ตอนที่ 243 งดงามยิ่งกว่าบุปผา
“พี่สะใภ้กุ้ยฮวา ท่านกับนางหวงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ท่านยังช่วยดูแลโรงงานแปรรูปให้พวกนางด้วย ท่านไม่โดนรับเชิญหรือ ? ” สะใภ้คนหนึ่งเอ่ยถามป้ากุ้ยฮวาที่อยู่ข้างกาย
“ไม่ ! ” ป้ากุ้ยฮวาส่ายหน้า นางพึมพำอยู่ในใจว่าหากตระกูลหลินไม่เชิญตนไปช่วยแล้ว นางต้องไปหรือ ?
สะใภ้ผู้นั้นจึงถามแม่ซัวถัวอีกคน “นางไม่ได้เชิญเจ้าด้วยหรือ ? ”
แม่ซัวถัวตอบ “แล้วเจ้าจะสนใจอันใดมากมาย ไม่ใช่การหมั้นหมายของลูกสาวเจ้าเสียหน่อย เหตุใดต้องเป็นเดือดเป็นร้อนด้วย ! ”
สะใภ้ผู้นั้นแสยะยิ้มมุมปากพลางกล่าวว่า “ขนาดคุยโวว่าตนเป็นคนที่ตระกูลหลินต้องเกรงใจ แต่พวกนางไม่เคยสนใจอันใดเจ้าเลย นางหนูรองหมั้นหมายเป็นเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้แต่ไม่เชิญพวกเจ้าสักคน สงสัยจะต้องรีบเข้าไปประจบประแจงทั้งวันแล้วกระมัง…”
สามีรีบเข้ามาดึงแขนของนางไว้พร้อมถลึงตาใส่อย่างเกรี้ยวกราด พวกหญิงอัปลักษณ์ สามวันไม่โดนตีบ้าง ต่อไปคงได้ขึ้นไปรื้อหลังคา1! หากคนในตระกูลหลินมาได้ยินเรื่องยั่วยุเหล่านี้เข้า สักวันจะได้โดนดี มารดาเจ้าอ้วนซานได้รับบทเรียนจนกระอักเลือด จำไม่ได้แล้วหรือ !
ก่อเรื่องให้นางหนูรองถึงเพียงนี้ ต่อไปก็คงไม่มีโอกาสของเจ้าอีก ผลไม้ในป่าก็ไม่ใช่หน้าที่เจ้า เห็ดก็ไม่ต้องถึงมือเจ้า เป็นคนงานก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องของเจ้า คิดว่าจะเรียกร้องสิ่งใดได้อีก ? ปากมีแต่นำพาเรื่องทุกข์ยากมาสู่ครอบครัว ! สะใภ้ผู้นั้นโดนสามีลากออกไปพร้อมสีหน้าเศร้าหมอง
ตกดึก ประตูบ้านซัวถัวก็ถูกเคาะเรียกเพราะหลินจื่อเหยียนได้นำเทียบเชิญสีแดงไปแจกจ่ายนั่นเอง “พรุ่งนี้เป็นวันหมั้นหมายของพี่รองและบัณฑิตเจียง เรียนเชิญทุกท่านมาร่วมเฉลิมฉลองและแสดงความยินดี”
แม่ซัวถัวยกมือขึ้นเช็ดเสื้อเล็กน้อย จากนั้นก็รับเทียบเชิญมา นางมองพิจารณาด้วยความแปลกใจพลางกล่าวว่า “แน่นอน ข้าต้องไปแน่นอน…นี่คือ…”
“บัณฑิตเจียงกล่าวไว้ว่าใครจะรับความไม่เป็นธรรมก็ได้ แต่พี่สาวของข้าจะได้รับความอยุติธรรมไม่ได้เด็ดขาด การแต่งงานเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต จะต้องมีสามหนังสือนัดหมาย หกพิธีการสู่ขอ เทียบเชิญนี้เป็นข้อเสนอของบัณฑิตเจียง ถือเป็นการแสดงถึงความเคารพและการให้ความสำคัญต่อแขกทุกท่าน ! ” หลินจื่อเหยียนโค้งตัวไปทางแม่ซัวถัวอย่างนอบน้อม “ข้ายังต้องไปส่งเทียบเชิญตระกูลอื่น ขอตัวลา ! ”
แม่ซัวถัวถือเทียบเชิญเข้ามาในบ้าน ทุกคนพากันล้อมเข้ามาราวกับต้องการชื่นชมในสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่ง พ่อซัวถัวลูบไปบนตราประทับสีทองบนเทียบเชิญ ก่อนจะทำเสียงจุ๊ปากพลางกล่าวว่า “เทียบเชิญฉบับนี้แตกต่างจากปกติโดยสิ้นเชิง แค่เทียบเชิญก็ราคาหลายสิบอีแปะแล้วกระมัง…”
แม่ซัวถัวแย่งคืนมา “มือหยาบกร้านของเจ้า ประเดี๋ยวก็ลูบจนเสียของหมด ! นี่เป็นเทียบเชิญที่บัณฑิตเจียงตั้งใจวาดมันขึ้นมากับมือ เจ้าดูสิ ดูดอกไม้บนนี้สิ บานสะพรั่งดูมีชีวิตชีวา สีสันก็ดูชื่นมื่นมากทีเดียว ! ”
