เขาไม่ค่อยเข้าใจ ถึงได้บอกให้อวิ๋นจือชิวรอสักครู่ จากนั้นติดต่อหยางชิ่ง เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง ให้หยางชิ่งช่วยออกความเห็นสักหน่อย อย่างไรเสียหลายปีมานี้หยางชิ่งก็ศึกษานิสัยคนในราชสำนักมาตลอด
หลังจากหยางชิ่งพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็ตอบกลับมาว่า : เกรงว่าจะต้องยินดีกับนายท่านแล้ว เมื่อได้กำลังพลห้าสิบล้านนี้ไป นายท่านก็จะได้เป็นเจ้าอาณาเขตสมคำร่ำลือแล้ว วันหลังไม่ว่าใครคิดจะแตะต้องนายท่านก็ต้องชั่งน้ำหนักผลที่ตามมาอยู่สักหน่อย!
กำลังพลห้าสิบล้าน? ยังจะแสดงความยินดีอีกเหรอ? เหมียวอี้กลอกตา เขาเองก็อยากได้ ตอนนี้กำลังขาดคนอยู่พอดี ทัพใหญ่หนึ่งแสนในมือถูกเขาพาทำศึกจนตายไปแล้วเกือบสี่หมื่น แม้จะทุ่มทรัพยากรมหาศาลเพื่อปลอบขวัญกำลังใจทหาร ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าทุ่มเทชีวิตทำงานให้เขานั้นคุ้มค่า แต่ก็ยังแก้ไขปัญหาเรื่องขาดคนไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ใช่ว่ารับไว้ได้หมดทุกคน!
เขาสงสัยนิดหน่อยว่าหยางชิ่งกำลังล้อเขาเล่นหรือเปล่า ถามว่า : เจ้าต้องอธิบายให้ชัดเจนนะ ข้าจะกลืนไหวเหรอ? กระเพาะไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น จะท้องแตกตายเอาได้!
หยางชิ่ง : ไม่ใช่ว่านายท่านกลืนไม่ไหว แต่ประมุขชิงอยากจะกลืนไหว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ แผนการที่เราวางไว้กับชิงหยวนจุนน่าจะเกิดผลต่อเนื่องแล้ว ประมุขชิงอยากจะสร้างกำลังพลสายตรงให้ชิงหยวนจุน เมื่อมีประมุขชิงแอบสนับสนุน นายท่านก็กลืนไหวอยู่แล้ว
เหมียวอี้แปลกใจ : ประมุขชิงอยากจะกลืนไว้เอง ทำไมย้งต้องอ้อมค้อมแบบนี้?
หยางชิ่ง : ถ้าเขาปลืนไว้โดยตรงก็ไม่มีข้ออ้างน่ะสิ! ในกำลังพลกลุ่มนี้ ใครจะไปรู้บ้างว่ามีสายลับของคนอื่นอยู่มากน้อยเท่าไร เขาไม่มีทางใส่เข้าไปในกองทัพองครักษ์ง่ายๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือ สี่ทัพไม่ตอบตกลงแน่นอน จะต้องวิจารณ์โจมตีอย่างรุนแรง ไม่มีทางปล่อยให้กำลังทหารในมือประมุขชิงมีมากกว่านี้ นายท่านลองจินตนาการดูสิ พอกำจัดอิ๋งจิ่วกวงแล้ว ประมุขชิงจะต้องให้คำชี้แจงกับคนในใต้หล้า จะฆ่าอ๋องคนหนึ่งโดยไร้เหตุผลไม่ได้หรอก มีความเป็นไปได้สูงว่าจะใช้ข้อหากบฏ แล้วลิ่งหูโต้วจ้งนั่น อย่างน้อยก็ช่วยเหลือกบฏ สิ่งนี้ทำให้ประมุขชิงไม่สะดวกจะกลืนไว้ แต่ถ้าโยนไว้ที่แดนรัตติกาลนั้นไม่เหมือนกัน เรียกได้ว่าเนรเทศ สามารถเรียกได้ว่าเป็นการลงโทษ เท่ากับให้คำชี้แจงกับภายนอกได้แล้ว!
เหมียวอี้ : แต่ข้ากลืนไม่ไหวหรอก กำลังพลสายตรงห้าสิบล้านของลิ่งหูโต้วจ้ง มันไม่ใช่ของเด็กเล่นนะ ถ้ารับพวกเขาไว้ ถึงตอนนั้นข้าไม่ถูกปล้นอำนาจไปหมดเหรอ แล้วใครจะเชื่อฟังใครกันแน่?
