หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 266 สีหน้าที่เต็มไปด้วยความโลภ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 266 สีหน้าที่เต็มไปด้วยความโลภ

หนิงตงเซิ่งขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะลูบคลำไปบนสูตรขนมที่เก็บไว้ใต้อกเสื้อ รอยยิ้มพิมพ์ใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาอีกครั้งราวกับว่าความเกลียดชังในชั่วพริบตานั้นเป็นเพียงภาพลวงตา

“พี่ใหญ่ ท่านจะมาที่ห้องครัวเพื่อเหตุใด ที่นี่ทั้งสกปรกทั้งวุ่นวาย ประเดี๋ยวก็เปื้อนชุดของท่านหรอก” หนิงตงเซิ่งเดินมาที่ห้องครัวแล้วเชิญอีกฝ่ายออกไปอย่างสุภาพ จากนั้นก็ชงชาเพื่อรั้งให้อยู่ในห้องรับรอง

หนิงตงจิ่งหยิบคุกกี้เมล็ดต้นเจินที่หลินเว่ยเว่ยเพิ่งทำเสร็จขึ้นมาสองชิ้น จากนั้นก็เอาเข้าปากและเคี้ยวไม่หยุด “ไม่พบกันหลายวัน รายการขนมของน้องสามเพิ่มขึ้นหลายอย่างเชียว ว่าแต่ขนมสีขาวน้ำนมในห้องครัวเมื่อครู่คือขนมอะไร ? ”

หนิงตงเซิ่งให้เด็กในร้านยกถาดเมล็ดทานตะวันและเมล็ดสนปากอ้าจำนวนหนึ่งเข้ามาพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านกำลังเอ่ยถึงเต้าฮวยที่ข้าซื้อกลับมาจากทุ่งหญ้าใช่หรือไม่”

หนิงตงจิ่งกินขนมในมือจนหมดแล้วดื่มน้ำชาไปอึกใหญ่ จากนั้นก็เผยธาตุแท้ออกมาเพราะเหนื่อยที่จะต้องแสร้งเป็นพี่น้องผู้รักใคร่ปรองดองจึงบอกจุดประสงค์อย่างตรงไปตรงมา “เจ้าคิดได้หรือยัง ? เจ้าครอบครองสูตรขนมเหล่านั้นอยู่ ดังนั้นแค่เราสองพี่น้องยกร้านหนิงจี้ไปในเมือง ไม่ถึงครึ่งปีรับรองว่าจะต้องทำให้ญาติ ๆ เห็นความสำเร็จเป็นแน่ เจ้าลองบอกมาสิ การอยู่ในเขตเล็ก ๆ แห่งนี้จะสร้างอนาคตอันใดให้เจ้าได้ ? ”

“พี่ใหญ่” หนิงตงเซิ่งหุบยิ้มทันใด ก่อนจะพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าเคยบอกไปแล้วว่าสูตรขนมเหล่านี้เป็นความลับที่สืบทอดมาจากตระกูลหุ้นส่วนของข้า เปิดเผยออกไปภายนอกไม่ได้ ! วงการธุรกิจของเราสิ่งใดสำคัญที่สุดรู้หรือไม่ ? นั่นก็คือความซื่อสัตย์ ! ถ้าสูตรขนมเหล่านี้ถูกเปิดเผยจากฝ่ายเราเอง อีกฝ่ายจะคิดกับตระกูลหนิงอย่างไร ? หากสร้างผลกระทบต่อชื่อเสียงของตระกูลหนิงเพราะเรื่องนี้ ญาติเหล่านั้นจะมองเราอย่างไร ? ท่านคงลืมไปแล้วว่าครอบครัวของอาหกโดนขับไล่ออกจากตระกูลเพราะเหตุผลใด ! ”

หนิงตงจิ่งเก็บความทะเยอทะยานของตนไว้ แต่ยังไม่ยอมแพ้ “แล้วผู้ใดจะให้เจ้าเปิดเผยสูตรขนมเหล่านั้นเล่า ? เราสองพี่น้องมาร่วมมือกันขยายสาขาร้านหนิงจี้ไปทั่วทั้ง 6 เมือง 28 อำเภอทางภาคเหนือไปเลยสิ หากเจ้าขาดเงินทุน ข้าจะบอกเลยว่ามันคือเรื่องเล็ก ! ”

หนิงตงเซิ่งมองไปทางหนิงตงจิ่งอย่างกล้ำกลืนฝืนทน “ข้าร่วมมือกับหุ้นส่วนโดยผลกำไรก็แบ่งกันคนละครึ่ง หากพี่ใหญ่เข้าร่วมด้วยก็ต้องมาคำนวณกันว่าจะต้องแบ่งกำไรคนละเท่าไร”

“ว่าอย่างไรนะ ? แบ่งกำไรคนละครึ่ง ? เจ้าโง่ไปแล้วหรือ ? เขาไม่ได้ออกเงิน แค่เสนอสูตรเพียงสองสามสูตรแต่ได้ผลกำไรถึงครึ่ง ! หากเป็นข้าจะให้เขามากสุดแค่สามส่วนสิบเท่านั้น ! น้องสาม เจ้าทำธุรกิจไม่เป็น ! ” หนิงตงจิ่งครุ่นคิดอยู่ในใจ ส่วนแบ่งห้าส่วนสิบ หากเขาเข้าร่วมด้วยอย่างมากสุดก็ได้แค่ 2-3 ส่วน นี่กำลังเล่นบ้าอันใดกันอยู่ ?

