ตอนที่ 227 กินให้น้อย ประเดี๋ยวจะโดนไล่ออก
เสี่ยวร่างร้อนใจทันทีเพราะสิ่งที่เขากลัวมากก็คือเรื่องนี้ เขารีบซอยเท้าน้อย ๆ ของตนแล้ววิ่งเข้ามาอย่างว่องไว พอนั่งลงด้านข้างเจ้าหนูน้อยอย่างเชื่อฟังแล้วดวงตากลมโตสีใสซึ่งเปื้อนไปด้วยน้ำตาก็จับจ้องหลินเว่ยเว่ย ‘บ่าวเป็นเด็กดี อย่าทอดทิ้งบ่าวเลย ! ’
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าแล้วยัดตะเกียบใส่มือเขา “นี่จึงจะถูกต้อง ! ต่อไปข้าพูดอะไร เจ้าทำตามก็พอ อย่าหลงเชื่อเรื่องเหลวไหลในสมองเหล่านั้น เข้าใจหรือไม่ ? ”
เสี่ยวร่างออกแรงพยักหน้า นายน้อยเคยสอนเขาว่าในบ้านหลังนี้ไม่เชื่อฟังคนอื่นได้ แต่คำพูดของคุณหนูรองต้องฟัง…เพราะบ้านหลังนี้ทุกคนฟังคุณหนูรองกันหมด !
หลินจื่อเหยียนถามด้วยความสงสัย “พี่รอง เมื่อครู่ท่านบอกว่าวันนี้เป็นวันน่ายินดีของพี่ใหญ่ น่ายินดีเรื่องอะไรหรือ ? พวกเราจะมีพี่เขยคนโตใช่หรือไม่ ? ”
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินหน้าแดงทันทีพลางพูดเสียงดุ “พูดจาเหลวไหลอันใด ? ท่านแม่เจ้าคะ ท่านดูพวกเขาสิ แต่ละคนโดนน้องรองสอนจนเสียคนหมดแล้ว ! ”
“พูดให้มีเหตุผลหน่อย เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าต้าฮว๋าเป็นคนพูดถึงเจ้า เหตุใดจึงลากข้าเข้าไปเกี่ยว ? ” หลินเว่ยเว่ยเคาะโต๊ะพร้อมเผยท่าทางไม่พอใจ
ก็เรื่องออกเรือนของพี่ใหญ่ไม่ได้ล้าช้ากว่าปกติหรือ ! หลินจื่อเหยียนคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าจะมีวันที่น่ายินดีอะไรได้ เขาจึงถามต่อ “ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยยกจอกสุราองุ่นขึ้นมา หลังหัวเราะร่าขณะมองใบหน้าอันหยิ่งยโสและภาคภูมิใจของพี่สาวแล้วนางก็ลุกขึ้นพูดว่า “มา ร่วมยินดีกับพี่ใหญ่ที่เรียนการทอผ้าจบได้อย่างราบรื่น บ้านเราจะลดจำนวนคนว่างงานไปได้อีกหนึ่งคนแล้ว พวกเรามาดื่มฉลองกัน ! ”
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินกลอกตาใส่อย่างแรง สิ่งใดเรียกลดจำนวนคนว่างงาน นางน้องรองไม่ชอบเห็นข้ามีความสุข !
เจ้าหนูน้อยหัวเราะร่า “ข้ากับเสี่ยวร่างล้วนไม่ใช่คนว่างงาน กระต่ายที่พวกเราเลี้ยงสามารถสร้างรายได้จำนวนมาก ! ”
หลินจื่อเหยียนก้มหน้าดื่มน้ำผลไม้ด้วยความหดหู่ เขาถอนหายใจยาว ๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะพูดว่า “มา ในบ้านหลังนี้มีข้าเท่านั้นที่ยังว่างงาน ! ”
หลินเว่ยเว่ยตบบ่าปลอบประโลม “ตอนนี้เจ้าอยู่ในระหว่างลงทุน รอให้เจ้าสอบซิ่วไฉได้เมื่อใด ทำให้บ้านเรามีสิทธิ์เว้นภาษีที่ดินก็ไม่ได้มีส่วนช่วยแล้วหรือ ? สู้ ๆ พ่อหนุ่มน้อย ! ข้าจะรอดูเจ้า ! ”
“จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกเหมือนมีภูเขาสองลูกมากดทับบนบ่า ! ” หลินจื่อเหยียนห่อไหล่
“มีแรงกดดันจึงจะมีแรงจูงใจ ! เจ้ามีอาจารย์ดีเช่นบัณฑิตน้อยทั้งคน ถ้ายังสอบไม่ติดก็ต้องพิจารณาตนเองว่าเป็นปัญหาของใครกันแน่ ! ” คนโบราณอ่านตำรากันโดยมัดผมติดกับคานบ้านเพื่อไม่ให้หลับหรือปล่อยเวลาเสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ ต้าฮว๋าของข้าทำตัวสบายเกินไปแล้ว
เจียงโม่หานพูด “การสอบยังเหลือเวลาอีกครึ่งปี ถ้าจื่อเหยียนพยายามขึ้นอีกหน่อยก็ยังพอมีหวังอยู่มาก ! ”
“ดูสิ ศิษย์พี่เจียงยังพูดแล้วว่าความหวังของข้ายังมีอยู่มาก ! ถ้าข้าสอบติดซิ่วไฉจริง ๆ จะไม่ได้กลายเป็นซิ่วไฉอายุน้อยสุดในหมู่บ้านหรือ ? ร้ายกาจกว่าศิษย์พี่เจียงอีก ! ” หลินจื่อเหยียนเผยดวงตาเป็นประกายเหมือนไฟดวงใหญ่ เขาดีใจจนเกือบทำตะเกียบหลุดมือ !
