ตอนที่ 230 ชีวิตฉาบฉวย
ทางด้านเจียงโม่หานก็อุ้มลูกหมาป่าไว้ในมือด้วยท่าทางใจเย็น…เกือบจะไม่ไหวแล้ว !
“ดื่มสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยวางจานอาหารลง ในที่สุดจ่าฝูงหมาป่าก็ละสายตาแล้วก้มหน้าเลียน้ำอย่างสง่างาม
ระหว่างนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ย่อตัวนั่งด้านข้างเจียงโม่หานที่เฝ้ามองจ่าฝูงดื่มน้ำเหมือนกัน เมื่อเห็นมันเลียกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาก็พูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “วันนี้บนภูเขาไม่ได้มีฝนตกหรอกหรือ ? ยังจะขาดน้ำอีกหรือไร ? ”
“ใครจะรู้ ! ทุกครั้งที่มันมาเยือน ถ้าไม่ยอมให้ดื่มน้ำก็จะไม่ออกไป อาจเพราะ…น้ำของบ้านเราอร่อย” หลินเว่ยเว่ยยื่นมือออกไปลูบหัวเล็ก ๆ ของลูกหมาป่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเทาจะเห็นข้าเป็นเจ้านายหรือไม่ ? พอมีลูกก็พามาให้ข้าดู ! ”
“บางที…มันอาจเห็นเจ้าเป็นแม่นมมากกว่า…” เจียงโม่หานชี้ไปยังจ่าฝูงหมาป่าที่ดื่มน้ำจนอิ่มแล้วก็เดินออกไปทางลานหลังบ้านด้วยท่าทางสบายอารมณ์
หลินเว่ยเว่ยอุ้มเจ้าตัวน้อยไล่ตามไป “เจ้าเทา เจ้าลืมอะไรหรือไม่ ? ” เป็นพ่อที่ดูแลลูกไม่ได้เรื่อง แค่น้ำมื้อเดียวก็ขายลูกได้แล้ว !
จ่าฝูงเจ้าเทาหันมาเลียขนเจ้าตัวน้อยสองสามครั้ง เมื่อมองนางอย่างมีความหมายแล้ว มันก็วิ่งออกไปจากประตูหลังบ้านทันที หลินเว่ยเว่ยวิ่งตามไป ฝูงหมาป่าก็วิ่งออกไปไกลแล้ว
“บัณฑิตน้อย เจ้าพูดถูกว่าเจ้าเทายกให้ข้าดูแลลูกของมัน ! ” หลินเว่ยเว่ยอุ้มลูกหมาป่าน้อยที่ยังไม่ลืมตาเสียด้วยซ้ำอย่างทำตัวไม่ถูก…แม้ตอนเรียนอยู่ที่ภาควิชาอุตสาหกรรมเกษตรก็เคยเรียนเรื่องสัตว์มาบ้าง แต่นั่นเป็นเพียงทฤษฎี ! ในช่วงชีวิตทั้งสองชาติภพนางไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงสัตว์มาก่อน !
เจียงโม่หานจึงเอ่ยว่า “หลังจากหมาป่าออกลูกแล้ว มันจะเลือกตัวที่แข็งแรงไว้ ส่วนตัวที่อ่อนแอหรือพิการก็มักโดนทอดทิ้ง นี่คือกฎของธรรมชาติ หมาป่าน้อยตัวนี้ท่าทางเหมือนหมาป่ากับหมาบ้านผสมกัน บางทีแม่หมาป่าอาจไม่ยอมเลี้ยง จ่าฝูงจึงเอามาให้เจ้าช่วยเลี้ยงแทน”
ยังมีอีกสาเหตุก็คือเจ้าเทาทราบถึงประโยชน์ของน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณ รู้ว่านางสามารถเลี้ยงเจ้าตัวน้อยได้ มันถึงพาลูกมาให้เลี้ยงเช่นนี้
หลินเว่ยเว่ยมองลูกหมาป่าที่อ่อนปวกเปียกในมือ บางทีอาจรับรู้ได้ว่ามันถูกทอดทิ้ง เจ้าตัวน้อยจึงเริ่มอยู่ไม่สุขแล้วส่งเสียงร้องแผ่วเบาออกมา…
“น่าสงสารเหลือเกิน น่าจะเพิ่งเกิดได้ไม่กี่วันเอง ยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ ! จะเลี้ยงรอดหรือไม่นะ ? ” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าได้รับภาระอันหนักอึ้ง !
