หลินเว่ยเว่ยถามถั่วงอกน้อยแสนผอมแห้งทั้งสองว่า “พวกเจ้าดูไฟเป็นหรือไม่ ? ”
“เป็น ! ข้าไม่เพียงดูไฟเป็น แต่ยังทำอาหารเป็นด้วย อาหารของที่บ้านก็ล้วนเป็นฝีมือของข้า ! ” เยี่ยนเอ๋อร์มีนิสัยขี้อาย ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาเหนียมอาย หากทำงานให้ตระกูลหลินแล้ว นอกจากค่าแรงวันละ 30 อีแปะ นางยังได้ค่าทำงานล่วงเวลาเป็นเนื้อสัตว์กับอาหารอย่างอื่นในบางครั้งด้วย…
นางต้องการงานนี้มาก ! เมื่อนึกถึงบิดาที่นอนป่วยติดเตียงและยังมีพวกน้อง ๆ ที่หิวเกินกว่าจะลุกจากเตียงได้ เยี่ยนเอ๋อร์ก็ดึงความกล้าออกมาเพื่อแย่งชิงโอกาสในครั้งนี้ !
ฉือถัวก็ไม่ยอมแพ้ รีบพูดต่อทันที “ข้าก็ทำได้เหมือนกัน ! เวลาท่านย่าทำอาหาร ข้าเป็นคนดูไฟให้ตลอด ท่านย่ายังชมว่าข้าดูไฟได้ดีมาก ! ”
“ดี ! แค่ดูไฟเป็นก็พอแล้ว ! เจ้าสองคนต้องดูไฟห้าเตานี้ ทำได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยตบบ่าเพื่อปลอบถั่วงอกน้อยสองต้น
“ได้ ! ” เยี่ยนเอ๋อร์และฉือถัวแย่งกันพูด หน้าที่ดูไฟจำเป็นต้องใช้ฟืนท่อนใหญ่ หลังเผาไหม้แล้วก็ต้องคอยดูไม่ให้ไฟมอด อย่าว่าสองคนเลย แค่คนเดียวก็สามารถดูได้ทั้งหมด
“ดี ! เจ้าสองคนถูกรับเข้าทำงานชั่วคราว ! ทดลองงาน 3 วัน ถ้าเป็นเหมือนที่พวกเจ้ากล่าวจริงว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อและดูไฟ พวกเจ้าก็จะได้เป็นเหมือนคนงานประจำในโรงงานแปรรูปเมล็ดสน ! ” หลินเว่ยเว่ยมองเด็กน้อยที่สูงยังไม่ถึงหน้าอกของตน…นับว่าทารุณเด็กหรือไม่ ?
“ทารุณเด็กน่ะหรือ ? เจ้าลดค่าแรงพวกเขาเหลือครึ่งเดียวหรือเปล่า ? หรือแบ่งงานหนักจนไม่มีทางทำเสร็จให้พวกเขา ? ก็ไม่มี ถ้าเช่นนั้นจะเรียกทารุณเด็กได้อย่างไร ? ” เจียงโม่หานเคยชินกับความผิดปกติเป็นครั้งคราวของนางแล้ว ตอนนี้มีบ่าวรับใช้หรือสาวใช้ในตระกูลใหญ่ใดบ้างที่ไม่เริ่มทำงานตั้งแต่เด็ก ? ทารุณเด็กหรือ ? มีแค่นางเท่านั้นที่คิดได้ !
“เจ้ากำลังช่วยเหลือ ไม่ได้กดขี่พวกเขา ! ” เจียงโม่หานไม่รู้ตัวว่าได้รับบทบาทเป็น ‘พี่ชายผู้รู้ใจ’ อีกครั้งแล้ว เขาได้ช่วยบรรเทาความรู้สึกผิดเล็กน้อยของหลินเว่ยเว่ย
ลูกจ้างคนอื่นอีก 5 คนเป็นสตรีทั้งหมด มาตรฐานในการเลือกของหลินเว่ยเว่ยคือนิสัยดีและสามารถทำงานหนักได้ หลังกำหนดมาตรฐานสองข้อนี้แล้วก็ค่อยเลือกจากครอบครัวอันยากไร้ที่สุดซึ่งผู้ใหญ่บ้านแนะนำมาอีกที
สตรีทั้ง 5 คนนี้ล้วนเป็นครอบครัวที่จะยากจนเกินกว่าอยู่รอดอีกต่อไป ดังนั้นทุกคนจึงหวงแหนโอกาสในครั้งนี้มาก หากมองในระยะสั้น การทำงานในโรงงานแปรรูปของตระกูลหลินได้เงินไม่เยอะเท่าการไปหาของป่ามาขาย ทว่าผลไม้ป่ามีระยะเก็บแค่สองสามเดือนเท่านั้น ไม่เหมือนการทำงานให้ตระกูลหลินที่มีรายได้ตลอดสี่ฤดู คนตระกูลหลินมีช่องทางกว้างขวาง ขอแค่มือเท้าว่องไวอย่างน้อยก็จะได้เงินค่าแรงเดือนละหนึ่งหรือสองตำลึง !
