หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 160 ลิ้นยาวเกินไป

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 160 ลิ้นยาวเกินไป

ฮ่องเต้ทรงดำริว่าช่างชูแห่งกรมคลังกล่าวได้ถูกต้อง กังหันน้ำกระดูกมังกรเป็นเรื่องสำคัญและกรมโยธาธิการมักจะมีปัญหา ช่างชูแห่งกรมโยธาธิการก็แค่ประจบแล้วสะบัดก้นหนีเท่านั้น ต่อจากนั้นใครจะมาแบ่งเบาภาระแทนเจิ้น1 ?

ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยทันทีและแต่งตั้งให้เหยียนไว่หลางฟางเป็นผู้แทนพิเศษ ให้เดินทางไปยังเขตเริ่นอันแห่งเมืองจงโจวเพื่อนำรางวัลไปมอบให้แก่ผู้คิดวิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่…ส่วนการสร้างกังหันวิดน้ำไม่ใช่เรื่องเล็ก จะปล่อยให้ผู้ที่มีเจตนาร้ายนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ทว่าการเดินทางไปอย่างเปิดเผยก็ไม่ได้อีกเช่นกัน ดังนั้นจึงได้แต่ไปเยือนอย่างลับ ๆ !

หลังฤดูใบไม้ร่วงไปแล้วชาวบ้านฉือหลี่โกวก็เริ่มคึกคักขึ้นมา หุบเขาในช่วงฤดูใบไม้ผลิมีพืชผลให้ผู้คนได้เก็บอย่างใจกว้าง ไม่ว่าจะเป็น…ซู่เหมยหรือราสเบอร์รี่ องุ่นป่า แอปเปิลปู ซานจา เมล็ดต้นเจิน เมล็ดสน ซานเหอเถาหรือพีแคน…

เมื่อ 2 ปีก่อน สัตว์ป่าบนภูเขาดุร้าย แม้จะมีหุบเขาแห่งขุมทรัพย์อยู่ไม่ไกล ทว่าพวกชาวบ้านก็ได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ ส่วนปีนี้หลินเว่ยเว่ยเข้าไปเก็บของป่ามาสองสามรอบแล้ว นางจึงวาดจุดที่ค่อนข้างปลอดภัยไว้ ในบรรดาชาวบ้านมีคนใจกล้าอยู่จึงเริ่มคิดจะขึ้นไปเก็บขุมทรัพย์ต่าง ๆ บนภูเขาขึ้นมา

เมล็ดต้นเจิน เมล็ดสน เห็ดและเห็ดหูหนูเหล่านี้ในตลาดพอจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินอีแปะมาเลี้ยงครอบครัวได้บ้าง

สำหรับราสเบอร์รี่ ซานจา องุ่นป่า ผลไม้ป่าเหล่านี้มีคนเก็บไม่มากเพราะหนึ่งคือเก็บรักษายาก สองคือผลไม้ป่าเหล่านี้เทียบไม่ได้กับผลไม้สวนที่มนุษย์ปลูกขึ้นมา รสชาติยังค่อนข้างแตกต่าง ราคาจึงไม่ค่อยดีสักเท่าไร

ทว่าในสายตาของหลินเว่ยเว่ยนั้น นางเห็นพวกมันคือสิ่งที่สามารถเปลี่ยนเป็นความมั่งคั่งได้ ! ราสเบอร์รี่ก็เหมือนบลูเบอร์รี่ป่าคือสามารถนำมาทำแยมขายในราคาดีได้ ซานจาและแอปเปิลปูสามารถนำมาทำเป็นผลไม้กระป๋อง…หลังปิดผนึกบรรจุภัณฑ์ด้วยขี้ผึ้งแล้วก็จะเก็บรักษาได้นานถึงครึ่งปี !