“หืม ? เหมือน…อากาศเย็นขึ้น ! ” จู่ ๆ ตัวของหลินเว่ยเว่ยก็สั่นเทา นางจึงหันไปถามบัณฑิตหนุ่ม “เจ้าหนาวหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มสัมผัสได้ทันทีเพราะร่างกายสวมใส่เพียงเสื้อผ้าธรรมดา เขาจึงลูบแขนแล้วพูดว่า “อากาศเดือนเก้า (เทียบเท่ากับเดือนสิบของปฏิทินสุริยคติยุคปัจจุบัน) แปรปรวนมาก มีบันทึกไว้ว่าปีหนึ่งในอดีต เพิ่งเข้าเดือนเก้าหิมะก็ตกหนักหนึ่งรอบ ทำให้สัตว์เลี้ยงและชาวบ้านแข็งตายจำนวนมาก ! ”
“หืม ? ถ้าอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันจริง ข้าวโพดบ้านข้าจะไม่แย่เอาหรือ ? ” อีกแค่เดือนเดียวก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว ถ้าแข็งตายในคืนเดียวจะไม่เท่ากับเสียแรงเปล่าหรือไร ?
หลินเว่ยเว่ยพาเจ้าหมาป่าน้อยเข้าห้อง จากนั้นก็ออกมาพูดกับเจียงโม่หานด้วยน้ำเสียงกังวล “บัณฑิตน้อย รีบช่วยข้าคิดว่าจะทำอย่างไรจึงปกป้องพืชผลจากไอเย็นและน้ำค้างแข็งได้ ? ”
เจียงโม่หานครุ่นคิดและก็คิดออกจริง ๆ “ข้าเคยเห็นในตำราเขียนว่าสามารถใช้การรมควันเพื่อป้องกันน้ำค้างแข็งได้ ! ”
“ใช่ ใช่ ! ” หลินเว่ยเว่ยก็นึกได้เช่นกัน ในชาติที่แล้วนางเคยดูภาพยนต์เก่าของต่างประเทศเรื่องหนึ่ง เมื่อน้ำค้างแข็งมาเยือนก็ใช้การก่อไฟรมควันรอบสวนองุ่น ภายใต้ควันพวยพุ่งนั้นพระเอกกับนางเอกก็บังเกิดความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน โรแมนติกสุด ๆ ไปเลย !
ระหว่างสนทนากันนั้น ลมเหนือก็พัดเข้ามา หลินเว่ยเว่ยจึงจามออกมาหนึ่งครั้ง เจียงโม่หานรีบพูดทันที “เจ้าเข้าห้องไปก่อน เรารอดูอีกหน่อยดีกว่า บางทีเราอาจกังวลไปเองแล้วเป็นแค่อากาศเย็นธรรมดา ไม่มีน้ำค้างแข็งก็ได้”
“ได้ เจ้าก็กลับไปพักเถิด ! ” หลินเว่ยเว่ยมองบัณฑิตหนุ่มปีนกำแพงกลับบ้านอย่างเชื่องช้า ฮ่าฮ่า ท่าทางปีนกำแพงของบัณฑิตน้อยเหมือนตัวสลอธมาก น่าตลกชะมัด !
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ใช้เสื้อผ้าที่ขาดแล้วมาทำเป็นรังให้เจ้าหมาป่าน้อยและยังรีดนมกวางที่เพิ่งคลอดลูกจากในมิติน้ำพุวิญญาณออกมาให้มันดื่ม หลังเจ้าตัวน้อยได้กินจนอิ่มก็นอนหลับในรังอันแสนอบอุ่นอย่างรวดเร็ว…ถือว่ายังเลี้ยงง่าย !
ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็นอนบนเตียง ระหว่างที่กำลังจะหลับใหล นางก็ตื่นขึ้นมาเพราะความเย็นรอบกาย พอได้ยินเสียงเคาะประตูแล้ว นางก็รีบสวมเสื้อผ้าหนา ๆ พลางเดินมาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
เมื่อเปิดประตูแล้ว นางก็ได้พบกับใบหน้ารูปงามของเจียงโม่หาน เขามีสีหนาเคร่งเครียด “เริ่มมีน้ำค้างแข็งแล้ว ข้าจะไปดูแปลงนาเป็นเพื่อนเจ้า ! ”
หลินจื่อเหยียนได้ยินเสียงเปิดประตูก็ลุกขึ้นมาถามด้วยความง่วงงุน “เป็นอะไรกัน ? เกิดอะไรขึ้น ? ”
“มีน้ำค้างแข็งแล้ว เร็ว ! ไปช่วยพืชผลในนากับข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยเอามือที่เย็นยะเยือกของตนไปซุกที่คอของน้องชาย หลินจื่อเหยียนจึงตื่นเต็มตาทันที !
