ตอนที่ 242 พรุ่งนี้เป็นวันดี
ครั้งที่แล้วพวกชาวบ้านจับจองเมล็ดข้าวช้าเกินไป ครั้งนี้จึงเร่งมือกันอย่างเต็มที่ ถ้าได้ผลผลิตข้าวโพดมากขึ้นจริงก็อาจจะไปจองเมล็ดข้าวโพดจากตระกูลหลิน
เนื่องจากไม่รู้ว่าปีหน้าจะประสบภัยแล้งหรือน้ำท่วม แต่นายอำเภอหวางเคยเผยอย่างคลุมเครือไว้ว่าภาษีในปีหน้าอาจได้รับการยกเว้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่สามารถดันทุรังปลูกข้าวสาลีได้ ข้าวโพดสามารถทนแล้งต้านหนาวได้มากกว่า รสชาติของธัญพืชหยาบเหล่านี้ก็ไม่เลว หากสามารถเพิ่มผลผลิตได้ปีหน้าก็อาจจะไม่ต้องทนหิวกันอีก
ในขณะที่ตระกูลหลินเตรียมตัวจะลงไปเก็บข้าวโพดก็พบว่าบนที่ดินของตนเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
“ผู้ใหญ่บ้าน ทุกคนกำลัง…..” หลินเว่ยเว่ยวางตะกร้าลงข้างเท้า แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
ผู้ใหญ่บ้านคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “แขนของเจ้าบาดเจ็บอยู่ คงไม่สะดวกในการทำงาน ทุกคนซาบซึ้งที่เจ้ามักช่วยเหลือหมู่บ้านตั้งมากมาย จึงอาสามาช่วยเก็บข้าวโพดอย่างไรเล่า ! ”
หลิวต้าซวนพยักหน้า “ใช่ เจ้าไปนั่งพักเถิด ตรงนี้พวกเราจัดการเอง ! ” กล่าวจบเขาก็แทรกตัวเข้าไปในไร่ข้าวโพด จากนั้นก็ทำการเก็บฝักข้าวโพดออกจากต้น เสียงดัง สวบ สวบ สวบ เป็นระลอก
เมื่อคนอื่นเห็นภาพนั้นก็ไม่ยอมน้อยหน้า ทั้งหมดพากันแทรกตัวเข้าไปในไร่ข้าวโพดขนาดหนึ่งหมู่ครึ่ง เหล่าชาวบ้านวัยชราและวัยหนุ่มสาวประมาณ 30-40 คนร่วมแรงกัน ไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็เก็บฝักข้าวโพดได้ทั้งหมด แม้แต่ต้นข้าวโพดก็ยังตัดไม่มีเหลือ จากนั้นก็แบกกลับหมู่บ้านเพื่อทำเป็นเชื้อเพลิงสำหรับก่อไฟ
หลินเว่ยเว่ยตกตะลึง แทบทุกครัวเรือนเกณฑ์คนมาช่วยกัน ครอบครัวของนางมีความสัมพันธ์อันดีกับคนเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อใด ?
“นี่…นี่ข้าไม่รู้ว่าจะขอบคุณพวกท่านอย่างไรดี ! ” นางหวงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย อดีตทุกคนพากันหลีกเลี่ยงไม่สนทนาด้วย แต่ตอนนี้ได้รับการต้อนรับและพากันวิ่งตามเสมอ แค่ระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี ทุกคนก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อตระกูลหลินไปโดยสิ้นเชิง
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มปลอบใจนาง “ทุกคนเต็มใจและยินดี ! ก่อนหน้านั้นข้าไปรับอาหารบรรเทาทุกข์มาจากอำเภอเป่าชิง หลังได้ออกไปเปิดหูเปิดตาก็เพิ่งได้รู้ว่าหมู่บ้านอื่นใช้ชีวิตกันอย่างไร ! หากไม่ใช่เพราะนางหนูรองยอมเสี่ยงอันตรายพาทุกคนขึ้นเขา หมู่บ้านฉือหลี่โกวก็คงไม่เจริญขึ้นมาเช่นนี้…คนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวแยกแยะได้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดไม่ดี ความรู้สึกนี้เราทุกคนล้วนจดจำมันไว้ในส่วนลึกของหัวใจ ! เจ้าให้พวกเขาทำไปเถิด พวกเขาทำแล้วมีความสุข ทำแล้วสบายใจก็ให้ทำไป ! ”
หลังเก็บข้าวโพดและกลับถึงบ้าน ตกเย็นก็ยังมีเหล่าสะใภ้กลุ่มหนึ่งพากันมาช่วยนำฝักข้าวโพดไปแขวนใต้ชายคาเพื่อตากให้แห้ง ก่อนที่พวกนางจะกลับก็ยังทิ้งท้ายว่า “รอตากจนแห้งแล้ว เราจะมาช่วยแกะเมล็ดข้าวโพด ! ”