ระยะเวลาที่ผลไม้ป่าจะสุกงอมมีอยู่สั้น ๆ เท่านั้น หากพึ่งนางคนเดียวให้เก็บทั้งหุบเขา จำนวนที่ได้ก็จะมีจำกัด นางจึงรับซื้อจากพวกชาวบ้านในราคา 3 อีแปะต่อ 1 ชั่ง

ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้มีชาวบ้านขึ้นเขาน้อยมาก ผลไม้ป่าจึงมีอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย แม้แต่เด็กอายุ 7-8 ขวบก็เก็บได้วันละ 10-20 ชั่ง เงินที่ได้กลับมาก็เกินกว่าเงินค่าแรงของบุรุษที่ทำงานอย่างหนักเพียงวันเดียวในท่าเรือเสียอีก !

หลินเว่ยเว่ยยังจ้างลูกมือที่ขยันขันแข็งอีก 3 คนซึ่งเป็นหญิงที่มีบุคลิกดีและครอบครัวยากจน คนแรกรับผิดชอบเรื่องทำความสะอาด คนที่สองทำแยมโดยเฉพาะ ส่วนคนสุดท้ายทำผลไม้กระป๋องร่วมกับหลินเว่ยเว่ย

เรียกว่ากระป๋อง ทว่าสิ่งที่ใช้แทนกระป๋องคือโถกระเบื้องเคลือบขนาด 1 ชั่งซึ่งได้มาจากลู่เหวินจวิน คุณชายรองตระกูลลู่ใจกว้างมาก เขาคิดราคาต้นทุนให้นางเพื่อช่วยให้ประหยัดต้นทุนมากที่สุด

โถกระเบื้องเคลือบสีขาวมีลวดลายดอกบัววิจิตร ด้านในถูกเติมเต็มด้วยซานจาหรือแอปเปิลปู เมื่อเปิดฝาออกมากลิ่นหอมหวานจะลอยแตะจมูก เมื่อลิ้มลองจะได้รสสัมผัสเปรี้ยวอมหวานกำลังพอดี จัดได้ว่ารสชาติดีเลิศ ล้วนเป็นที่นิยมของเด็ก สตรีและคนชรา เวลาไปเยี่ยมญาติหรือมิตรสหายถ้าซื้อซานจาในโถกระเบื้องเคลือบสักสองโถก็จะถูกยกระดับขึ้นมาทันที ผู้รับก็จะรู้สึกว่าตนมีเกียรติ

ตั้งแต่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้เปิดตัวผลไม้ในโถกระเบื้องเคลือบนี้แล้ว มูลค่าการซื้อขายก็แตะระดับสูงสุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กำไรก็พุ่งสูงแล้วสูงอีก หลังจากนั้นสองเดือนขณะตรวจดูบัญชีแล้วหนิงตงเซิ่งก็พบว่าเป้าหมายที่จะเปิดสาขาในตัวเมืองอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจึงเริ่มทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะได้เปิดร้านก่อนเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ( ตรุษจีน )

สูตรขนมที่หลินเว่ยเว่ยสอนให้แม่ครัวของร้านตระกูลหนิงมีสามชนิดที่ต้องใช้แยมผลไม้ ด้วยเหตุนี้แยมบลูเบอร์รี่และแยมราสเบอร์รี่ของนางจึงขาดตลาดเช่นกัน ส่วนหนึ่งคือเก็บไว้ทำขนมร้านตระกูลหนิงและอีกส่วนหนึ่งถูกบรรจุลงในโถกระเบื้องเคลือบอย่างประณีตแล้ววางจำหน่ายในร้าน

เพราะต้องทำแยมและผลไม้ ‘กระป๋อง’ เหล่านี้จึงทำให้พื้นที่ของห้องครัวตระกูลหลินไม่เพียงพอ โชคดีที่ลานบ้านของตระกูลหลินกว้างพอ นางจึงสร้างเพิงอีก 2 หลังขนาบข้างประตูสองฝั่งทางทิศใต้ ด้านในสร้างเตาดินเผาไว้ 4 เตา แต่ละวันต้องทำงานต้ม 6 หม้อและงานอบอีก 2 เตาพร้อมกัน ดังนั้นแค่การใช้ฟืนก็น่าตกใจมากแล้ว