“ว่าอย่างไรนะ ? น้ำค้างแข็ง ? แล้วข้าวโพดของเราจะทำอย่างไร ? สภาพอากาศบ้าบอ อีกประเดี๋ยวก็ได้เก็บเกี่ยวอยู่แล้ว จะเลื่อนออกไปสักวันสองวันไม่ได้เลยหรือ ? ” หลินจื่อเหยียนขมวดคิ้ว ปากก็บ่นด้วยความโมโห
ต่อจากนั้นบ้านตระกูลหลินก็ตื่นกันหมด นางหวงสุขภาพไม่ดีจึงถูกทิ้งให้อยู่ดูแลบ้าน ส่วนคนอื่นรวมถึงเด็กอีกสองคนก็ออกไปกันหมด ! เมื่อพวกเขามาถึงแปลงนาก็พบว่าที่นั่นมีคนจำนวนมากรวมตัวอยู่ก่อนแล้วเพราะเพิ่งปลูกผัก พวกชาวบ้านจึงกลัวว่าผักจะแข็งตาย !
ผู้ใหญ่บ้านกังวลจนคล้ายจะมีผมขาวเพิ่มขึ้นไม่น้อย “สวรรค์ไม่เหลือทางรอดให้เราเลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยประกาศดังลั่น “ทุกคนไม่ต้องกังวล เพราะบัณฑิตเจียงมีวิธีป้องกันน้ำค้างแข็ง ! ”
“นางหนูรองมาแล้ว ! บัณฑิตเจียงก็มาด้วย ! ” มีคนพูดเสียงดังพร้อมกันนั้นภายในน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความดีใจและความหวัง
ผู้ใหญ่บ้านวางกล้องยาสูบอันเก่าในมือลง ขณะมองเจียงโม่หานก็ถามอย่างตั้งความหวัง “บัณฑิตเจียงมีวิธีอะไรหรือ ? ”
เจียงโม่หานพยักหน้าแต่ไม่มีทีท่าจะพูดออกมาเลย หลินเว่ยเว่ยจึงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ทุกคนรีบไปเตรียมฟืนมาเถิด ดีที่สุดคือเอาแบบยังไม่ค่อยแห้งสักเท่าไร เพราะควันที่ลอยออกมาสามารถรักษาความอบอุ่นได้ ! ”
“ได้ ได้ ! ” ชาวบ้านพร้อมใจกันทำงานขึ้นมาทันที ผ่านไปไม่นานฟืนกองแล้วกองเล่าก็มากองอยู่ที่แปลงนาและบนคันนาของแต่ละบ้าน หลังจุดไฟขึ้นแล้วเปลวไฟก็มอดดับลงอีกครั้ง ตามมาด้วยควันสีเทาลอยกระจายไปทั่วผืนนาเข้าห้อมล้อมพืชผลเอาไว้…
“เสี่ยวร่าง พัดให้เร็ว ๆ หน่อย ! ทำให้ควันลอยไปในนา อย่าให้เสียเปล่าเด็ดขาด ! ” เจ้าหนูน้อยอ้าปากหาว เมื่อเช็ดน้ำตาออกจากหางตาแล้ว พวกเขาก็เข้าร่วมกลุ่มต่อต้านน้ำค้างแข็ง อย่าดูถูกเชียว เจ้าหนูน้อยและเสี่ยวร่างทำงานหนักกันน่าดู ใบหน้าน้อย ๆ ทั้งสองกลายเป็นสีดำและสีเทามีสภาพเหมือนลูกแมวลายพร้อยไม่มีผิด
หลินเว่ยเว่ยและบัณฑิตหนุ่มคือฟ้าบกพร่องและดินแหว่งเว้า คนหนึ่งจับเศษผ้าอยู่ด้านข้างและออกแรงพัดอย่างหนัก ระหว่างที่ควันกลายเป็นปุยเมฆ พวกเขาก็ยังหันมามองสบตากันเป็นครั้งคราว…
“แค่กแค่กแค่ก ! ข้าจะตายแล้ว น้ำตา…บัณฑิตน้อย ผ้าเช็ดหน้าของเจ้าอยู่ที่ใด รีบเช็ดให้ข้าเร็ว ! ” เมื่อลมเปลี่ยนทิศก็พัดควันมาทางพวกตน ทั้งสองก็รีบหลบกันอย่างหัวหมุน น้ำตาน้ำมูกไหลพราก…ที่แท้ละครก็โกหก มีความโรแมนติกที่ไหนเล่า ? มีเพียงชีวิตอันสิ้นหวังและฉาบฉวยเท่านั้น !
เสียงไอดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใบหน้าของทุกคนกลายเป็นสีดำจากเขม่าเหมือนคนขุดถ่านหินไม่มีผิด