ตอนที่ 289 โจรบุก
นางกำลังรีบร้อนจึงใช้เท้าถีบประตูบ้านหมอเหลียงให้เปิดออกทันที คนในบ้านหมอเหลียงจึงตกใจตื่นกันหมดและคิดว่าโจรบุกปล้น !
หมอเหลียงที่ใส่เสื้อผ้าแล้วออกมาเห็นหลินเว่ยเว่ย เขาจะโมโหหรือตำหนินางก็ไม่ได้ “ประตูบ้านข้ามีความแค้นต่อเจ้าหรือ ? เจ้าถึงได้ทำมันพังบ่อยครั้งนัก”
“อย่ามัวสนใจประตูบ้านเลย ! โจรจะบุกมาในหมู่บ้านแล้ว ! รีบเก็บข้าวของสำคัญแล้วไปรวมตัวกันที่ลานหมู่บ้านในอีกหนึ่งเค่อ ! ” หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองสมุนไพรในลานบ้านตระกูลเหลียงครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับเพิ่มอีกอย่าง “สมุนไพรเอาไปแต่ของราคาแพงหน่อย ส่วนอย่างอื่นนั้นวันหน้าค่อยหามาทดแทน ! ”
หมอเหลียงเคยผ่านความโกลาหลในช่วงสงครามมาแล้ว แม้จะรู้สึกไม่อยากทิ้งสมุนไพรเหล่านั้น แต่เขาก็รู้ว่าผลของการตัดสินใจอันลังเลจะเป็นเช่นไร เมื่อให้คนในบ้านสวมเสื้อหนาวกันแล้ว แต่ละคนก็หอบข้าวสารพอประมาณ แบ่งของมีค่าในบ้านให้ทุกคนในครอบครัวและพยายามเก็บข้าวของติดตัวให้มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลินเว่ยเว่ยยังไปบอกป้ากุ้ยฮวา แม่ซัวถัวและบ้านหยาเอ๋อร์ด้วย จากนั้นก็วิ่งไปยังบ้านย่าหลิวเพื่อช่วยเก็บข้าวของมีค่าแล้วพาไปยังลานหมู่บ้าน…บัดนี้หลิวว่ายจื่อทำงานในเขตเริ่นอันอย่างขยันขันแข็ง ถือว่าทำออกมาได้ดีทีเดียว ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางจะไม่ทอดทิ้งมารดาของเขาไว้ที่นี่ !
ย่าหลิวจับเงินในกระเป๋าอกเสื้อ พอแบกกระบุงไม้ไผ่แล้ว นางก็หันกลับมามองเครื่องปั่นฝ้ายของตนด้วยความปวดใจ…หวังว่าโจรเหล่านั้นจะไม่ทำลายเครื่องปั่นฝ้ายของนาง !
ณ ลานหมู่บ้านมีคนมารวมตัวกันจำนวนมาก เด็กน้อยที่โตหน่อยและเก่งในการปีนต้นไม้ก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้เก่าแก่หน้าหมู่บ้าน ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นแสงไฟสลัวกำลังเคลื่อนไหวอยู่บนถนนในหุบเขาอย่างรวดเร็ว คนที่เคยสงสัยก่อนหน้านี้จึงเชื่อว่ามีโจรจะมาบุกปล้นหมู่บ้านจริง ๆ
มีคนร้องไห้คร่ำครวญและร้องไห้ด่าทอไม่น้อย มีชาวบ้านจำนวนมากที่ปวดใจกับข้าวสารซึ่งกักตุนเอาไว้แต่ก็เอาไปด้วยไม่ได้ บางคนแบกข้าวสารเป็นกระสอบ บางคนย้ายของหนักในบ้านออกมาจำนวนมาก แล้วยังมีบ้านที่เลี้ยงแพะก็ต้อนแพะออกมาด้วย…
ขณะมองความวุ่นวายตรงหน้า ผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันใด เขาประกาศเสียงดังลั่น “พวกเรากำลังจะหนีเอาชีวิตรอด ไม่ใช่ย้ายบ้าน ! นอกจากเงินทอง เสื้อผ้ากันหนาวแล้ว อย่างมากสุดก็นำข้าวสารไปกินประทังชีวิตประมาณสองวัน สิ่งใดที่ทิ้งได้ก็ทิ้ง ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ต้องทิ้งอาจเป็นชีวิตของพวกเจ้าเอง เมื่อไม่มีชีวิตแล้วจะมีเงินทองหรือข้าวไปเพื่อเหตุใดอีก ? ถ้าใครไม่ทำตามแล้วหนีตามคนอื่นไม่ทันจนโดนโจรจับหรือสังหารก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เตือน ! ”
หลินเว่ยเว่ยมองคนในครอบครัวของตน ภายใต้การนำของเจียงโม่หานและหลีชิง พวกเขากำลังยืนอยู่ในมุมหนึ่งของลานหมู่บ้าน นางหวงกำลังเช็ดน้ำตาเพราะรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับข้าวสาร เนื้อหมูป่า พวกเนื้อแผ่นและผลไม้อบแห้งในห้องใต้ดิน…พอนับรวมกันแล้วก็คิดเป็นเงินหลายร้อยตำลึง !