หยางชิ่ง : ดังนั้นประมุขชิงถึงได้ให้ลิ่งหูโต้วจ้งจัดการนายท่านให้ได้ก่อนไง ทำไมประมุขชิงถึงเตรียมการแบบนี้ล่ะ? ก็เพราะจะให้โอกาสนายท่าน ให้โอกาสนายท่านมีความมั่นใจที่จะกลืนลงไป นายท่านสามารถคิดได้เลยว่าจะทำอะไรที่มีประโยชน์กับตัวเอง ขอเพียงกลืนกำลังพลกลุ่มนี้ไว้ให้ได้ก็พอ นายท่าน แบบนี้เรียกฟ้าฟ้าดินเป็นใจแล้ว! ลิ่งหูโต้วจ้งไม่มีทางไปแล้ว ตราบใดที่นายท่านไม่บีบพวกเขาให้จนตรอก โดยพื้นฐานก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เราไม่ทำอะไรซี้ซั้ว ประมุขชิงก็จะหลับตาข้างเดียวแล้วอนุญาต โอกาสดีแบบนี้จะพลาดได้ยังไง!
เหมียวอี้หัวใจเต้นรัว แต่ก็สงสัยนิดหน่อย ถามว่า : แต่เจ้าก็บอกนี่ว่าในนั้นอาจจะมีสายลับอยู่ไม่น้อย รับคนพวกนี้ไว้จะเหมาะสมเหรอ?
หยางชิ่ง : นายท่านคิดมากไปแล้ว เมื่อเบื้องล่างมีคนมากขึ้น สถานการณ์แบบนี้ก็เลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่แค่ตอนนี้ แต่ในภายหลังก็จะเป็นแบบนี้เช่นกัน อำนาจฝ่ายไหนบ้างที่กล้ารับประกันว่าคนฝั่งตัวเองไม่มีสายลับของคนอื่นแทรกอยู่ สุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้า ทำได้เพียงต้องระวังให้มากขึ้น จะปล่อยให้ความกังวลนี้ทำให้ทิ้งโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ ถึงขั้นทำให้ก้าวขาเดินไปข้างหน้าต่อไม่ได้
เหมียวอี้แอบส่ายหน้า คิดมากเกินไปจริงๆ เขาสบายใจแล้ว เกิดความฮึกเหิมขึ้นแล้วด้วย ถามว่า : ดูท่าแล้ว ในใจเจ้าคงจะมีแผนแล้วสินะว่าจะลงมือยังไง?
หยางชิ่งก็ไม่ปิดบังเช่นกัน บอกไปว่า : ลดยศก่อน! ลดยศและตำแหน่งของคนพวกนั้นให้อยู่ระดับต่ำสุด ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งอะไร แต่พวกเขาคือผู้มีความผิด ไม่มีอะไรน่ากังวล ลดตำแหน่งจนพวกเขาไม่มีคุณสมบัติในการควบคุมอำนาจทางทหาร ทัพใหญ่แดนรัตติกาลผ่านความเป็นความตายเพื่อนายท่าน คนเกือบครึ่งทำศึกตายเพราะนายท่าน มีคนมากมายที่มีแค่ตำแหน่ง แต่เบื้องล่างกลับไม่มีลูกน้อง ถึงเวลาที่ควรจะทำให้พวกเขาได้ยินดีปรีดาบ้างแล้ว เมื่อลดตำแหน่งแบบนี้แล้ว ประมุขชิงก็จะให้คำชี้แจงกับคนอื่นได้เช่นกัน พิสูจน์แล้วว่ากำลังเนรเทศนักโทษจริงๆ แบบนี้ถึงจะอุดปากคนอื่นได้สะดวก อำนาจฝ่ายอื่น ไม่เห็นว่าลิ่งหูโต้วจ้งและพรรคพวกถูกตัดอำนาจทางทหารแล้ว ก็จะไม่สืบสาวเอาเรื่อง จะให้เวลานายท่านได้ย่อยอย่างช้าๆ…
ทั้งสองเริ่มปรึกษากันถึงรายละเอียดที่จะเจรจากับลิ่งหูโต้วจ้ง
หลังจากปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ยังกังวลนิดหน่อย : ถึงยังไงในกำลังพลกลุ่มนี้ ก็มีคนไม่น้อยที่เคยอยู่ในตำแหน่งสูงเมื่อก่อน ตำแหน่งที่ร่วงลงมาครั้งนี้ต่างกันมาก ถ้ากลัวว่าพวกเขาจะทำใจยอมรับได้ยาก ทำให้ใจมีความแค้นขึ้นมาก็จะยุ่งยากแล้ว ต่อให้ตัดอำนาจทางทหารยังไง ต่อให้ตอบตกลงได้เพราะสถานการณ์ตรงหน้าบีบบังคับ แต่ในวันข้างหน้าล่ะ? เกรงว่าพวกเขาคงแอบติดต่อสัมพันธ์ตามลำดับ คงไม่อยู่ในโอวาท ถ้าอยากจะย่อยช้าๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ!