ซัวถัวเดินขากะเผลกเข้ามา “ข้าคิดว่าบัณฑิตเจียงเย็นชากับเสี่ยวเว่ยมาโดยตลอด สู้ความรู้สึกที่เสี่ยวเว่ยมีต่อเขาไม่ได้ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้วไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้เลย”
น้องชายของเขามองไปบนเทียบเชิญสีแดงพลางเอ่ยถาม “พรุ่งนี้เราไปดื่มฉลองกันดีกว่า ว่าแต่จะให้สิ่งใดเป็นของขวัญดี ? คงไปมือเปล่าไม่ได้หรอกกระมัง ? ”
ทันทีที่แม่ซัวถัวได้ยินก็เป็นกังวล “ไอหยา ! ดูเหมือนครอบครัวเราไม่มีสิ่งใดเป็นหน้าเป็นตาให้ได้เลย ครั้งก่อนไปดื่มฉลองที่ตระกูลอื่น มากสุดก็แค่ไข่ไก่สองสามฟองไม่ก็ธัญพืชสองสามชั่ง…หากให้สิ่งนี้เป็นของขวัญอีกจะไม่โดนผู้อื่นหัวเราะเยาะตายเลยหรือ จริงสิ เรามีกำไลเงินอันใหม่ใช่ไหม ? ใช้สิ่งนั้นเป็นของขวัญก็แล้วกัน ! ”
“ได้อย่างไรกัน ? สิ่งนั้นเป็นของที่ท่านพ่อตั้งใจซื้อให้ท่านแม่นะเจ้าคะ ! ” เสี่ยวเหลียนน้องสาวของซัวถัวมุ่ยปากอย่างไม่พอใจ
แม่ซัวถัวนำกำไลเงินวงนั้นออกมา จากนั้นก็ใช้ผ้าสีแดงผืนหนึ่งห่อไว้อย่างดี “ไอหยา ! แม่ก็อายุปูนนี้แล้วจะแต่งตัวไปเพื่ออะไร ? ตอนที่พ่อเจ้าซื้อมา แม่ก็บอกแล้วว่าเปลืองเงิน ! ”
พ่อซัวถัวยิ้มอย่างจริงใจแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด พรุ่งนี้เรานำของสิ่งนี้เป็นของขวัญไปก่อนแล้วกัน จากนั้นข้าค่อยซื้อให้เจ้าใหม่ ! เมื่อครั้งแต่งงานกัน ครอบครัวเราไม่ได้มีเงินมากมายนัก แต่ตอนนี้ครอบครัวสบายมากขึ้น กำไล ปิ่นปักผม ต่างหู ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องชดเชยให้เจ้า ! ”
แม่ซัวถัวเลิกคิ้วสูงพร้อมคลี่ยิ้ม แต่ปากบ่นอย่างไม่พอใจว่า “ใครเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดของครอบครัวกันแน่ ? ”
“เจ้า แน่นอนว่าเจ้าเป็นผู้ชี้ขาด ! ” พ่อซัวถัวตอบโดยไม่ลังเล ทำให้เด็ก ๆ พากับหัวเราะขบขัน
“เช่นนั้นก็ดี ! ฟังข้า ไม่ต้องเปลืองเงินไปซื้อของเหล่านั้นหรอก เก็บเงินไว้เป็นค่าสินสอดสู่ขอสะใภ้ให้ลูก ๆ เถิด ! เสี่ยวเหลียน เจ้าเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว คนเราต้องรู้จักประมาณตน อย่าไปพร่ำเพ้อนึกถึงดวงจันทร์ที่ลอยเด่นฟ้าแต่จับต้องไม่ได้ ! พรุ่งนี้บัณฑิตเจียงต้องเข้าพิธีหมั้น เจ้าก็ควรตัดใจได้แล้ว ! ” แม่ซัวถัวมองไปทางบุตรสาวพลางพูดเกลี้ยกล่อมด้วยความขมขื่นใจ
เสี่ยวเหลียนร้อนใจทันที “ท่านแม่ ! ท่านพูดอันใดเจ้าคะ ? เหตุใดจึงใส่ร้ายบุตรสาวของตนเช่นนี้ ? ข้าไม่ได้มีใจให้บัณฑิตเจียงเสียหน่อย ก็แค่รู้สึกว่าเขา…งดงาม งดงามยิ่งกว่าบุปผาที่บานสะพรั่ง ! มองแล้วเพลินใจก็แค่นั้น ! ”
“หากเจ้าคิดเช่นนี้ แม่ก็วางใจ ! เจ้าอย่าเลียนแบบพวกสาว ๆ ในหมู่บ้านที่เที่ยวไปอวดรู้ต่อหน้านางหนูรอง บัณฑิตเจียงไม่ได้ตาบอด นางหนูรองมีหน้าตาที่งดงามแถมยังซื่อสัตย์และมีจิตใจเมตตา ทั้งหมู่บ้านไม่มีผู้ใดเหมือนนางอีกแล้ว ไม่เลือกนาง แล้วจะให้เลือกหญิงสาวที่วันทั้งวันไม่ทำสิ่งใดนอกจากสุมหัวนินทาเหล่านั้นหรือ ? ”
แม่ซัวถัวยังรู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย หากนางไม่ลังเลตั้งแต่แรกเริ่ม แล้วให้บุตรชายไปทำการสู่ขออีกฝ่าย บางทีผู้ที่ได้แต่งงานกับบุตรสาวคนรองตระกูลหลินอาจจะเป็นซัวถัว ! สุดท้ายทั้งสองตระกูลจึงยิ่งมีระยะห่างออกไปเรื่อย ๆ นางเองก็ละอายแก่ใจเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย เฮ้อ ! เป็นนางเองที่เข้าไปรั้งซัวถัวไว้…
“ท่านแม่ขอรับ ท่านมองข้าด้วยเหตุใด ? ” ซัวถัวงุนงง จากนั้นก็เดินกะเผลกกลับไปยังห้องของตน ทันใดนั้นผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าผืนหนึ่งก็ร่วงสู่พื้นตรงเบื้องหลัง
แม่ซัวถัวเก็บมันขึ้นมาและมองรอยฝีเข็มที่สม่ำเสมอทั้งยังปักเป็นรูปดอกกล้วยไม้อีกด้วย ไม่เหมือนฝีมือของเสี่ยวเหลียนน้องสาว นางเองก็ยุ่งทั้งวันจนแทบไม่ได้พัก ไม่มีเวลามานั่งปักดอกไม้บนผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้หรอก นี่…เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของเด็กผู้หญิง หรือว่า…
“ท่านพี่ ท่านทำผ้าเช็ดหน้าหล่น ! ” เสี่ยวฉาวขยิบตาไปทางพี่ชาย สุดท้ายก็ได้ค้นพบความลับของพี่ชาย หึหึ…
ซัวถัวรีบคลำหาบนหน้าอกของตนเอง เมื่อพบว่าว่างเปล่าจึงรีบมองหาด้วยความร้อนใจ กระทั่งเห็นผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นบนมือมารดา เขาแสดงสีหน้าดีใจและรีบเข้าไปแย่งผ้าเช็ดหน้าทันที จากนั้นก็ปัดฝุ่นที่เปื้อนบนผ้าอย่างระมัดระวัง
แม่ซัวถัวถามว่า “ลูกรัก เจ้าจะไม่พูดสิ่งใดหน่อยหรือ ? ”
เมื่อซัวถัวเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นสายตาของทุกคนกำลังจับจ้องมาที่ตน สองแก้มของเขาจึงแดงระเรื่อ “พูด…พูดสิ่งใดขอรับ ? ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นของตอบแทนน้ำใจที่นางมอบให้ตอนที่ข้าช่วยชีวิตเอาไว้ นางเย็บให้ข้า…พวกท่านอย่าได้คิดเป็นอื่น ! ”
พวกเรายังไม่ได้คิดเป็นอื่น เจ้านั่นแหละหน้าแดงเอง เสี่ยวฉาวเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ท่านพี่ ท่านรู้จักสำนวนที่ว่า ‘ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง2’ หรือไม่ ? ดูจากท่าทางของท่านตอนนี้ก็รู้แล้ว ! ”
แม่ซัวถัวขยิบตาให้สามี ฝ่ายพ่อซัวถัวเป็นอันเข้าใจ จากนั้นก็จับตัวบุตรชายไว้ด้วยสองมือ ตั้งใจจะทำการสอบสวน ! “เจ้าเด็กอัปลักษณ์มีอนาคตแล้วสิ รู้จักเกี้ยวพาสตรีแล้ว ! ไหนว่ามาสิ แม่สาวน้อยผู้นั้นคือใคร ! ”
ซัวถัวอ้ำอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะลอบมองไปยังมารดาและเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “นาง…อายุมากกว่าข้าหนึ่งปี…”
“อายุมากกว่าหนึ่งปีก็ดีสิ รู้ความ รู้จักรักผู้อื่น ! ” โตกว่าบุตรชายแถมยังเคยได้รับความช่วยเหลือจากบุตรชายของตน ! แม่ซัวถัวมีคำตอบเลือนรางอยู่ในใจแล้ว !
“นาง…ครอบครัวนางมีฐานะไม่ดีขอรับ ! ” นี่คือสิ่งที่ซัวถัวกังวลที่สุด ครอบครัวนางมีมารดาตาบอด ทั้งยังมีน้องชายที่ยังไม่แต่งงานอีก 2 คน เขากลัวคนในบ้านคิดว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาเป็นภาระแล้วพากันคัดค้าน
1 สามวันไม่โดนตีบ้าง ต่อไปคงได้ขึ้นไปรื้อหลังคา หมายถึง หากไม่ห้ามปรามเสียบ้าง ต่อไปคงเหลวไหลยิ่งกว่าเดิม
2 ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง หมายถึง มีความลับที่อยากปกปิด แต่กลายเป็นการเปิดเผยให้โลกรู้