“ตอนที่เจ้าพูดประโยคนี้ออกมา รู้สึกอายบ้างหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าพร้อมตัดสินใจตีกลางแสกหน้าน้องชายเพื่อปลุกจากฝัน !
เจียงโม่หานช่วยพูดเพื่อความเป็นธรรมให้ว่าที่น้องภรรยา “หากปีหน้าพวกเราลงสนามสอบเดียวกัน สอบติดซิ่วไฉเหมือนกัน เขาเพิ่งอายุ 14 ปีแต่ข้า 16 ปีแล้ว ในจุดนี้เขาถือว่าร้ายกาจกว่าข้าจริง ๆ ! ”
“เห็นไหม เห็นไหมเล่า ! ” หลินจื่อเหยียนกระดิกหางจนแทบจะลอยขึ้นฟ้าอยู่แล้ว
ขณะที่หลินเว่ยเว่ยมองท่าทางมีชีวิตชีวาของน้องสาม นางก็เริ่มนึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอกัน ตอนนั้นเขากลายเป็นเด็กผู้เคร่งขรึมราวกับเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานและความเคียดแค้น…นี่ต่างหากจึงจะเป็นธรรมชาติที่เด็กน้อยพึงมี !
ทว่าปล่อยให้เขาได้ใจเกินไม่ได้ “แม้เจ้าร้ายกาจมากเพียงใดก็เป็นศิษย์ที่บัณฑิตน้อยสอนสั่ง ! ”
หลินจื่อเหยียนหัวเราะฮ่าฮ่า “เราสองคนร้ายกาจกันหมด ล้วนเป็นซิ่วไฉวัยเยาว์ทั้งคู่…หืม ? ศิษย์พี่เจียง ท่านคิดจะลงสอบปีหน้าด้วยหรือ ? เยี่ยมไปเลย ! จะได้ร่วมสอบสนามเดียวกับศิษย์พี่เจียง ในใจของข้าเหมือนได้กินยาสงบจิตใจเข้าไปเชียวล่ะ”
เจียงโม่หานมองลงล่างและคลี่ยิ้ม “อาการบาดเจ็บภายในของข้าฟื้นตัวพอสมควรแล้ว ไม่ส่งผลเสียต่อการสอบในปีหน้า ! ”
เดิมทีเขาไม่อยากทำตัวโดดเด่นจึงหลบความวุ่นวายในปีหน้า แต่พอเห็นเด็กน้อยไม่ว่าทำอะไรก็ดูร่าเริงไปหมด แม้ต้องเผชิญความยากลำบากก็ไม่ย่อท้อ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าจะพ่ายแพ้ให้แก่ว่าที่ภรรยาไม่ได้
เรื่องวุ่นวายยังไม่เกิดขึ้น ทุกอย่างพอมีทางแก้ไขได้ทัน เขามีโอกาสให้คว้าและถ้าเป็นเพราะเรื่องนี้จะยอมเสียเวลาไปอีก 1 ปี ก็ไม่เท่ากับทำตัวไม่เอาไหนหรอกหรือ ? ในชาตินี้ได้มีครอบครัวอยู่ข้างกายย่อมมีความกังวลตามไปด้วย เขาต้องก้าวเดินอย่างระมัดระวัง แต่ถ้าหยุดก็ก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้อยู่ดี
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินเริ่มไม่พอใจ “ไม่ได้ฉลองให้ข้าหรือ ? เหตุใดไปพูดถึงเรื่องอื่น ? ”
“ใช่ ใช่ ! ฉลองให้พี่ใหญ่ที่เรียนจบได้อย่างราบรื่น ชนฉลองกันอีกรอบ ! ” จอกสุราองุ่นและน้ำผลไม้ทั้งเก้าใบกระทบกัน ส่งเสียงกังวานใสคล้ายจะบอกว่าครอบครัวใหญ่หลังนี้กำลังเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
หลีชิงวางจอกสุราลงแล้วคีบหมูพะโล้วางบนข้าว จากนั้นก็เริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย ขณะที่เสี่ยวร่างมองมาก็เหมือนมีอะไรต้องการพูด
หลีชิงมองเจ้าถั่วงอกน้อยข้างกายด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามว่า “มองข้าทำไม เจ้าก็กินสิ ! ”