หลินเว่ยเว่ยเข้าไปปลอบมารดาสองสามประโยค จากนั้นก็อ้างว่าตนยังมีของที่ไม่ได้หยิบมาแล้วรีบวิ่งกลับไปเพื่อเข้าไปยังห้องใต้ดินแล้วกวาดของทุกอย่างเข้าไปในมิติน้ำพุวิญญาณ หลังครุ่นคิดแล้ว นางยังทิ้งธัญพืชหยาบไว้สองสามกระสอบและพวกผักเหี่ยวเฉาไว้ตามเดิม จากนั้นก็วิ่งไปบ้านตระกูลเจียงและกวาดของในห้องใต้ดินจนเกลี้ยง
เมื่อกลับมาถึงลานหมู่บ้านอีกครั้ง หลินเว่ยเว่ยก็ประกาศเสียงดังลั่น “ได้เวลาแล้ว ! เดินตามหลังข้ามา ! ”
นางเลือกเส้นทางที่ใช้ขึ้นเขาบ่อยครั้งพร้อมเตือนทุกคนว่าห้ามส่งเสียงและห้ามจุดไฟเด็ดขาด !
นางไม่ได้นับจำนวนคนและไม่มีเวลามานับด้วย ใครเชื่อนางก็จะพาคนนั้นขึ้นเขา หาทางรอดให้ด้วย ส่วนคนที่คิดไม่ดีหรือไม่ฟังคำสั่งของผู้นำก็ช่วยไม่ได้ จงรอรับชะตากรรมจากสวรรค์เองแล้วกัน !
โชคดีที่ผู้ใหญ่บ้านมีบารมี ทั้งความเชื่อใจในตัวหลินเว่ยเว่ยของชาวฉือหลี่โกวก็สูงมาก พวกชาวบ้านส่วนใหญ่จึงฟังคำสั่งอย่างเงียบ ๆ…
“เฮ้ ! พวกเจ้ารอข้าด้วย ! แพะของข้า…อย่าวิ่งมั่วซั่วสิ ! ” มารดาเจ้าอ้วนซานเลี้ยงแพะไว้ที่บ้านสามตัว เพียงรอให้ขายได้เงิน นางก็จะมีชีวิตอย่างสุขสบายในปีหน้า ! เจ้าพวกนี้เป็นเงินทั้งสิ้น แล้วนางจะยอมทิ้งได้อย่างไร ?
บิดาเจ้าอ้วนซานที่กำลังจับมือบุตรและประคองมารดาผู้แก่ชราอยู่ก็หันกลับไปเค้นเสียงพูดกับนางเบา ๆ “อย่าไปสนแพะพวกนั้น แพะหรือชีวิตเจ้าสำคัญกันแน่ ? ”
“สำคัญทั้งสอง ! ” มารดาเจ้าอ้วนซานไล่จับแพะที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น แม้อากาศจะหนาวเหน็บ แต่ศีรษะของนางก็เต็มไปด้วยเหงื่อ
บิดาเจ้าอ้วนซานเห็นคนข้างหน้าเดินนำไปไกลแล้วจึงกัดฟันพูดว่า “ตามใจ ! เจ้ารนหาที่ตายเอง อย่าลากพวกเราลงไปด้วย ! ท่านแม่ขอรับ เจ้าอ้วนซาน พวกเราไปกันเถิด ! ”
เจ้าอ้วนซานหันกลับไปมอง ทันใดนั้นเขาก็ตกใจจนแทบร้องไห้ออกมา “ท่านแม่ อย่าสนแพะเลย ! โจรเข้ามาในหมู่บ้านแล้ว ! ” ถ้ามองจากบนเนินเขาตรงนี้จะสามารถมองเห็นใบหน้าอันโหดเหี้ยมผ่านแสงสะท้อนจากคบเพลิง และในความเงียบงันจะได้ยินเสียงตะโกนด่าทอของพวกโจรชั่ว !