ทุกคนในครอบครัวล้วนนั่งนิ่งแทบไม่ได้กระดิกนิ้ว ข้าวโพดก็ช่วยเก็บ ทั้งยังมาช่วยตากให้อีก คนในตระกูลหลินรู้สึกว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่ความจริง หลินเว่ยเว่ยจึงได้แต่พึมพำกับตนเอง “พวกเขาทำเช่นนี้จนข้านึกถึงประโยคที่ว่า ‘ไม่มีสิ่งใดลงทุนโดยไม่หวังผล ประจบประแจงเพื่อหวังประโยชน์ทั้งนั้น’ ! ”
เจียงโม่หานมองเห็นจุดประสงค์ของเรื่องนี้ “พวกเขามีแผนจะทำบางอย่างกับเมล็ดข้าวโพด ! ”
“อ้อ…หากเป็นเช่นนั้นข้าก็วางใจ ! ” ทุกคนในหมู่บ้านมีความกระตือรือร้นมากเกินไปจึงทำให้นางรับไม่ทันและรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่เมื่อรู้จุดประสงค์ของพวกเขาจึงไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีก
ไม่กี่วันผ่านไป เหล่าหญิงสาว สะใภ้และหญิงชราก็พากันมารวมตัว ณ ลานตากข้าวของหมู่บ้าน เพื่อช่วยตระกูลหลินแกะเมล็ดข้าวโพด ตอนที่ทุกคนในหมู่บ้านพากันไปเก็บผลผลิตบนภูเขาก็พร้อมเพรียงกันเช่นนี้
ข้าวโพดบนที่ดินหนึ่งหมู่ครึ่ง ลำพังแค่ตระกูลหลินจะแกะเสร็จภายในสองสามวันได้อย่างไร หากมีทุกคนมาช่วยกันอย่างกระตือรือร้น ไม่ถึงหนึ่งวันก็แกะเมล็ดข้าวโพดได้ทั้งหมด
ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านตะโกนอย่างมีความสุขว่า “เร็ว เร็ว ! ตงเฉียง ให้พ่อเจ้าไปนำตาชั่งมาสิ เราจะมาชั่งกันว่าทุกคนเก็บข้าวโพดได้กี่ชั่ง ! ”
ทันทีที่นางส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นมาก็แทบดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ ตอนนี้ผลผลิตบนภูเขาก็ล้วนถูกเก็บจนหมดแล้ว หากเข้าไปในป่าลึกกว่านี้คงไม่ได้กลับออกมาในหนึ่งวันแน่ สัตว์ป่าบนภูเขาเกลื่อนกลาดมากมาย คงไม่มีผู้ใดกล้าไปค้างคืนบนภูเขายามราตรี พวกเขาจึงทำได้แต่มองและถอยออกมา
คนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวล้วนอยากรู้ว่าผลผลิตข้าวโพดนี้มีจำนวนเท่าใด ตอนที่รอให้คนนำตาชั่งมานั้น พื้นที่ตากข้าวโพดก็ล้อมไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก
“เก่งมาก ทุกคนเก็บข้าวโพดได้มากกว่าสิบกระสอบเลยทีเดียว ! ”
“หนึ่งกระสอบก็น่าจะประมาณ 70-80 ชั่ง คำนวณแล้ว…ก็ถือว่าเยอะมากทีเดียว หมายความว่าที่นาหนึ่งหมู่ครึ่งของนางหนูรองสามารถเก็บเกี่ยวข้าวโพดได้ถึง 1,000 ชั่ง ! ”
“ว่า ว่าอย่างไรนะ? เจ้าคำนวณผิดหรือไม่ ? หนึ่งพันชั่งเชียวหรือ ? ที่ดินหนึ่งหมู่ครึ่งนั้นน่าจะเก็บเกี่ยวได้แค่ 600-700 ชั่ง ไม่เกินนี้สิ….”
“เป็นไปได้อย่างไร ! ตอนข้ายังเด็ก ท่านพ่อพาข้าไปปลูกข้าวโพด ที่ดินขนาดหนึ่งหมู่เก็บเกี่ยวได้….ไม่ถึง 200 ชั่งด้วยซ้ำ ไม่ต่างจากข้าวสาลีเท่าไรนัก ! ”
“จะโวยวายให้ได้สิ่งใด ? จริงหรือไม่จริงประเดี๋ยวชั่งก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยคิดอยากจะพูดว่า ‘อะไรกันนักหนา ธัญพืชก็ของครอบครัวข้าไม่ใช่หรือ ? ทำราวกับเก็บเกี่ยวธัญพืชของหมู่บ้านอย่างไรอย่างนั้น แต่ละคนพากันกระตือรือร้น ปลาบปลื้มปีติยินดีเสียยิ่งกว่าอะไร’
“1,060 ชั่ง ! ” ผู้ใหญ่บ้านลูบเคราด้วยความตื่นเต้น “ที่ดินขนาดหนึ่งหมู่ครึ่ง ผลผลิตที่ได้คือ 1,060 ชั่ง ! ไหน ใครลองคิดสิว่าที่ดินหนึ่งหมู่ได้ผลผลิตเท่าไหร่ ? ”
“เจ็ดร้อยนิด ๆ…” หลินเว่ยเว่ยโพล่งออกมา !
“ว่าอย่างไรนะ ! 700 ชั่ง ! ผลผลิตจากที่ดินขนาดหนึ่งหมู่มีจำนวนเกินกว่า 700 ชั่ง ! ! ”
“นางหนูรอง เจ้าไปซื้อเมล็ดพันธุ์มาจากที่ใด? เหตุใดจึงมีผลผลิตสูงเช่นนี้ ? ”
…ก็ซื้อมาจากร้านขายธัญพืชในเขตเริ่นอันอย่างไรเล่า
“นางหนูรอง แล้วเจ้าปลูกมันอย่างไร ? ”
…ก็ปลูกตามวิธีปกติ จริงสิ ดูเหมือนว่าคนที่นี่จะเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธีการปลูกข้าวโพด !
“นางหนูรอง เจ้าเป็นบุตรสาวของเทพเจ้าแห่งขุนเขาหรืออย่างไร ? เป็นพรที่เทพเจ้าแห่งขุนเขาประทานให้แก่เจ้าใช่หรือไม่ ? ”
…ตาเฒ่า เจ้างมงายเกินไปแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยอยากจะร้องก็ร้องไม่ออก จะยิ้มก็ยิ้มไม่ไหว
“นางหนูรอง สอนเราปลูกข้าวโพดด้วยสิ ! ขายเมล็ดเหล่านี้ให้เราได้หรือไม่ ? ” ในที่สุดก็มีคนพูดเข้าประเด็น !
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “ได้แน่นอน ! ข้าวโพดเหล่านี้ปลูกได้สูงสุด 100 หมู่ พวกท่านต้องจัดสรรปันส่วนกันให้ดี ! ”
“ว่าอย่างไรนะ ? ปลูกได้ถึง 100 หมู่เชียวหรือ ? ที่ดินขนาดหนึ่งหมู่ปลูกได้เท่าไหร่ ? ” มีบางคนเริ่มนับนิ้วกันแล้ว
หลินเว่ยเว่ยยิ้มพลางกล่าวว่า “ที่ดินขนาดหนึ่งหมู่จะปลูกมากเกินไปไม่ได้ แค่ 7-8 ชั่งก็พอแล้ว ! หากปลูกให้มันถี่เกินไปลมจะผ่านไม่ได้ อาจทำให้มันไม่แข็งแรง พวกแมลงยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ดังนั้นพวกมันไม่มีทางผลิดอกออกผลเป็นฝักสวยแน่นอน การปลูกข้าวโพดหรือการปลูกข้าวสาลี ไม่ใช่สักแต่จะปลูกให้มีจำนวนมากแล้วจะทำให้เก็บผลผลิตได้มากขึ้นหรอก ! ”
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ! ขนย้ายเมล็ดข้าวโพดไปเก็บในห้องเก็บของตระกูลหลินกันเถิด ! ” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยขึ้น เขาอยากเรียนรู้การปลูกข้าวโพดและการปลูกข้าว แต่ไม่ได้รีบร้อนมากนัก นางหนูรองก็ไม่ได้จะแต่งงานออกเรือนไปไกลในปีหน้าเสียหน่อย…
“จริงสิ พรุ่งนี้เป็นวันที่นางหนูรองและบัณฑิตเจียงหมั้นหมายกันไม่ใช่หรือ อย่างไรก็ต้องมาช่วย” ผู้ใหญ่บ้านนึกขึ้นได้จึงอวยพรให้ทั้งสอง
เจียงโม่หานมองไปทางหลินเว่ยเว่ยด้วยแววตาอ่อนโยน จากนั้นก็คลี่ยิ้มพลางเอ่ยกับผู้ใหญ่บ้านว่า “เราสองครอบครัวไม่ได้มีญาติที่นี่ พรุ่งนี้เรียนเชิญผู้ใหญ่บ้านมาเป็นสักขีพยานร่วมดื่มฉลองด้วยกัน”
ผู้ใหญ่บ้านจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงปีติยินดี “แน่นอน แน่นอนอยู่แล้ว!”
คนอื่นมองตากันปริบ ๆ หวังให้ครอบครัวของตนถูกเชื้อเชิญเช่นเดียวกัน บัณฑิตเจียงไม่ค่อยไปมาหาสู่กับใครในหมู่บ้าน แต่พวกตนก็มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลิน มองจากตอนนี้ก็คงไม่น้อยด้วย ! ตอนนี้ตระกูลหลินไม่ได้เป็นครอบครัวที่แสนธรรมดาสำหรับคนในหมู่บ้านอีกแล้ว หากได้รับการเชื้อเชิญก็ถือว่าเป็นเกียรติมากทีเดียว