ตอนที่ 188 ทำให้ตนซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
ตอนที่ 188 ทำให้ตนซาบซึ้งจนน้ำตาไหล
ใต้เท้าหยวนผู้ดำรงตำแหน่งช่างชูแห่งกรมคลังดีใจขึ้นมาทันที เพราะตอนนี้กรมคลังกำลังขาดแคลนคนทำงานและยังต้องรวบรวมเสบียงบรรเทาทุกข์ ทำบัญชีรูปแบบใหม่อีก เขาเคยทูลขอคนจากฝ่าบาทหลายต่อหลายครั้ง แต่ในราชสำนักก็ขาดแคลนคนทำงาน…หากได้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคนก็มีแรงเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแรง แม้ใต้เท้ากวนท่านนี้จะเป็นคนขวานผ่าซากและอวดดีอยู่บ้าง ทว่าด้านการทำงานก็ถือว่ามีฝีมือ ! ลูกน้องที่คอยบ่นว่างานเยอะเหล่านั้นก็คงบ่นน้อยลง !
หันมาเอ่ยถึงด้านของหลินเว่ยเว่ยบ้างดีกว่า เมื่อนางกลับมาที่ฉือหลี่โกวในยามเย็นแล้วก็โอ้อวดถึงสิ่งที่ได้ทำให้แก่ราษฎร นางหันไปอวดกับบัณฑิตหนุ่มอยู่พักหนึ่ง “อย่าว่าแต่เงินค่าเช่า 160 ตำลึงเลย ถ้าองค์ชายเจ็ดสามารถเปิดคลังบรรเทาทุกข์ในผู้คนในเขตเริ่นอันได้จริง แม้จะให้ข้าจ่ายเงินเพิ่มไปอีกเท่าตัว ข้าก็ยอม ! ”
ทุกครั้งที่เดินทางเข้าเมือง นางจะต้องเห็นร่างผู้ประสบภัยที่ผอมแห้งราวกับท่อนฟืนและมีใบหน้ามีแต่ความสิ้นหวังเสมอ ร่างกายดุจซากศพเดินได้เหล่านั้นมีให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจกลายเป็นซากศพเข้าจริง ๆ ในสักวัน มีแต่คนบอกว่าเมื่อเห็นบ่อยเข้าก็จะชินชาไปเอง ทว่าหัวใจของนางมีเลือดเนื้อ ความรู้สึกสุดจะทนเช่นนั้น นางรับไม่ได้หรอก มันทรมานเกินไป !
เจียงโม่หานมองนางอย่างอ่อนโยน ความหวาดระแวงและความสงสัยที่เขามีต่อนางก็หายไปจนสิ้น แม้จะบอกว่าที่มาของนางลึกลับซับซ้อน แต่นางเป็นคนอ่อนโยน จิตใจดี มองโลกในแง่ดีและเด็ดเดี่ยว ภายนอกนางดูเป็นคนฉลาดและมากเล่ห์ ทว่าในความเป็นจริงแล้วนางไร้เดียงสาจนน่ากังวล คนเช่นนี้หากคิดร้ายกับผู้อื่นจริงก็ต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายร้ายจนเกินเยียวยาใส่นางก่อน
“เจ้าทำได้ดีมาก ! ” เจียงโม่หานอ่านความคิดของนางออกและต้องการที่จะเอื้อมมือไปลูบศีรษะน้อย ๆ ของนางเพื่อปลอบโยนหัวใจที่อ่อนแอและย่ำแย่นั้น
นางระดมคนในหมู่บ้านมาช่วยกันขุดคูน้ำสร้างทางชักน้ำลงจากภูเขา ไม่เพียงแก้ปัญหาด้านชลประทานของหมู่บ้าน แต่ยังสร้างผลงานให้เขาโดยไม่ตั้งใจด้วย นางทนเห็นคนในหมู่บ้านอดตายไม่ได้จึงพาทุกคนขึ้นเขาไปเก็บของป่า เมล็ดสนขายไม่ออกเท่าที่หวัง นางก็บริจาคสูตรลับและช่วยหมู่บ้านสร้างโรงงานแปรรูป…ตอนนี้ชาวฉือหลี่โกวล้วนมีเงินอยู่ในมือ ไม่ต้องกังวลว่าจะผ่านฤดูหนาวไม่ได้…นางทำได้ดีมากแล้ว !
ชาติก่อน ความทรงจำที่เขามีต่อองค์ชายเจ็ดคือพระองค์เจ้าอารมณ์ จุบจบของพระองค์ก็ไม่ดีไปกว่าเขาหรอก องค์ชายพระองค์หนึ่งกลับโดนปลดเป็นสามัญชนและถูกจองจำอยู่ในคุกหลวงตลอดชีวิต พระบิดาซึ่งถือกำเนิดมาจากสวรรค์ไม่เหลียวแลอีกต่อไป เพื่อแผ่นดินแล้วแม้แต่พระโอรสก็ยังละทิ้งได้ นับประสาอันใดกับกระบี่ของฮ่องเต้อย่างเขาคนนี้ ?