“ไอหยา ! ตระกูลหลินช่างน่าเหลือเชื่อ ! สินค้าที่ส่งเข้าเขตเริ่นอันทุกวันมีเป็นตะกร้า เต็มเกวียนเทียมล่อไปหมด นี่เป็นเงินเท่าไรกันแล้ว ! ”

“แน่นอนสิ ! ถ้าทำเงินไม่ได้ แค่จ้างคนงานก็ปาไป 6 คนแล้ว…ไม่สิ ยังมีซัวถัวที่ขับเกวียนเทียมล่อไปส่งสินค้าโดยเฉพาะอีกคน ทั้งหมดรวมเป็น 7 คนแล้ว แค่ค่าแรงต่อวันก็ปาไปสองร้อยกว่าอีแปะ แถมยังรับซื้อผลไม้ป่าทุกวันอีก…ถ้าทำเงินได้น้อยคงไม่พอจ่ายค่าสิ่งของเหล่านี้ ! ”

“บ้านนั้นมีช่องทางกว้างขวาง ในเขตเริ่นอันมีร้านตระกูลหนิงใช่หรือไม่ คราวก่อนข้าผ่านไปแถวนั้นจึงเข้าไปดู ผลปรากฏว่าเป็นเช่นไรเจ้ารู้หรือไม่ ? สินค้าของตระกูลหลินถูกวางเต็มร้าน ข้ายืนงงพลางฟังพนักงานเอ่ยอยู่ประโยคหนึ่งว่า ‘เนื้อกวางแผ่น 100 อีแปะต่อ 1 ชิ้น’ ใช่ เจ้าฟังไม่ผิด เนื้อแผ่นแค่ชิ้นเดียวก็ต้องจ่ายถึง 100 อีแปะแล้ว ถ้า 1 ชั่งไม่ต้องจ่ายเป็นตำลึงเลยหรือ ? ( ในสมัยโบราณ 1 ชั่งคือประมาณ 16 ชิ้น ) ตระกูลหลินส่งไปวันละหลายสิบชั่งใช่หรือไม่ ? ”

“เจ้าไม่เคยค้าขายย่อมไม่รู้ต้นทุนและกำไรในธุรกิจนั้น เขาขายที่ร้านเป็นตำลึงแต่ให้สกุลหลินแค่ 200-300 อีแปะก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ! ผู้ที่ได้เงินเยอะคือร้านค้า ส่วนตระกูลหลินอย่างมากสุดก็ได้แค่ดื่มน้ำแกงไม่กี่อึกเท่านั้น ! ”

“เจ้าเลิกหัวเสียได้แล้ว แม้อยากจะซดน้ำแกงตามก็ยังทำไม่ได้เลย ! ถ้าซดลมตะวันตกเฉียงเหนือก็ว่าไปอย่าง ! ”

“แม้จะทำเงินได้ไม่มาก พวกนางก็ส่งสินค้าเป็นจำนวนมากทุกวัน ! หากสินค้าหลายร้อยชั่งจะทำเงินได้แค่ไม่กี่อีแปะต่อชั่ง ทว่านับรวมกันแล้วก็มีรายได้หลายตำลึง ! ”

“ทำไม ? เจ้าอิจฉาหรือ ? อิจฉาไปก็ไร้ประโยชน์ ใครใช้ให้บ้านเจ้าไม่มีลูกสาวเก่งเหมือนลูกคนรองบ้านนั้น ? อ้อใช่ ลูกชายบ้านเจ้าไม่ได้แก่กว่านางหนูรองแค่ปีเดียวหรอกหรือ ? แต่งนางเข้าบ้านสิ การค้าขายเหล่านี้ก็จะได้กลายมาเป็นของบ้านเจ้า”

“แต่งนาง ? หากวันใดนางป่วยหรือสติไม่สมประกอบขึ้นมาอีก เจ้าจะดูแลนางหรือ ? อีกอย่างนะ แรงของนางแม้แต่ลูกกลิ้งหินของหมู่บ้านยังใช้มือเดียวถือได้ ลูกชายข้าตัวเล็กจะตาย ไม่พอให้นางใช้นิ้วจิ้มด้วยซ้ำ ! เจ้าเองก็มีลูกชายเหมือนกันไม่ใช่หรือ ? เหตุใดไม่ไปคุยเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลหลิน ? ”

“ตระกูลหลินไม่ได้มีนางหนูรองเป็นลูกสาวคนเดียวเสียหน่อย นางยังมีพี่สาวอีกคนไม่ใช่หรือ ? ปีใหม่นี้ก็มีอายุครบ 16 ปีแล้ว ถ้ายังไม่คุยเรื่องหมั้นหมายอีกก็จะกลายเป็นสาวแก่ พอถึงเวลานั้นเจ้าก็บอกให้ตระกูลหลินเอาสูตรอะไรสักอย่างมาเป็นสินเดิมสิ ประเดี๋ยวเจ้าก็ได้นอนรอนับเงินอยู่ที่บ้านแล้ว….”

“นับเงินจนมือเป็นตะคริวก็รู้สึกดีมากจริง ๆ นั่นแหละ…” ทันใดนั้นเสียงดังฟังชัดของสตรีคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา

“ใช่หรือไม่เล่า…” หญิงที่กำลังคุยจนน้ำลายกระเด็นถูกคนด้านข้างใช้ศอกกระทุ้ง เมื่อหันไปมองก็ต้องพบกับใบหน้าเปื้อนยิ้มไม่เหมือนยิ้มของหลินเว่ยเว่ย สีหน้าของพวกนางจึงเปลี่ยนไปทันที รอยยิ้มก็แข็งค้าง “ไอหยา ! นางหนูรองเองหรือ เอ่อ…เจ้าไปไหนมา ? ”

“ข้าเพิ่งไปเก็บเมล็ดสน ข้าคิดว่าจะจ้างคนแกะเมล็ดสนเพิ่มอีกสักสองสามคน ! ” ทันใดนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเว่ยเว่ยก็ดูสดใสกว่าเดิม

“ยังจะจ้างคนอีกหรือ ? คราวนี้คิดจะจ้างอีกสองสามคนใช่หรือไม่ ? ถ้าเช่นนั้นนางหนูรอง เจ้าคิดว่าข้าพอไหวหรือเปล่า ? ” หญิงคนนั้นมีแววตาเป็นประกายขณะเสนอตัว

หลินเว่ยเว่ยมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กล่าวว่า “ท่านป้า มาตรฐานในการเลือกคนของข้าคือหนึ่ง ทำงานหนักได้ สอง ต้องพูดน้อยและรู้จักระวังคำพูดเนื่องจากบ้านข้ามีสูตรเฉพาะ ดังนั้นคนที่ลิ้นยาวเกินไป ข้าไม่กล้าใช้หรอก ! ”

ทันใดนั้นใบหน้าของเหล่าหญิงขี้นินทาก็ย่ำแย่ พวกนางหันมามองหน้ากันแล้วแยกย้ายไปคนละทางทันที พวกนางไม่ได้โง่ จึงเป็นธรรมดาที่จะมองออกว่าหลินเว่ยเว่ยตั้งใจพูดตอกหน้า

หญิงสองคนนั้นมีชื่อเสียงด้านความร้ายกาจในหมู่บ้าน ทว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าหลินเว่ยเว่ยแล้ว พวกนางก็ไม่กล้าแม้แต่จะผายลมออกมา

1 เจิ้น คือ คำเรียกแทนพระองค์ของฮ่องเต้

ตอนต่อไป

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท