ตอนที่ 191 เหตุผลช่างไร้สาระ
ตอนที่ 191 เหตุผลช่างไร้สาระ
หัวหน้าองครักษ์ของหมินอ๋องซื่อจื่อพูดกับชาวบ้านฉือหลี่โกวว่า “เรียกผู้นำของพวกเจ้าออกมา ท่านแม่ทัพมีเรื่องจะถาม ! ”
สำหรับเจ้าหน้าที่ทางการ ชาวบ้านต่างให้ความเคารพและหวาดกลัวมาโดยตลอด หลังจากผู้ใหญ่บ้านเห็นกลุ่มของหมินอ๋องซื่อจื่อเดินเข้ามา เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ขณะมีจิตใจที่วิตกกังวลและหวาดกลัว เขาก็เข้าไปต้อนรับภายใต้สถานการณ์ที่รายล้อมไปด้วยฝูงชน “ไม่ทราบว่าพวกท่านมีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ ? ”
หมินอ๋องซื่อจื่อพยายามทำเสียงให้นุ่มนวลที่สุด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าล้มเหลวเพราะใบหน้ายังเคร่งขรึมไม่น้อย “บัณฑิตเจียงอยู่หรือไม่ ? ”
ในยามที่เขามีสีหน้าเยือกเย็น บรรดานายทหารภายใต้บัญชาก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ส่วนผู้ใหญ่บ้านเป็นชายชรามีอายุพอสมควรแล้ว เขาจึงไม่อยากทำให้ตกใจกลัว เมื่อบัณฑิตเจียงสอบติดถงเซิงก็น่าจะมีประสบการณ์ทางสังคมบ้างแล้ว ดังนั้นเข้าไปคุยกับเจ้าตัวโดยตรงน่าจะสะดวกกว่า
เจียงโม่หานที่โดนขานเรียกชื่อ อยากจะหลบก็หลบไม่ได้ เขาจึงเดินออกมาด้านหน้าสองสามก้าวแล้วโค้งคารวะ “บัณฑิตเจียงโม่หานแห่งสำนักศึกษาเหวินหยวน คารวะซื่อจื่อ ! ”
หลินเว่ยเว่ยที่ออกมาเองก็เลียนแบบการทำมือคารวะของเขา “หลินเว่ยเว่ยคารวะซื่อจื่อ ท่านเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ? ”
ถ้อยคำที่กล่าวออกมาอย่างคุ้นเคย ฟังราวกับสนิทสนมกับหมินอ๋องซื่อจื่อมากเหลือเกิน เจียงโม่หานจึงหันไปส่งสายตาตักเตือนนางทันที…อย่าพูดมากและสร้างปัญหา ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าเป็นแค่สิ่งไร้ค่าของผู้มีอำนาจเท่านั้น !
“บัณฑิตเจียง หลินกู่เหนียง ไม่ต้องมากพิธี…” ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างฉายขึ้นในสมองของหมินอ๋องซื่อจื่อ เขาหันไปพูดกับหลินเว่ยเว่ย “วิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่ที่บัณฑิตเจียงทูลถวายขึ้นไป หลินกู่เหนียงเป็นคนต้นคิดใช่หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยจึงเอ่ยอย่างถ่อมตนชนิดหาได้ยากในยามปกติ “ข้าน้อยรู้อักษรไม่มาก แค่คิดวิธีช่วยให้ประหยัดเวลาของตนเท่านั้น อย่างไรก็ยังเป็นบัณฑิตน้อย…บัณฑิตเจียงที่มีสติปัญญาเฉียบแหลม สามารถค้นพบคุณค่าของมัน เขาจึงได้รวบรวมและเรียบเรียงด้วยความอุตสาหะ แต่งเติมเสริมสร้างเนื้อหา…ส่วนใหญ่เป็นผลงานของบัณฑิตเจียงทั้งนั้น ! ”
“บัณฑิตเจียงมากความสามารถ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดฮ่องเต้ทรงปฏิบัติต่อเจ้าแตกต่างออกไป ! ” หมินอ๋องซื่อจื่อหันมามองเจียงโม่หาน ขณะเดียวกันในใจก็อดชื่นชมไม่ได้…อัจฉริยะ !
เมื่อในท้องมีหนังสือและบทกวีอยู่ บุคลิกย่อมสง่างามด้วยตนเอง คงเอาไว้ใช้บรรยายบุคคลผู้นี้ได้กระมัง ? บุคลิกภายนอกแสนโดดเด่น ความสามารถน่าอัศจรรย์…คนผู้นี้ไม่ได้อยู่ในก้นบ่อและอนาคตจะต้องมีวันบินสู่ฟากฟ้าแน่นอน !