เมื่อเด็กคนนี้อยู่ต่อหน้าจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์อย่างองค์ชายเจ็ด นางกลับไม่มีท่าทีขลาดกลัวแม้แต่น้อยและยังฉวยโอกาสประกาศเรื่องภัยแล้งของเมืองจงโจวออกไปด้วย
องค์ชายเจ็ดในเวลานี้ยังไม่โดนผู้มีเจตนาร้ายมอมเมา ไม่โดนบีบบังคับให้เดินสู่เส้นทางของการแย่งชิงอำนาจ ในทหัยยังมีความเคารพและสนิทสนมต่อพระบิดา ทรงอยากแบ่งเบาภาระของฮ่องเต้อยู่ร่ำไป
ยิ่งไปกว่านั้นคือข้างพระวรกายยังมีหมินอ๋องซื่อจื่ออยู่อีกคน…ไม่แน่ว่าภายใต้ความคิดตื้นเขินของเด็กตัวแสบแล้ว เรื่องนี้อาจสำเร็จลุล่วงได้จริง !
เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับหนิงตงเซิ่ง ซื้อโกดังตรงท่าเรือ หาหนทางทำให้องค์ชายเจ็ดสนพระทัยภัยแล้งของเมืองจงโจว หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เขาคงสงสัยว่าอีกฝ่ายกลับชาติมาเกิด แต่เด็กคนนี้…จะบอกว่านางโชคดีได้หรือไม่ ? หรือนางมีวิสัยทัศน์ไม่เหมือนคนอื่นจึงมักคว้าโอกาสดี ๆ ได้บ่อยครั้ง ?
“บัณฑิตน้อย ? บัณฑิตน้อยรูปงาม ? ? ” มือเล็ก ๆ ของหลินเว่ยเว่ยโบกไปมาตรงหน้าเจียงโม่หาน “คิดอันใดอยู่ ? ดูเจ้าจมดิ่งอยู่กับความคิดมากเหลือเกิน ข้าถามเจ้าอยู่นะ ! อ้อ…..คงไม่ได้กำลังคิดถึงสาวน้อยคนไหนอยู่หรอกกระมัง ? บัณฑิตน้อยเริ่มมีความรักแล้วหรือ ? ”
เจียงโม่หานปัดมือที่อยู่ไม่สุขของนางออกแล้วถลึงตาใส่ “พูดเหลวไหลอันใด ! องค์ชายเจ็ดกับหมินอ๋องซื่อจื่อ…โดยเฉพาะหมินอ๋องซื่อจื่อมีอิทธิพลมากต่อพระทัยของฮ่องเต้ เจ้าน่ะ ได้ช่วยชีวิตชาวจงโจวไว้ด้วยความคิดแสนหุนหันพลันแล่นของตน รู้ตัวหรือไม่ ? ”
“เรียกหุนหันพลันแล่นอันใดกัน อย่างข้าน่ะเรียกว่าทั้งกล้าหาญ มากกลอุบาย ใจกล้าและละเอียดรอบคอบ ! ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เวลาพบองค์ชายกับซื่อจื่ออะไรนั่นก็ต้องตกใจจนเข่าอ่อนไปนานแล้ว เวลาพูดก็คงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แน่นอน ไฉนเลยจะเหมือนข้า ! สิ่งแรกที่ข้าคิดได้ไม่ใช่ความปลอดภัยของตน แต่เป็นความอยู่รอดของราษฎรทั่วหล้า…ข้านี่สุดยอดจริง ๆ เลย ทำให้ตนซาบซึ้งจนน้ำตาไหลแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยแสร้งทำเป็นเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง
เจียงโม่หานจึงบ่นนางทันที “อย่างเจ้าเรียกว่าใจกล้าแบบคนโง่ ! ต่อไปก็ออกห่างจากผู้ที่มีอำนาจหน่อย คนเหล่านั้นเจ้าอารมณ์ผิดปกติ ไม่เห็นชีวิตของคนอื่นสำคัญ อึดใจนี้ยังยิ้มพลางหัวเราะพูดคุยกับเจ้า แต่อึดใจต่อมาเจ้าอาจกลายเป็นศพก็ได้ ! ”
“หลอกให้คนตกใจน้อย ๆ หน่อยเถิด เห็นข้าเป็นคนขี้ขลาดหรือไร ? ” หลินเว่ยเว่ยกลอกตา แม้องค์ชายเจ็ดจะดูไม่เอาไหนก็จริง ทว่าก็มีหมินอ๋องซื่อจื่อคอยจับตาดูอยู่ “หมินอ๋องซื่อจื่อคนนี้ ดูท่าทางยังพึ่งพาได้อยู่ ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อผู้นี้…ไม่เคยทำให้ฮ่องเต้ทรงผิดหวังมาก่อน น่าเสียดายที่…
“บัณฑิตน้อย ซื่อจื่อหยิ่งทะนงคนนี้ดูคล้ายเจ้าอยู่บางส่วน ! เจ้าคงไม่ได้เป็นลูกหลานของท่านอ๋องที่ตกอับมาเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงพล็อตนิยายน้ำเน่าในอดีตชาติ ทันใดนั้นสมองของนางก็แล่นผิดปกติ
เจียงโม่หานไม่เอ่ยอันใดสักคำ
“เฮ้เฮ้ ! เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ ! ข้าหยอกเล่นต่างหาก เหตุใดจึงสะบัดแขนเสื้อใส่อีกแล้ว ? ” หลินเว่ยเว่ยเดินตามไปพลางปากก็บ่นพึมพำไปด้วย “บัณฑิตน้อย เจ้าน่ะ ไม่ว่าสิ่งใดก็ดีไปหมด เสียอยู่อย่างเดียวคือขี้โมโห เจ้าจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้นะ รู้หรือไม่ ? ต่อไปกู่เหนียงบ้านใดจะทนรับนิสัยของเจ้าได้ ? ผู้ชายน่ะต้องใจกว้าง ใจกว้างหน่อย…”
นี่ข้ายังไม่เรียกว่าใจกว้างอีกหรือ ? ถ้าใช้นิสัยของโฉวฝู่ในชาติที่แล้วมาวัด ศีรษะของเด็กตัวแสบอย่างเจ้าไม่รู้ว่าหลุดออกจากบ่าไปกี่ครั้งแล้ว !
หลีชิงที่กลับมาพร้อมมัดฟืนขนาดใหญ่ก็เห็นหลินเว่ยเว่ยทำตัวเหมือนหนอนคลานตามก้นเจียงโม่หานออกไปยังบ้านด้านข้าง คนหนึ่งมีใบหน้ายิ้มแย้ม ส่วนอีกคนทำเหมือนว่าติดหนี้ 800 ตำลึงอยู่ เขาจึงอดขมวดคิ้วไม่ได้ เมื่อวางมัดฟืนลงแล้ว เขาก็โบกมือเรียกเจียงโม่หาน
เจียงโม่หานยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
ทว่าสุดท้ายก็ยอมเดินตามหลีชิงออกไป หลีชิงเดินไปยังสถานที่ไร้ผู้คน ต่อจากนั้นก็กอดอกแล้วมองเจียงโม่หานด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ “บัณฑิตเจียง เสี่ยวเว่ยของบ้านเราเพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาจึงไม่เข้าใจเรื่องทางโลก เจ้าศึกษาตำรามาตั้งหลายปีหรือไม่เข้าใจว่าชายหญิงควรรักษาระยะห่างต่อกัน ? ต่อไปอยู่ให้ห่างเสี่ยวเว่ยของบ้านเราหน่อย ! ”
เจียงโม่หานหงุดหงิดกับคำว่า ‘เสี่ยวเว่ยของบ้านเรา’ จากปากหลีชิงที่สุด เขาเพียงถามกลับไปว่า “เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาพูดเรื่องนี้กับข้า ? ”
หลีชิงเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิ “สิทธิ์ที่ข้าเป็นญาติผู้พี่ของเสี่ยวเว่ย ! ญาติผู้พี่ก็ยังเป็นพี่อยู่ดี ในฐานะพี่ชายก็ต้องปกป้องน้องสาว จะให้ใครบางคนหลอกไม่ได้เด็ดขาด ! ”
“น้องสาวของเจ้า ? ข้าคิดว่าเจ้าเอาเวลาไปตามหาน้องสาวแท้ ๆ ของตนจะดีกว่า” เจียงโม่หานฉีกยิ้มอย่างเย็นชา !
สีหน้าของหลีชิงเปลี่ยนไปทันที “เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากทำหรือ ? ผ่านมานานเช่นนี้ แถมในระหว่างนั้นยังเกิดสงครามขึ้นอีก การตามหาใครสักคนก็เหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร…”
“ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้หรอก จงอี้โหวสามารถทำเพื่อเรื่องส่วนตัวจนฆ่าล้างตระกลูหลีได้ ด้วยความทะเยอทะยานของเขาจะต้องไม่ยอมถูกจำกัดอำนาจอยู่แค่ภาคเหนือแน่นอน เขาเป็นท่านโหวที่ไม่ได้รับความสำคัญจากฮ่องเต้คนหนึ่งไม่ใช่หรือ…”
ข้าช่วยเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว ความแค้นจะชำระได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าเอง ! เจียงโม่หานใช้สองมือไพล่หลังแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว…เขาขอให้ความช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ ก็พอ