ลูกจ้างใหม่ทั้ง 5 คนในโรงงานแปรรูปล้วนมีพลังเต็มเปี่ยม พวกนางทำตามวิธีที่หลินเว่ยเว่ยสอน…คือนำเมล็ดสนไปแช่ในน้ำสะอาดประมาณ 2 เค่อ จากนั้นก็นำไปนึ่งอีก 2 เค่อ หลังตากในอากาศถ่ายเทแล้วก็นำไปคั่วจนเปลือกของเมล็ดสนส่วนใหญ่เปิดออก
เพื่อสะดวกในการแช่ให้เป็นรสชาติต่าง ๆ หลินเว่ยเว่ยจึงสั่งทำถังไม้ขนาดใหญ่อีก 5 ถัง ซึ่งขนาดของมันใหญ่กว่าถังน้ำที่นางใช้อาบเสียอีก จากนั้นเมล็ดสนรสดั้งเดิมก็จะถูกแช่ลงในน้ำสะอาด ส่วนรสห้าเครื่องเทศจะถูกแช่ในถังที่หลินเว่ยเว่ยต้มเครื่องเทศเตรียมไว้แล้ว ทำเช่นเดียวกันกับรสอื่น ๆ เช่น รสเกลือและพริกก็จะถูกแช่ในน้ำเกลือ รสหวานก็จะถูกแช่ลงในน้ำผสมน้ำตาล…
การแปรรูปเมล็ดสนจำเป็นต้องใช้น้ำในปริมาณมาก ตอนนี้น้ำที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวใช้ต้องอาศัยแหล่งน้ำบนภูเขา หากคอยหาบน้ำไปกลับก็ต้องอาศัยคนและเงินจำนวนมาก
หลินเว่ยเว่ยจึงหันไปประจบบัณฑิตหนุ่มเพื่อขอให้เขาสร้างกังหันวิดน้ำสำหรับโรงงานแปรรูป นางต้องการกังหันวิดน้ำขนาดเล็กพร้อมให้มันขับเคลื่อนด้วยพลังงานลม จากนั้นค่อยต่อท่อไม้ไผ่อีกชุดเพื่อชักน้ำมาให้ถึงบ้านตระกูลฝาง
เมื่อทำเช่นนี้ ไม่เพียงสร้างความสะดวกสบายให้โรงงานแต่ยังช่วยผู้คนในหมู่บ้านด้วย ทุกเย็นหลังงานของโรงงานแปรรูปเสร็จหมดแล้ว ชาวบ้านก็จะเรียงแถวกันเพื่อหาบน้ำ หลินเว่ยเว่ยไม่ได้เข้าไปห้ามเพราะคนในหมู่บ้านจะได้ยกย่องนางขึ้นไปอีก !
“เรียนใต้เท้า ด้านหน้าคือหมู่บ้านฉือหลี่โกวขอรับ ! ” นายอำเภอเป่าชิงนั่งรถม้ามาบนถนนที่เป็นหลุมบ่อของชนบทร่วมกับชายชราผู้มีเคราแพะและตัวไม่สูงมากนัก ขณะเดียวกันอาจารย์ฟ่านของเจียงโม่หานก็อยู่ในรถม้าคันนั้นด้วย
นายอำเภอหวางมองอาจารย์ฟ่านตาขวางอย่างไม่พอใจ ศิษย์ของเจ้าสร้างกังหันวิดน้ำได้ เหตุใดไม่ไปรายงานต่อที่ว่าการอำเภอ ? ข้ามหัวข้าโดยส่งไปถึงเมืองหลวงเช่นนี้ กลัวว่าข้าจะแย่งผลงานศิษย์รักเจ้าหรือ ? ข้าเป็นคนเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อใด ?
จู่ ๆ ผู้แทนพิเศษจากเมืองหลวงก็มาปรากฏตัว ณ อำเภอเป่าชิง โดยที่นายอำเภออย่างเขาไม่ทราบแม้แต่น้อย จึงต้องเล่นละครทำเป็นรับมือไม่ทัน หวังว่าใต้เท้าฟางคนนี้จะไม่ถือสา
ฟางเหยียนไว่หลางที่กำลังสนทนากับอาจารย์ฟ่านอยู่ แม้จะเป็นคนฉลาด ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไหน แต่อยู่บนเส้นทางขุนนางที่แสนจะขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นเวลาหลายปีก็ยังปีนขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ย่อมเป็นผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง
คราวนี้ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการให้เขามาตรวจสอบกังหันวิดน้ำ หากเรื่องนี้เป็นความจริง ลูกศิษย์ของฟ่านหยุนหนิงผู้นั้นก็จะถูกขึ้นทะเบียนต่อหน้าพระพักตร์องค์ฮ่องเต้ เมื่อครู่ได้ลองสอบถามฟ่านหยุนหนิงเกี่ยวกับพรสวรรค์ในการเรียนของลูกศิษย์แล้ว คาดไม่ถึงว่าสหายคนนี้จะประเมินบัณฑิตสูงส่งเหลือเกิน !