เจียงโม่หานเงยหน้ามองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “บัณฑิตโชคดีที่ได้รับความห่วงใยจากฝ่าบาท ซื่อจื่อกล่าวชมเกินไปแล้วขอรับ ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อในตอนนี้เป็นเด็กหนุ่มอายุเพียง 18-19 ปี ทว่าท่าทางดูสุขุมและมีความเย่อหยิ่งอยู่ในตัว เมื่อเทียบกับองครักษ์คนก่อนหน้ายังเหนือชั้นกว่ามาก
ในอดีตชาติ หลังจากนี้ไปอีกสองปี เพื่อช่วยชีวิตฮ่องเต้แล้ว หมินอ๋องซื่อจื่อก็สิ้นชีพลงด้วยธนูของกบฏจากราชวงศ์ก่อน หมินอ๋องจึงกลายเป็นคนผมขาวที่ต้องส่งคนผมดำขึ้นสวรรค์และล้มป่วยเพราะความตรอมใจ ด้วยเหตุนี้จวนหมินอ๋องจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของตัวปลอม !
ระหว่างย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตชาติ เขาก็ได้ยินเพียงหมินอ๋องซื่อจื่อกล่าวอีกครั้งว่า “ได้ยินว่าเจ้าคิดค้นวิธีกรองน้ำได้อีกแล้ว สามารถนำออกมาให้ข้าดูได้หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยจึงรีบเสนอตัวทันที “เรื่องนี้ข้าน้อยรู้ ! หากซื่อจื่อไม่รังเกียจ ข้าน้อยสามารถอธิบายให้ท่านฟังได้เจ้าค่ะ ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อก็มองออกว่าบัณฑิตเจียงผู้นี้เป็นเหมือนตนคือต่างคนต่างพูดไม่เก่ง ทว่าหลินกู่เหนียงกลับน่าสนใจ นางพูดจาคล่องแคล่ว ฉลาดหลักแหลม ถ้าได้นางมาช่วยอธิบายคงน่าสนใจขึ้นอีกหน่อย เขาจึงพยักหน้าตอบรับทันที !
“ซื่อจื่อเชิญดู นี่เป็นเพียงอุปกรณ์กรองน้ำอย่างง่ายเท่านั้น ยังมีข้อจำกัดคือน้ำไหลได้ช้า ถ้าอยากกรองน้ำในปริมาณมากก็สามารถสร้างภาชนะที่หนาและใหญ่ขึ้นเป็นพิเศษได้ ทางที่ดีควรทำด้านล่างให้เป็นทรงกรวยและเจาะรูเล็ก ๆ ไว้ให้ทั่ว
ชั้นแรกหรือชั้นล่างที่วางลงไปคือผ้าสะอาดเพื่อป้องกันไม่ให้วัสดุเช่นถ่านหรือทรายต่าง ๆ ไหลลงมาตามรูได้ ชั้นต่อมาเป็นถ่าน…ดีที่สุดควรเป็นถ่านที่เผาจากช่างผู้ชำนาญเพราะถ่านที่เราเผาเองโดยทั่วไปจะทำให้กรองแล้วไม่สะอาดเท่าที่ควรเจ้าค่ะ ! ”
หมินอ๋องซื่อจื่อถามว่า “เหตุใดต้องใช้ถ่าน ไม่เลือกใช้วัสดุอย่างอื่นแทน ? ”
“เรียนซื่อจื่อ ท่านลองมองให้ดีว่าในถ่านมีรูพรุนอยู่มากมาย มันจึงมีคุณสมบัติช่วยดูดซับได้ดีมาก ในน้ำมีแมลงตัวเล็กที่ทำให้คนล้มป่วยและยังไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอยู่อีก ในระหว่างนี้มันจะถูกกรองออกไปประมาณเจ็ดแปดส่วน ทรายละเอียดและก้อนกรวดด้านบนใช้สำหรับกรองสิ่งสกปรกขนาดใหญ่ แม้แต่น้ำขุ่น ๆ หลังกรองผ่านก้อนหิน กรวด ทรายและถ่านแล้วก็จะสามารถดื่มได้อย่างมั่นใจ ! ” หลินเว่ยเว่ยอธิบายอย่างละเอียด
หมินอ๋องซื่อจื่อพยักหน้า “วิธีนี้วิเศษมาก ! บัณฑิตเจียง เจ้ายินดีมอบวิธีนี้ให้กองทัพหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานหันไปมองหลินเว่ยเว่ย เขาเห็นเพียงเด็กคนนี้กำลังพยักหน้ามาด้วยความตื่นเต้น เฮ้อ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่านี่เป็นผลงานของนางเอง ยังผลักมาให้เขาทุกครั้ง หากไม่เรียกว่าโง่แล้วจะเรียกว่าอันใด ? เป็นเด็กโง่อย่างที่คิดไว้เสียจริง !