หยางชิ่ง : เรื่องนี้ยากตรงไหน แค่พูดประโยคเดียวเพื่อดับความคับแค้นของพวกเขาก็พอ
เหมียวอี้รีบถาม : ยังไงหรอ?
หยางชิ่ง : นายท่านแค่ต้องบอกพวกเขาประโยคเดียว ข้าคือคนขององค์ชาย!
เหมียวอี้ตะลึงงาน จากนั้นก็ตาเป็นประกาย อุทานในใจว่าสุดยอดไปเลย!
หยางชิ่งพูดต่อว่า : เมื่อมีประโยคนี้ข่มไว้ ก็มีเวลาเพียงพอที่จะให้นายท่านย่อยพวกเขาแล้ว ในช่วงแรกลิ่งหูโต้วจ้งจะต้องช่วยนายท่านปลอบขวัญเบื้องล่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นไป ใจคนจะเริ่มไล่ตามผลประโยชน์ ใครมีอำนาจตัดสินใจที่แดนรัตติกาล ใครจะให้อนาคตกับพวกเขาได้ ทุกคนยังมองไม่เห็นอีกหรือ? ใช่สิ่งที่คนพวกนี้พูดปากเปล่าแล้วจะก้าวร้าวได้เหรอ นอกจากนี้ จะต้องมีคนไม่น้อยที่พาครอบครัวมาพึ่งพาด้วย ดาวจันทร์อี่มีพื้นที่เล็กน้อยแค่นั้น เลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอหน้ากันบ่อยๆ อาศัยความสามารถของฮูหยิน รับมือได้อย่างราบรื่นอยู่แล้ว เรื่องนี้ต้องสำเร็จแน่นอน!
เหมียวอี้ตกๆอย่างตื่นเต้นทันที : ดี! งั้นเอาตามนี้ ถ้าจะติดต่อไปเจรจากับลิ่งหูโต้วจ้งทันที!
หยางชิ่งกลับเตือนว่า : นายท่านต้องระวังหน่อย ทางฝั่งลิ่งหูโต้วจ้งเคยเป็นกำลังพลสายตระกูลอิ๋ง นายท่านก็รู้เรื่องที่วังหลังดี เกรงว่าทางฝั่งราชินีสวรรค์จะไม่พอใจ ผู้หญิงคนนั้นไม่ใจกว้างหรอก ต้องปลอบโยนให้เหมาะสม ถึงยังไงเรื่องที่ตลาดสวรรค์ก็ยังต้องขอความร่วมมือจากนาง!
เหมียวอี้ : เรื่องนี้จัดการง่าย!
หลังจากทั้งสองติดต่อกันจบแล้ว เหมียวอี้ก็ติดต่อหาอวิ๋นจือชิวทันที ให้อวิ๋นจือชิวคำว่าลิ่งหูโต้วจ้งอยู่ตรงไหน ฝากข้อความกันไปกันมาแบบนี้ไม่สะดวก ต้องการจะเจรจาแบบต่อหน้ากับลิ่งหูโต้วจ้ง
อวิ๋นจือชิวหวาดระแวงกลัว : หนิวเอ้อร์ กำลังพลห้าสิบล้านเป็นยังไง คงไม่ต้องให้ข้าพูดเยอะหรอกมั้ง? เจ้าอยากจะรับพวกเขาไว้จริงหรอ?