หากบัณฑิตผู้นี้เป็นเหมือนที่ฟ่านหยุนหนิงกล่าวไว้คือสามารถผ่านการสอบขุนนางทุกสนามได้โดยไร้ข้อกังขา อีกทั้งยังคิดค้นวิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่และสร้างกังหันวิดน้ำจนได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้ ขอแค่สอบได้คะแนนในสามอันดับแรก ตำแหน่งจอหงวนก็ต้องไม่หลุดมืออย่างแน่นอน
บัณฑิตผู้นี้ไม่เพียงมีพรสวรรค์ด้านการเรียนเหนือผู้อื่น ทว่ายังเชี่ยวชาญด้านการใช้ชีวิต…เมื่อก้าวเข้าสู่ราชสำนัก การงานจะต้องเจริญก้าวหน้าเพราะฮ่องเต้กำลังประสงค์ผู้มากความสามารถเช่นนี้อยู่ ! ตำแหน่งด้านหน้าที่การงานของบัณฑิตผู้นี้จะเจริญก้าวหน้าได้หรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับระยะเวลาแล้ว !
สาเหตุที่ฟางเหยียนไว่หลางไม่ได้เดินออกจากเส้นทางขุนนางก็เพราะเป็นคนมีสติ ! เขารู้จักตนเองอย่างชัดเจน ด้วยพรสวรรค์ของตนและความไม่มีเงินหรืออำนาจคอยหนุนหลัง การได้มานั่งอยู่ในตำแหน่งรองหัวหน้ากรมคลังก็ถือว่าเกือบถึงจุดสูงสุดแล้ว…ไม่แน่ว่าเขาอาจอาศัยคนผู้นี้ได้ ! ขณะคิดแล้ว ท่าทีที่เขามีต่อสหายเยี่ยงฟ่านหยุนหนิงก็ดูสุภาพกว่าเดิม
เมื่อกังวลว่านายอำเภอหวางจะสร้างความลำบากแก่ฟ่านหยุนหนิงและศิษย์เอก ฟางเหยียนไว่หลางจึงฉีกยิ้มแล้วกล่าวกับนายอำเภอว่า “ใต้เท้าหวาง ในอำเภอมีผู้มากความสามารถเช่นนี้ก็เพราะใต้เท้าให้ความสำคัญต่อการศึกษาและเป็นผู้นำที่ดี ! ”
“มิกล้า มิกล้าขอรับ ! ” นายอำเภอหวางดูมีความสุขจึงรีบพูดต่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้าน้อยก็เคยเป็นบัณฑิตผู้ยากไร้ ดังนั้นจึงเข้าใจในความยากลำบากของบัณฑิตเหล่านี้ บัณฑิตเจียงสามารถเล่าเรียนได้ด้วยความเพียรและยังศึกษาศาสตร์ตัวเลขอีกทั้งงานไม้พร้อมกัน ช่างเป็นผู้มีความสามารถที่หาตัวจับได้ยาก ! นี่ก็เป็นเพราะการสอนสั่งของอาจารย์ฟ่าน…”
อาจารย์ฟ่านเข้าสังคมไม่เก่ง รอยยิ้มบนใบหน้าจึงดูแข็งไปหน่อย “มิกล้า มิกล้า ! เพราะใต้เท้าหวางปราดเปรื่อง อำเภอเป่าชิงจึงมีการศึกษาที่ดี สามัญชนจึงส่งลูกหลานมาที่สำนักศึกษามากมาย ใต้เท้าหวางจะไม่มีผลงานได้อย่างไร ! ”
นายอำเภอเห็นว่าท่านเหยียนไว่หลางตรงหน้าช่วยพูดแทนตนอย่างต่อเนื่อง ปมเล็ก ๆ ในใจจึงค่อยคลายออก จากนั้นเขาก็ทำมือคารวะไปทางเมืองหลวงแล้วพ่นคำสรรเสริญต่าง ๆ นานาออกมา จากนั้นยังพูดประจบฟางเหยียนไว่หลางอีกหนึ่งยก
อาจารย์ฟ่านฟังจนถึงขั้นรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยหน่าย เมื่อหันไปมองสหายแล้วกลับพบว่าเจ้าหมอนี่กำลังมีท่าทีเพลิดเพลิน เป็นอย่างที่คิดว่าตัวเขาไม่เหมาะต่อการเป็นขุนนางเลย อย่างไรก็สู้เป็นอาจารย์สอนหนังสือต่อไปไม่ได้
เมื่อภาพรถม้า ‘หรูหรา’ และยังมีคนควบม้าตามหลังด้วยอีกสี่ตัวได้ตกอยู่ในสายตาของชาวบ้านฉือหลี่โกวก็เป็นเหมือนการชมภาพทิวทัศน์ทางตะวันตกไม่มีผิด พวกเด็กที่วิ่งเล่นอยู่หน้าหมู่บ้านและสายตาดีจึงรีบวิ่งไปหาผู้ใหญ่บ้านทันที
ตอนต่อไป