อาจเพราะหวาดกลัวมากเกินไป เขาจึงควบคุมน้ำหนักเสียงไม่ได้ ภายใต้หุบเขาที่เงียบสงัดคำว่า ‘ท่านแม่’ ที่เขาเอ่ยออกมานั้นเสียงดังฟังชัดมาก บิดาเจ้าอ้วนซานจึงต้องรีบเอามือปิดปากบุตรชายและไม่กล้าหยุดเดินแม้แต่ชั่วอึดใจเดียว เขารีบลากบุตรชายไล่ตามชาวบ้านคนอื่นทันที
หัวหน้ากองโจรได้ข่าวว่าหมู่บ้านฉือหลี่โกวอาศัยเมล็ดสนและของป่าต่าง ๆ ทำเงินได้อย่างมหาศาล แล้วยังออกไปซื้อข้าวสารจากอำเภอจิงหยุนหลายต่อหลายครั้ง แต่ละบ้านล้วนมั่งคั่งและหมู่บ้านฉือหลี่โกวยังอยู่ในพื้นที่ห่างไกล อยู่ไกลจากตัวอำเภอกับทหารรักษาการณ์ด้วย กว่าที่ทางการหรือทหารรักษาการณ์จะได้ข่าว พวกมันก็คงกวาดทรัพย์สินไปจนเกลี้ยงและหนีไปโดยไร้ร่องรอยแล้ว !
แต่ใครจะรู้ว่าพอเข้ามาในหมู่บ้าน สิ่งที่รออยู่คือหมู่บ้านร้าง ! ลูกน้องคนสนิทก็เพิ่งรู้ว่าพวกมันต้องมากวาดล้างฉือหลี่โกว ดังนั้นข่าวไม่มีทางรั่วไหลออกไปก่อนแล้วชาวฉือหลี่โกวจะทราบและอพยพไปก่อนได้อย่างไร ?
ไฟโทสะของหัวหน้ากองโจรยังไม่ทันลดลง มันก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากในหุบเขาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มันจึงโบกมือและตะโกนเสียงดังลั่น “ไปล่าตัวมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ! ”
มารดาเจ้าอ้วนซานออกแรงคว้าเขาของแพะตัวใหญ่และอ้วนที่สุดเอาไว้ จากนั้นก็พยายามดันตัวมันไปข้างหน้า “เจ้าเดินสิ ! ถ้าอยู่ที่นี่ต่อ เจ้าจะโดนโจรจับเชือด…เดิน…”
นางหันไปมองด้านล่าง ไอหยา ! แสงไฟกำลังตรงมาทางนี้แล้ว มารดาเจ้าอ้วนซานจึงไม่สนแพะอีกต่อไป นางรีบวิ่งไปข้างหน้าทันที “กรี๊ด…โจรไล่ตามมาแล้ว ! ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…”
เสียงกรีดร้องของนางดังก้องไปทั่วผืนป่า ! หัวหน้ากองโจรจึงมั่นใจในทิศทางยิ่งกว่าเดิม มันโบกมือทันที “ตาม ! อย่าให้หนีรอดแม้แต่คนเดียว ! ”
ผู้ที่ดูคล้ายกุนซือข้างกายก็เอ่ยปากแนะนำ “ดูจากร่องรอยที่ทิ้งไว้ พวกมันน่าจะรีบร้อนหนีตาย ข้าวสารที่อยู่ในห้องใต้ดินก็ไม่ได้เอาไปด้วย เป้าหมายในครั้งนี้ของเราคือข้าวสาร ท่านแม่ทัพอย่าสร้างอุปสรรคซึ่งทำให้ยากแก่การแก้ไข…”
หัวหน้ากองโจรที่โดนเรียกว่าท่านแม่ทัพหันมามองอีกฝ่ายด้วยแววตากระหายเลือด “เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าถ้าหนึ่งในพวกนั้นมองตัวตนแท้จริงของพวกเราออกขึ้นมา วันหน้าเราจะต้องมีชีวิตอยู่กับการตามล่าจากสุนัขรับใช้ของฮ่องเต้ ! ตัวเองยังยากรักษา แล้วจะเอาสิ่งใดมากอบกู้ราชวงศ์ ? ”
กุนซือจ้องมองหุบเขากว้างใหญ่ที่เหมือนสัตว์ร้าย ทันใดนั้นมันก็รู้สึกกังวลขึ้นมา “ในหุบเขานี้มีสัตว์ป่าดุร้ายอาศัยอยู่ มีอันตรายซ่อนอยู่ทุกหนแห่ง เราไม่เข้าใจภูมิประเทศ พรุ่งนี้เช้าค่อยขึ้นไปหา…”
“ไม่ได้ ! รบเร็วย่อมชนะเร็ว ก็แค่ชาวบ้านโง่เขลากลุ่มเดียวเท่านั้น ! ไปตามล่ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ! ” เมื่อหัวหน้ากองโจรเป็นผู้นำในการเข้าป่า ลูกน้องใต้บัญชาจึงตามไปด้วยความฮึกเหิม