เขาจึงเริ่มมีความคิดอยากได้สูตรขนมในมือของน้องสามขึ้นมา “น้องสาม เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ? เจ้าแบ่งสูตรขนมในมือให้ข้า ส่วนข้าจะเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านขนมที่มีชื่อเสียงจากแดนเหนือมาปรับสูตรให้ดียิ่งขึ้น เราสองพี่น้องมาร่วมมือกันเปิดร้านใหม่สักสองสามร้าน เป็นอย่างไร ? ”

สำหรับเขาแล้ว ในเมื่อเจ้าของสูตรเลือกหนิงตงเซิ่งมือใหม่ที่เพิ่งเข้าสู่วงการค้าขายและยังไม่ประสีประสามาร่วมธุรกิจก็น่าจะไม่มีเบื้องหลังอันใด ขอแค่ได้สูตรมาครองแล้วจะเป็นอันใดไป ?

หนิงตงเซิ่งเห็นถึงความคิดสกปรกในใจของอีกฝ่ายจึงอดกล่าวไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ การประเมินวงศ์ตระกูลไม่ได้มีแค่ความสามารถ ยังมีเรื่องของคุณธรรมด้วย ท่านคิดว่าผู้อื่นโง่เขลามากหรือ ? เปลี่ยนวิธีการโดยเอาสูตรของผู้อื่นมาดัดแปลงเป็นของตน นั่นคือข้อห้ามในวงการค้าขาย ! ”

“เดิมทีวงการค้าขายก็คือการหลอกลวงซึ่งกันและกัน การทำขนมแม้ว่าจะต่างชนิดแต่วิธีการก็คล้ายกัน มนุษย์เราก็ไม่ต่างกันหรอก ขนมเหมือนกันแล้วอย่างไร ? น้องสาม เจ้าทำธุรกิจไม่เป็น สมองทื่อเกินไป ไม่รู้จักพลิกแพลง นั่นต่างหากคือข้อห้ามของวงการค้าขาย” หนิงตงจิ่งกล้าที่จะสอน

หนิงตงเซิ่งยิ้มอย่างเย็นชาแต่ปากยังพูดโน้มน้าวว่า “พี่ใหญ่ อำนาจที่อยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลหนิงของเราหรือแม้แต่ทายาทสายตรงของตระกูลหนิงสามารถยื่นมือเข้าไปสอดได้ ! ”

หนิงตงจิ่งหลุดหัวเราะออกมา นี่เจ้ากำลังหลอกใครอยู่หรือ ? ข้าสอบถามมาหมดแล้ว อีกฝ่ายเป็นแค่คนชนบทจะมีอำนาจอันใดได้ ? ฝูงหมาป่ากับคนโง่หลังเขาเหล่านั้นน่ะหรือ ?

หนิงตงเซิ่งเห็นท่าทางไม่ตกใจของอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ เวลานี้ท่านคงกำลังคิดในใจว่าเป็นหญิงสาวชาวบ้านที่ออกมาจากหลังเขาแล้วจะมีอำนาจอันน่ากลัวอยู่เบื้องหลังได้อย่างไรใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นท่านก็คิดผิด ท่านคงเคยได้ยินเรื่องที่หมินอ๋องซื่อจื่อโดนลอบสังหารในอำเภอเป่าชิงแล้วใช่หรือไม่ ? ”

“แน่นอน ทั้งอำเภอ…ไม่สิ พูดได้ว่าทั้งเมืองจงโจวฮือฮากันเป็นอย่างมาก แม้แต่เจ้าเมืองจงโจวยังต้องไปเยี่ยมซื่อจื่อที่ได้รับบาดเจ็บถึงในจวนหมินอ๋อง ! แล้วเกี่ยวอันใดกับที่เราคุยกัน ? เจ้าอย่าคิดจะเบี่ยงประเด็น ! ” หนิงตงจิ่งเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย

หากไม่ใช่กฎระเบีบบที่ว่าตระกูลเดียวกันฆ่ากันเองไม่ได้ล่ะก็ ป่านนี้เขาคงหาคนมาสั่งสอนน้องสามที่ไม่รู้ความผู้นี้แล้ว แค่บุตรที่เกิดจากอนุภรรยาซึ่งตายไปคนหนึ่ง กล้าเพ้อฝันริอ่านเทียบชั้นกับเขาเชียวหรือ?

หนิงตงเซิ่งยังคงยิ้มอ่อนโยน แต่รอยยิ้มไม่ได้มาจากภายใน คนตรงหน้าคือบุตรชายคนโตที่บิดาโปรดปรานมากที่สุด แม้จะมีความทะเยอทะยานแต่ก็ขาดความสามารถ เย่อหยิ่งอวดดี ปฏิบัติต่อน้องชายต่างมารดาเหมือนคู่ต่อสู้ ดูถูกความสามารถของเขาอย่างร้ายกาจ !

“เช่นนั้น…พี่ใหญ่ก็รู้เรื่องนี้แล้ว ย่อมไม่มีทางไม่รู้ว่าผู้มีพระคุณที่ช่วยหมินอ๋องซื่อจื่อคือผู้ใด” หนิงตงเซิ่งปรายตามองอย่างสงบ เขามองคุณชายใหญ่ตระกูลหนิงอย่างไม่เกรงกลัว

หนิงตงจิ่งแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา “แล้วเจ้าจะพูดออกนอกทะเลให้ได้สิ่งใด ? สุนัขรับใช้ที่ช่วยชีวิตหมินอ๋องซื่อจื่อเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านหลังเขาเล็ก ๆ…” จู่ ๆ สีหน้าของเขาก็แข็งค้างขึ้นมา

หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนั้นมีชื่อว่าอันใด ? ดูเหมือนจะ….หมู่บ้านฉือหลี่โกว…ฉือหลี่โกว ? คงไม่บังเอิญเช่นนั้นหรอก ?

“ความหมายของเจ้าคือคนที่ช่วยชีวิตหมินอ๋องซื่อจื่อ คนที่ได้รับมอบป้ายหยกแสดงฐานะหมินอ๋องซื่อจื่อก็คือหุ้นส่วนของเจ้าเองหรือ ? ไม่มีทาง ! ผู้ที่ช่วยหมินอ๋องซื่อจื่อตามข่าวลือคือเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง คนที่ร่วมหุ้นกับเจ้าคือเด็กสาวตัวเหม็นไม่ใช่หรือ ? ” หนิงตงจิ่งมองไปทางน้องชายอย่างลังเล เจ้าอัปลักษณ์นี้ไม่ได้ขู่กันใช่หรือไม่ ?

หนิงตงเซิ่งยิ้มเย็นชาและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้รู้ทุกเรื่องหรอก เพื่อความสะดวกแล้วโดยส่วนใหญ่หลินกู่เหนียงมักจะแต่งกายเป็นบุรุษ ! หากท่านไม่เชื่อก็ไปสอบถามชาวบ้านตามท้องถนนได้เลยว่าผู้ที่นำป้ายหยกกิเลนออกมาลงโทษตระกูลอู๋คือบุรุษหรือสตรี…”

เมื่อได้ยินเช่นนี้หนิงตงจิ่งจึงเชื่อทันที เด็กในร้านเมื่อครู่ได้กล่าวว่าน้องสามไปส่งหลินกู่เหนียง ส่วนเรื่องที่หลินกู่เหนียงลงโทษตระกูลอู๋ น้องสามคงไม่มีทางสร้างเรื่องโกหกที่สามารถเปิดโปงความจริงได้หรอกเพราะแค่ไปสอบถามก็รู้แล้ว

หนิงตงจิ่งเกิดความไม่พอใจขึ้นมา เขาต้องพักความคิดที่จะยึดอำนาจไว้ก่อน น้องสามพูดก็ถูก แม้ว่าจะเป็นทายาทตระกูลหนิง แต่เมื่อเทียบกับหมินอ๋องซื่อจื่อที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ที่สุดแล้ว มันคือความแตกต่างระหว่างมดกับช้าง หมินอ๋องซื่อจื่อมอบป้ายหยกให้แก่ตระกูลหลิน ย่อมเป็นการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าตระกูลหลินได้รับความคุ้มครองจากจวนหมินอ๋อง

หนิงตงจิ่งเบิ่งตามองหนิงตงเซิ่งด้วยความโกรธ เจ้าอย่าชะล่าใจ คอยดูต่อไปแล้วกัน !

หนิงตงเซิ่งเห็นคุณชายใหญ่หนิงสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปจึงตะโกนเสียงดังว่า “พี่ใหญ่เดินทางปลอดภัย ! ”

เมื่อเห็นแผ่นหลังที่ไกลออกไปของคุณชายใหญ่หนิง หนิงตงเซิ่งก็ค่อย ๆ หุบยิ้มลง ดูท่าแล้วร้านในเมืองจงโจวต้องหยุดลงก่อน สิ่งแรกที่ต้องทำคือขยายร้านในเมืองเหอโจวและบริหารให้กิจการรุ่งเรืองเพื่อแย่งชิงความสนใจของตระกูลหลัก…หนิงตงจิ่งไม่กล้าแตะต้องตระกูลหลิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมาลอบกัดน้องชายต่างมารดาไม่ได้

หนิงตงจิ่งได้รับการสนับสนุนจากมารดาซึ่งเป็นภรรยาเอก ส่วนบิดาก็ให้ความสนใจมาก ดังนั้นตัวหนิงตงเซิ่งจึงต้องป้องกันเอาไว้ก่อน !

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท