดนปลูกฝังจากมารดาตั้งแต่เด็ก พวกลูกสาวก็คิดว่าเด็กผู้หญิงเป็นตัวล้างผลาญครอบครัว ในปีแห่งภัยแล้งเช่นนี้ การขายลูกไม่ได้มีแค่บ้านสองบ้านหรอก…” ขณะที่พูดป้ากุ้ยฮวาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาแรง ๆ
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินที่ไม่รู้ว่าก้าวเข้ามาในบ้านตั้งแต่เมื่อใด นางมีสีหน้าซีดขาวทันทีและคิดในใจว่าโชคดีที่น้องรองปากมากให้คนไปสืบก่อน เช่นนั้นหากเข้าไปในครอบครัวนั้นแล้ว ไม่เพียงต้องกลายเป็นทาส แต่อาจโดนปลิงดูดเลือดกัดกินนางและครอบครัวมารดาตลอดไป
ตอนต่อไป