เหมียวอี้ : ในใจข้ามีข้อมูลเยอะกว่าเจ้า เรื่องมันยาวพูดให้เข้าใจตอนนี้ไม่ได้ ข้ากับหยางชิ่งปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยววันหลังค่อยอธิบายให้เจ้าฟัง จะไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ
ติดต่อลิ่งหูโต้วจ้งผ่านเส้าเซียงหัวก็ย่อมไม่ยาก แต่ลิ่งหูโต้วจ้งระมัดระวังตัวสูงมาก ไม่ยอมเปิดเผยว่าตอนนี้ทัพใหญ่อยู่ตรงไหน บอกว่าไปถึงแดนรัตติกาลก่อนแล้วคุยต่อหน้าก็ยังไม่สาย
เหมียวอี้ไม่อยากชักช้าร่ำไร คาดการณ์จากเวลา อีกฝ่ายน่าจะยังไม่ออกจากเขตทัพตะวันออก จึงให้เขาไปที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนโดยตรง เพื่อทำลายความเคลือบแคลง เหมียวอี้บอกว่าทำแบบนี้จะพิสูจน์ความจริงใจของเขาได้ ถ้าลิ่งหูโต้วจ้งไม่อยากเจรจาก็ไม่ต้องมา
ตรงนี้เพิ่งจะนัดกันเสร็จ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็ส่งข่าวมาแล้ว นั่งคุยกับประมุขชิงเรียบร้อยแล้ว
พ่อออกจากตำหนักดาราจักร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่รู้สึกสบายใจเป็นพิเศษ นำเอ๋อเหมยที่รออยู่ข้างนอกเดินออกไปด้วยกัน เดินพูดคุยยิ้มแย้มกันไปตลอดทาง
ตอนที่ใกล้จะถึงตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มองไปทางตำหนักบูรพาโดยจิตใต้สำนึก นางหันตัวไป ยังไม่กลับตำหนักนารีสวรรค์ แต่เดินไปทางตำหนักบูรพาแทน อยากจะไปดูสักหน่อย
พอมาถึงประตูตำหนักบูรพา ก็สังเกตได้ถึงความไม่ปกติ ทหารยามเหมือนจะเยอะเกินไปหน่อย พออยากจะเข้าไปก็ถูกทหารยามขวางไว้ “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทมีคำสั่ง เรื่องสนมสวรรค์ยังตรวจสอบไม่กระจ่าง ไม่ว่าใครก็ห้ามถือวิสาสะเข้าไปพบกับสนมสวรรค์!”
ชั่วพริบตานั้น เซี่ยโห้วเฉิงอวี่โกรธจนหน้าเขียวทันที “จะว่าอะไรนะ? นางตัวดีนั่นยังไม่ตายเหรอ?”
“เอ่อ…” ทหารยามพูดไม่ออก ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี ได้แต่ส่ายหน้า
ยังไม่ตาย! ไม่น่าเชื่อว่าจะยังไม่ตาย! เซี่ยโห้วเฉิงอยังนึกว่าจ้านหรูอี้ตายไปแล้ว จึงชี้หน้าด่าเขาทันที “ก่อนหน้านี้พวกเจ้าสังหารอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน มัวไปทำอะไรกินอยู่? หลีกไป!”
ไม่เพียงแค่ไม่หลีกทางให้ ไม่เห็นนางจะฝืนบุกเข้ามา กลุ่มองครักษ์ก็มาอุดขวางตรงหน้าประตูใหญ่ตำหนักบูรพา แม่ทัพกุมหมัดคารวะ “เหนียงเหนียง ได้โปรดอย่าทำให้พวกข้าน้อยลำบากใจเลยขอรับ!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ชี้พวกเขา นางโมโหจนตัวสั่น มีเรื่องอะไรถึงห้ามให้คนไปเจอก่อนจะสืบสวนกระจ่าง ล้วนเป็นข้ออ้างทั้งนั้น นางรู้ดีถึงความคิดของประมุขชิง ทำแบบนี้ก็เพื่อจะปกป้องจ้านหรูอี้ ยังมีออยู่มั้ย!