เสี่ยวร่างลดเสียงลงต่ำและพูดเตือนอีกฝ่ายเบา ๆ ว่า “คุณชาย ท่านก็โดนบ้านนายน้อยรับไว้เหมือนกัน ไม่ได้รับอาหารบรรเทาทุกข์เหมือนคนอื่นด้วย ท่านน่าจะ…กินให้น้อย ประเดี๋ยวจะโดนไล่ออกไปขอรับ ! ”
หลีชิงแทบสำลักข้าว เขาไอสองสามครั้ง เมื่อกลืนข้าวได้แล้วก็ชี้มาที่จมูกของตนและถามว่า “เหตุใดข้าจะโดนไล่ออกไป ? ”
“เพราะคุณชายเป็นเหมือนข้าคือถูกรับมาเลี้ยงเหมือนกัน ไร้ประโยชน์เหมือนกัน ! ตอนนี้ข้าวสารแพงยิ่งกว่าอะไร ถ้าท่านกินเยอะเกินไป บ้านเจ้านายจะเลี้ยงไม่ไหว หากไม่ไล่ท่านออกไป แล้วจะไล่ใครขอรับ ? ” เสี่ยวร่างก้มหน้าแล้วเขี่ยข้าวในชามเบา ๆ
ฮือฮือฮือ นี่เป็นข้าวขาวเชียวนะ อร่อยมาก ไม่ว่าอาหารจานใดก็อร่อยเหมือนกันหมด ! เขาได้ยินว่าบ่าวในทะเบียนบ้านพวกคนใหญ่คนโตในเขตเริ่นอัน ทุกวันนี้ได้กินหมั่นโถวสองลูกก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่เขาสามารถกินข้าวขาวที่หอมกรุ่น เป็นอะไรที่…มีความสุขมาก !
ตัดสินใจแล้วว่าจะตั้งเป้าหมายชีวิตคือ…ขยันทำงานเพื่อไม่ให้โดนไล่ออก !
เป็นธรรมดาที่การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนจะอยู่ในสายตาของเจียงโม่หาน เมื่อเห็นเว่ยเว่ยของตนยิ้ม เขาก็ใช้มือซ้ายคีบหมูพะโล้ชิ้นอวบไปวางใน…ในชามข้าวของหลินเว่ยเว่ย
หลินเว่ยเว่ยก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้จึงถามว่า “เจ้าสองคนบ่นพึมพำอะไรกัน ? ”
หลีชิงเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟังเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก “เสี่ยวร่างบอกว่าข้ากินเยอะ ให้ข้ากินน้อย ๆ เพราะไม่อย่างนั้นจะโดนไล่ออกไป ! ”
ทุกคนตกตะลึงทันที นางหวงมองเจ้าถั่วงอกน้อยด้วยความรัก “ที่เจ้าแอบไปกินของเหลือในครัวทุกวันเพราะกลัวจะกินเยอะเกินไปแล้วโดนไล่ออกหรือ ? ”
เจ้าหนูน้อยบีบแขนของเขาแล้วพูดว่า “รู้แล้วว่าทำไมเจ้าผอมขนาดนี้ ไม่กินข้าวให้อิ่มแล้วจะมีเนื้อมีหนังมีแรงทำงานได้อย่างไร ? ดูสิ ข้าเด็กกว่าเจ้าสองปีแต่ตัวโตกว่าเจ้าแล้ว หรือเจ้าอยากตัวเล็กไปตลอดชีวิต ? เจ้าไม่มีแรงแล้วจะช่วยข้าหาเงินก้อนโตได้หรือ ? ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารในบ้าน เพราะข้ามีเงินย่อมเลี้ยงเจ้าไหว ! ”
ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าหนูน้อยมั่นอกมั่นใจได้ถึงเพียงนี้ เพราะกระต่ายในคอกที่สามารถมีลูกได้คือ 5 คู่แล้ว ลูกกระต่ายสองรุ่นที่ได้จาก 5 คู่นี้ รวมกันแล้วก็มีมากกว่า 50 ตัว ! ช่วงสองวันนี้เขาเตรียมจะเอากระต่ายออกจากคอกประมาณ 60 ตัว ! แค่หนังกับเนื้อกระต่ายก็ทำเงินเข้ากระเป๋าได้มากโข !