ตอนที่ 215 อย่าแตะต้อง
“อย่าขยับ ! ” มือใหญ่โอบเอวของนางแน่นกว่าเดิม
หลินเว่ยเว่ยเชื่อฟังจึงไม่ขยับตัวอีก ไม่รู้ว่าหัวใจของใครเต้นแรงกว่ากัน ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก…
ในสถานการณ์ที่หลินเว่ยเว่ยมองไม่เห็น ใบหูของเจียงโม่หานก็แดงเหมือนสีเลือดไปแล้ว เขาก้มหน้ามองเด็กสาวในอ้อมกอด ยากนักที่เด็กตัวแสบจะเชื่อฟังเช่นนี้
เมื่อเห็นใบหน้ามอมแมมและดวงตาที่หรี่จนใกล้จะปิดของหลินเว่ยเว่ยนั้น เขาก็ตกใจ หรือว่าดวงตาของนางจะได้รับบาดเจ็บ ? สวรรค์โปรดคุ้มครอง จะให้ดวงตาเปื้อนยิ้มคู่นี้เป็นอันใดไม่ได้ !
“ตาเป็นอย่างไรบ้าง ? ” เจียงโม่หานถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลินเว่ยเว่ยออกแรงกะพริบตา ความรู้สึกระคายเคืองที่ดวงตาทำให้นางรู้สึกไม่สบายมาก “มีเศษบางอย่างเข้าตา เจ้ารีบเป่าออกให้หน่อย ! ”
“ได้ เจ้ากอดข้าให้แน่น ! ”
หลินเว่ยเว่ยทำตามอย่างว่าง่าย มือทั้งสองข้างกอดเอวเจียงโม่หานไว้ คิคิ เอวบัณฑิตน้อยบางมาก หืม ? ไม่ได้บางเป็นเนื้อนุ่มแต่เขามีกล้ามหน้าท้องด้วย เจ้าเอวเล็ก ๆ นี้กำลังพอดี สัมผัสแล้วรู้สึกดีมาก เหมาะเอาไว้สำหรับกอด…
“อย่าแตะต้อง ! ” เจียงโม่หานตีมือเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่สุขของนาง
ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็ละมือข้างหนึ่งออกจากเอวของนางแล้วจับคางหลินเว่ยเว่ยเอาไว้ เขาเชยคางนางขึ้นมา ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันเกินไป แม้หลินเว่ยเว่ยหลับตาอยู่ก็สัมผัสได้ถึงจมูกที่แทบจะชนหน้าผากของตนและลมอุ่นร้อนที่เป่ามาบริเวณใบหน้า…
นางจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์ในเวลานี้ คนหนึ่งเงยหน้า อีกคนก้มหน้า นี่ไม่เหมือนคนกำลังจะจุมพิตกันหรือ ? ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็จงใจทำปากเป็นรูปปากเป็ดตัวน้อย
เจียงโม่หานกลอกตาอย่างหมดความอดทน…ไม่ก่อเรื่องสักครั้งจะตายหรือไร ?
เขาเปิดเปลือกตาของ ‘เจ้าเป็ดน้อย’ ขึ้นแล้วเป่าแรง ๆ “ลองดูว่าลืมตาได้หรือยัง ? ”
“ยังไม่ได้ ! เจ้าไม่ต้องเป่าแล้ว ใช้แขนเสื้อเช็ดก็พอ” เหมือนหลินเว่ยเว่ยจะเคยอ่านเจอว่าการเป่าตาไม่ใช่วิธีทางวิทยาศาสตร์
เจียงโม่หานมองแขนเสื้อของตน จากนั้นก็ดึงผ้าซับในออกมาแล้วช่วยเช็ดตาอีกฝ่ายอย่างเบามือ ท่าทางที่ตั้งใจและระมัดระวังเช่นนี้เหมือนเขากำลังอยู่กับสมบัติอันล้ำค่าที่รักมากชิ้นหนึ่งในอดีตชาติ
“ลองลืมตาว่าหายหรือยัง ? ” เจียงโม่หานไม่ได้สังเกตว่าเสียงของตนเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมาก
หลินเว่ยเว่ยกะพริบตาสีแดงอ่อน จากนั้นก็พยายามบีบน้ำตาสองสามหยดเพื่อไล่เศษฝุ่นผงแล้วพยักหน้า “หายแล้ว…”
อ๋า ! ทั้งสองอยู่ใกล้กันเกินไป แค่พยักหน้าเล็กน้อย คิ้วของนางก็แตะโดนริมฝีปากอีกฝ่ายแล้ว อุ่น ๆ นุ่ม ๆ ชุ่ม ๆ เหมือน…พุดดิ้งนุ่มนิ่มแสนอร่อย อยากลองกินสักคำจะทำอย่างไรดี ?
หลินเว่ยเว่ยเงยหน้าพลางจ้องริมฝีปากที่ใกล้เพียงเอื้อมมือของบัณฑิตน้อยเขม็ง อาจเพราะแววตาของนางดูใจกล้าเกินเหตุ ใบหูของเจียงโม่หานจึงค่อย ๆ ถูกย้อมด้วยสีดอกกุหลาบอีกครั้ง
“หืม ? บัณฑิตน้อย เจ้าตัวสูงกว่าข้าตั้งแต่เมื่อใด ? ” พอทั้งสองคนได้มาแนบชิดกัน หลินเว่ยเว่ยจึงได้พบว่าเจียงโม่หานที่เคยสูงเท่าศีรษะของนาง บัดนี้สูงกว่านางประมาณ 4-5 หลีหมี่แล้ว
เจียงโม่หานค่อย ๆ ยกมุมปากขึ้น อารมณ์ก็เหมือนจะดีใช้ได้ “ข้าเป็นผู้ชาย ถ้าไม่สูงขึ้นสิแปลก”
ความสูงในชาติที่แล้วของเขามีมากกว่าเด็กน้อยในอ้อมกอดถึงครึ่งศีรษะแน่นอน ขอสันนิษฐานว่าเด็กตัวแสบจะไม่สูงไปกว่านี้อีก เจ้าดูตัวเองเถิด จะตัวสูงไปเพื่อเหตุใด ? เวลาที่ตัดเสื้อผ้าก็ใช้ผ้ามากกว่าคนอื่นตั้งเยอะ ! เบาๆ หน่อยเถิด เหลือทางไว้ให้ผู้ชายบ้าง
เด็กน้อยในอ้อมกอดเริ่มขยับตัว เขาจึงรีบกลับไปกอดเอวเรียวบางของนางให้แน่นเหมือนเดิม ตั้งแต่นางกลับมามีสติจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปแค่ครึ่งปีเท่านั้น ร่างกายที่เคยอวบอิ่มกลายเป็นผอมบางภายใต้เสียงกรีดร้องจะลดน้ำหนักของนางอยู่เลย
มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นทั้งตัว ! ใบหน้าที่เคยอ้วนกลมเปลี่ยนเป็นใบหน้ารูปไข่แสนน่ารัก ขาที่เคยอวบแน่น ตอนนี้เป็นขาเรียวยาวและยังดูสวยขึ้นอีกด้วย ดวงตาโค้งมนดั่งเสี้ยวพระจันทร์ ปากเล็กดูดี ถ้ามองให้ดีแล้ว…ถือว่าน่ามองมาก !
“อะแฮ่ม ! ” เจียงโม่หานกระแอมในลำคอพร้อมละสายตาออกจากใบหน้าเด็กตัวน้อย แต่เขาเห็นมือและแขนซ้ายที่เปื้อนเลือดของนางแทน มือขาวเนียนเต็มไปด้วยบาดแผล เล็บถึงขั้นหลุดสองนิ้วและเลือดกำลังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง บริเวณแขนมีกิ่งสนหักคาเนื้อ…แค่เห็นยังเจ็บแทน !
เขาฉีกเสื้อตัวในออกมาแล้วห่อแขนของนางเหมือนห่อบ๊ะจ่าง ขณะเดียวกันก็อยากลองดึงกิ่งสนที่แขนของนางออก ทว่าก็กลัวนางเจ็บจนทนไม่ไหว
หลินเว่ยเว่ยมองตามสายตาของเขาแล้วรีบดึงกิ่งสนออกมาด้วยมือขวา โชคดีที่กิ่งสนแทงเข้าไม่ลึกจึงไม่บาดเจ็บถึงเส้นเอ็น
เจียงโม่หานตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เด็กคนนี้ไม่รู้จักคำว่าเจ็บบ้างหรือ ?
จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็นำกระบอกน้ำออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณแล้วยื่นให้บัณฑิตหนุ่ม “ช่วยข้าล้างแผลหน่อย”
หืม ? เมื่อครู่มีกระบอกน้ำอยู่ด้วยตลอดหรือ ? เหตุใดเขาจึงไม่สังเกตเห็น ? หรือเพราะเป็นห่วงนางเกินไปจึงเอาแต่สนใจตัวนางจนละเลยเจ้าสิ่งนี้ ? ทว่าเหตุใดตอนที่ร่วงลงมา เจ้านี่ไม่ร่วงมาด้วย ?
ทว่าเจ้ากระบอกน้ำนี้มีประโยชน์พอดี เจียงโม่หานรีบรับมาล้างแผลให้หลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็พันแผลใหม่อีกครั้งแล้วยื่นกระบอกน้ำไปที่ปากของนาง “ดื่มสิ…ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี ? ”
“ทำอย่างไรหรือ ? สวดภาวนาน่ะสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของเท้าใหม่ ร่างกายเอนไปด้านหน้ามากขึ้น ทำให้บัณฑิตหนุ่มถูกเบียดกับหน้าผา…นี่มันเป็นการต้อนเข้ามุมที่ไม่สมเหตุสมผลเสียจริง !
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเล่น ต้องคิดหาวิธีสักอย่างสิ ! ” เจียงโม่หานเงยหน้ามองข้างบน หน้าผาทอดยาวสุดสายตา ไม่มีสิ่งใดให้เหยียบเพื่อปีน ถ้าอยากปีนขึ้นไปก็แทบไม่มีโอกาสเลย
“เจ้าฉลาดถึงเพียงนี้ เรื่องใช้สมองต้องยกให้เจ้าอยู่แล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยลองดึงเส้นหวายเพื่อทดสอบความยืดหยุ่น จากนั้นก็เอามาพันรอบเอวของทั้งสองคนและมัดหวายไว้กับซากต้นไม้ตายต้นหนึ่ง…บัดนี้ซากต้นไม้ยังดูค่อนข้างแข็งแรงอยู่
เอาล่ะ สามารถปล่อยมือเพื่อไปทำเรื่องอื่นได้แล้ว เช่น…ลวนลามบัณฑิตน้อย ?
เจียงโม่หานตีมือเล็กที่ยื่นมาจิ้มแก้มของตน “หากปีนขึ้นไปคงหมดหวัง เช่นนั้นลองมองข้างล่างว่าจะพอปีนลงได้หรือไม่ ! ” ดวงตาของเขาหยุดอยู่ที่หวายระหว่างเอวของทั้งสองคน
หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ภูเขาลูกนี้พวกเราใช้เวลาถึง 2 ชั่วยามกว่าจะปีนขึ้นมาถึงยอด หน้าผาในแนวตั้งอย่างน้อยก็น่าจะประมาณหลายร้อยหมี่ เจ้าหน้าผานี้เหมือนงานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นมา ยากที่จะหาของให้เหยียบปีน อาศัยแค่หวายย่อมไม่อาจรับรองได้ว่าเราจะไม่ตกไปด้านล่าง ! ”
เจียงโม่หานถอนหายใจ ขึ้นก็ไม่ได้ ลงก็ไม่ได้ หรือจะปล่อยให้ว่าที่เสาหลักของราชสำนักอย่างเขามาติดอยู่ตรงหน้าผาไปจนตาย ?
“เฮอะ ! เจ้าก็กล้าคุยโว ! เสาหลักของราชสำนัก ? เจ้ามั่นใจหรือว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ ? เจ้าต้องรู้ไว้ว่าทุกสามปีทางราชสำนักจะไม่ขาดแคลนจอหงวน ! ” ปรากฏว่านางพูดกับ ‘ความคิด’ ของเขาได้เสียอย่างนั้น
“หรือเจ้าไม่รู้ว่าข้าจะได้นั่งตำแหน่งที่อยู่ใต้คนผู้เดียวทว่าอยู่เหนือคนนับหมื่นสำเร็จ ? ” เจียงโม่หานย้อนถามอย่างติดตลก