ภายใต้ความเดือดดาล นางสะบัดแขนเสื้อหันตัวไป มุ่งตรงไปหาประมุขชิงที่ตำหนักดาราจักร
ในตำหนักดาราจักร ข่าวของซ่างกวนชิงรวดเร็วมาก เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังไม่ทันมาถึง ซ่างกวนชิงก็กระซิบข้างหูประมุขชิงแล้ว
ประมุขชิงใช้มือข้างหนึ่งนวดหน้าผาก รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย เรื่องนี้เขาไม่มีเหตุผลจะแก้ตัวจริงๆ โทษกบฏต้องประหารทั้งชั่วโคตร แต่เขาก็ไม่อยากให้จ้านหรูอี้ตาย รู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย ไม่กล้าเจอเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เพราะเจอแล้วจะเถียงไม่ออก จึงเอียงหน้าส่งสายตาให้ซ่างกวนชิง
ผ่านไปไม่นาน เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็มาถึงแล้ว แต่กลับถูกทหารยามเรียงแถวหน้ากระดานขวางไว้ไกลๆ นอกประตูใหญ่ของตำหนักดาราจักร
“หลีกไป! ถ้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวด้วยสีหน้าโกรธเคือง
ทหารยามตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “เหนียงเหนียง ฝ่าบาทกำลังปรึกษาเรื่องใหญ่กับกลุ่มขุนนาง บาทกำลังปรึกษาเรื่องใหญ่กับกลุ่มขุนนาง ไม่ว่าใครกล้ารบกวน ใครขัดคำสั่งจะถูกประหาร!”
“เจ้าก็ลองประหารดูสิ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดือดดาลสุดขีด เอ๋อเหมยดึงไว้แต่ก็ดึงไม่อยู่ นางดันทุรังจะวิ่งชนดาบของทหารยาม
กลุ่มทหารยามมองหน้ากันเลิกลั่ก ถูกกดดันจนเดินถอยหลัง ไม่มีใครกล้าแตะต้องนาง
ไม่เห็นว่าใกล้จะถอยถึงประตูตำหนักดาราจักรแล้ว เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงและชุดคลุมสีดำก็เดินก้าวยาวออกมา มาขวางตรงหน้าเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “เหนียงเหนียงต้องการจะพิสูจน์คำครหาของกลุ่มสนมใช่หรือไม่?”
ยามเผชิญหน้ากับผู้พิพากษาหน้านิ่งท่านนี้ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็หวาดกลัวอยู่บ้าง นางได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ชี้หน้าเกาก้วน “เจ้า…” แล้วก็ชี้ไปที่ตำหนักดาราจักรอีก “พวกเจ้ามันเหมือนงูกับหนูที่อยู่รังเดียวกัน แย่พอๆ กัน!” พูดจบก็สะบัดชายเสื้อเดินออกไป
หลังจากมองคล้อยหลังนางออกไปแล้ว เกาก้วนก็กำชับทหารยามสองสามประโยค แล้วเลี้ยวกลับเข้าไป
พอประมุขชิงเห็นเขา ก็ถามทันทีว่า “ราชินีสวรรค์ไปแล้วเหรอ?”
“ทูลฝ่าบาท ไปแล้วขอรับ ด่าข้าน้อยกับ…ฝ่าบาทสองสามคำ ข้าน้อยสามารถตรวจสอบลงทาได้!” เกาก้วนตอบ
“ช่างเถอะ จะไปคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงทำไม” ประมุขชิงโบกมือ แล้วกลับมานั่งที่เดิม ตอนนี้โล่งอกแล้ว แต่กลับพบว่าซ่างกวนชิงกับเกาก้วนมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จึงกำมือไอแห้งๆ ทันที แล้วตบโต๊ะกล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม “ไม่เอาไหนเกินไปแล้ว วังสวรรค์แห่งนี้ยังมีกฎระเบียบอยู่มั้ย?”
ซ่างกวนชิงกับเกาก้วนหลุบตาลง ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร ราวกับกำลังบอกว่า คนที่ทำลายกฎระเบียบก็คือตัวท่านเองไม่ใช่เหรอ?
ทั้งสองคาดว่า ถ้ามีจุดอ่อนนี้อยู่ ตราบใดที่สนมสวรรค์ยังไม่ตาย คาดว่าในภายหลังเมื่อฝ่าบาทเจอราชินีสวรรค์อีกก็คงหายใจไม่คล่อง
ซ่างกวนชิงกลับแอบทอดถอนใจ โถ่ฝ่าบาท ทำไมต้องลำบากขนาดนี้ ในเมื่อล่วงเกินสนมสวรรค์ไปแล้ว ยังจะยั่วโมโหราชินีสวรรค์อีก ไม่คุ้มทั้งสองฝั่งเลย…
…………………