หลินเว่ยเว่ยเห็นปากเขาขยับจึงเข้าใจผิดไปเองว่ารู้ใจอีกฝ่ายมาก “บัณฑิตน้อย เจ้าอยากเขียนวิธีกรองน้ำออกมาใช่หรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะหาแท่นฝนหมึกให้ ! ”
“เจ้า…คงไม่ได้บอกว่าเอาแท่นฝนหมึกมาด้วยหรอกนะ ? ” เจียงโม่หานมองเข้าไปในดวงตาของนาง เขาอยากรู้ว่าการที่นางทำเช่นนี้กำลังวางแผนอันใดอยู่ อย่างไรก็ตามดวงตาของนางก็เป็นดั่งน้ำที่ใสบริสุทธิ์จนน่าตกใจ
หลินเว่ยเว่ยออกไปค้นหาบางอย่างที่เกวียนเทียมล่อ หลังพลิกไปพลิกมานางก็หยิบพู่กัน แท่นฝนหมึกและกระดาษออกมาจริง ๆ จากนั้นนางก็เดินมาอธิบายกับหมินอ๋องซื่อจื่อ “ที่บ้านมีบัณฑิตกำลังจะสอบอยู่สองคนจึงเป็นธรรมดาที่จะพกพู่กันและแท่นฝนหมึกไปด้วยทุกที่ หากพวกเขามีอารมณ์สุนทรี อยากประพันธ์บทกวีขึ้นมา เวลาเช่นนั้นจะขาดพู่กันได้หรือเจ้าคะ ? ”
เจียงโม่หานส่ายหน้าเบา ๆ…คนหนึ่งกำลังจะสอบบัณฑิตถงเซิง อีกคนแม้แต่ซิ่วไฉก็ยังไม่ได้สอบ อารมณ์สุนทรีอันใดกัน ? เหตุผลช่างไร้สาระ !
แต่หมินอ๋องซื่อจื่อกลับไม่ได้คิดเช่นนั้นเพราะแม้แต่ฮ่องเต้ยังตรัสว่าบัณฑิตเจียงผู้อ่อนเยาว์เป็นอัจฉริยะ บางทีในด้านบทกวีแล้วอาจประสบความสำเร็จอย่างลึกซึ้งก็ได้ !
“ฝนหมึกเสร็จแล้ว เขียนได้เลย ! ” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้อีกฝ่าย
ภายใต้ความเหนื่อยหน่ายนั้น เจียงโม่หานก็หยิบกระดาษและพู่กันขึ้นมา จากนั้นก็เริ่มเขียนถ้อยคำเมื่อครู่ของหลินเว่ยเว่ยพร้อมแต่งเสริมเข้าไปอีกเล็กน้อย
ต่อจากนั้นหมินอ๋องซื่อจื่อก็รับกระดาษมาถือไว้แล้วเก็บมันอย่างระมัดระวัง “มีสิ่งนี้แล้วก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำดื่มในระหว่างยกทัพได้เสียที รอให้ข้ากลับเมืองหลวงเมื่อไร จะนำผลงานของเจ้าขึ้นกราบทูลต่อฝ่าบาทแน่นอน”
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงหรอกขอรับ ! ” เจียงโม่หานกล่าวด้วยท่าทางสบาย
หมินอ๋องซื่อจื่อเผยแววตาชื่นชมเล็กน้อย แค่การไม่สูญเสียกิริยานี้ก็เหมือนลูกผู้ดีมีสกุลแล้ว เขาจึงกล่าวต่อพร้อมรอยยิ้ม “สำหรับเจ้าอาจเป็นเรื่องเล็ก แต่มันเป็นประโยชน์ต่อทหารทั้งกองทัพ ! ผลงานนี้คือสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ ! ”
เมื่อหมินอ๋องซื่อจื่อจากไปแล้ว เจียงโม่หานก็ดึงสีหน้า แววตาแสนหนาวเหน็บจับจ้องมายังหลินเว่ยเว่ย “เจ้ามีสิ่งใดอยากพูดหรือไม่ ? ”
“พูด…พูดสิ่งใด ? คำยินดีเช่นนั้นหรือ ? ” เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย หลินเว่ยเว่ยก็ใจสั่นทันที เสียงก็มีความหวาดระแวงพอสมควร
“อย่าแกล้งโง่หน่อยเลย ! เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าวิธีนี้เจ้าเป็นผู้คิดค้น เหตุใดจึงผลักมาให้ข้า ? หรือในใจของเจ้าเห็นข้าสุดแสนจะเกินทน ต้องคอยอาศัยผลงานของผู้อื่นเพื่อเข้าพระเนตรฮ่องเต้ได้” แววตาของเจียงโม่หานไร้ระลอกคลื่นเพราะเขาไม่ได้โมโหหรือดีใจแต่อย่างใด