ตอนที่ 299 คงไม่ได้คิดอันใดกับเด็กน้อย
“เสี่ยวเว่ย เจ้าไม่ได้เป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ” หนิงตงเซิ่งเดินเข้ามาหาหลินเว่ยเว่ยพร้อมเอื้อมมือจะช่วยยกถาดเนื้อแผ่นเข้าเตาอบให้นาง
“อย่าจับ ประเดี๋ยวมันจะลวกมือท่านได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยรีบเบี่ยงหลบจากมือของอีกฝ่าย หลังวางถาดเข้าเตาอบแล้ว นางก็ถอดถุงมือผืนหนาออกแล้วพูดกับเขาพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร พวกเราสบายดี ! สินค้าก็ไม่เสียหายเช่นกัน ! วางใจได้ ไม่ส่งสินค้าให้พวกท่านล่าช้าแน่นอน ! ”
“สินค้าไม่สำคัญ ขอแค่คนไม่เป็นอันใดก็พอแล้ว ! ” หนิงตงเซิ่งเห็นนางยังร่าเริงอยู่ ดูท่าจะไม่ได้รับผลอันใดจากการโดนบุกปล้นครั้งนี้ เขาจึงวางใจได้อย่างสมบูรณ์
“พี่รองหลิน บ้านท่านมีแขกมาหา ! ” กลุ่มของเสี่ยวโต้วติงเดินนำรถม้าคันหนึ่งมาจอดเทียบตรงหน้าบ้านตระกูลหลิน
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองคนขับรถม้าที่แสนแปลกตา ชายวัยกลางคนที่ลงมาจากรถม้าก็ยังเป็นคนที่ไม่เคยเจอมาก่อน นางจึงเข้าไปต้อนรับพร้อมรอยยิ้มแต่ก็ยังถามด้วยความระวังว่า “ไม่ทราบว่าท่านคือ…”
ชายวัยกลางคนคลี่ยิ้ม หลังจากมองนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วก็กล่าวออกมาว่า “ท่านนี้คงเป็นบุตรสาวคนรองตระกูลหลินใช่หรือไม่ ? ข้าน้อยคือพ่อบ้านจากเรือนพักตากอากาศแห่งจวนหมินอ๋อง ซึ่งเดินทางมามอบของปลอบขวัญตามคำบัญชาของซื่อจื่อขอรับ ! ”
พอได้ยินว่านำของขวัญมามอบให้ รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินเว่ยเว่ยก็ดูเด่นชัดขึ้นทันที “ไอหยา ใต้เท้าซื่อจื่อเกรงใจเกินไปแล้ว ! ฝากขอบคุณใต้เท้าซื่อจื่อแทนข้าด้วย ! แล้วการพักรักษาตัวของใต้เท้าซื่อจื่อเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
“ซื่อจื่อปลอดภัยแล้วขอรับ อีกไม่กี่วันก็จะหายเป็นปกติ ซื่อจื่อได้ยินว่าหมู่บ้านฉือหลี่โกวโดนโจรบุกปล้นจึงโมโหมากจนเขียนฎีกาส่งไปยังราชสำนักว่าจะอยู่ต่อเพื่อนำทหารเข้าปราบปรามกบฏ ! ซื่อจื่อยังเขียนถึงผลงานของกู่เหนียงและบัณฑิตเจียงว่าคราวนี้ถ้าไม่มีพวกท่านคอยสังเกตว่าเป็นกองกำลังทหารกบฏได้ทันเวลาก็ไม่รู้ว่าจะมีราษฎรในเมืองจงโจวต้องเดือดร้อนอีกสักเท่าไหร่ขอรับ ! ” ซื่อจื่อให้ความสำคัญต่อทั้งสองคนนี้จึงทำให้พ่อบ้านปฏิบัติตัวด้วยความเคารพ
“ผลงานไม่ใช่เรื่องสำคัญ ! ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพกัวที่ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและรีบเดินทัพเข้าช่วยราษฎร ไม่เพียงช่วยพวกเราชาวบ้านฉือหลี่โกวแต่ยังช่วยชีวิตชาวบ้านในอำเภอจิงหยุนด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่ถนัดในการทำตัวอ่อนโยนต่อคนอื่น นางจึงเริ่มรู้สึกว่ารอยยิ้มบนใบหน้าจะขยับไม่ได้อยู่แล้ว
พ่อบ้านสั่งให้คนขนของขวัญลงมา ก่อนจะบอกลาอย่างสุภาพ ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็มองส่งรถม้าจวนหมินอ๋องเคลื่อนจากไป ก่อนจะลูบแก้มแล้วพูดกับบัณฑิตหนุ่มว่า “ต่อไปถ้ามีเหตุการณ์เช่นนี้อีก เจ้าออกมารับหน้าเลย ! ”
“เขามาเพื่อปลอบขวัญบ้านตระกูลหลิน ข้าแซ่เจียงเป็นคนนอกแล้วจะไปต้อนรับได้อย่างไร ? ” เจียงโม่หานพลิกตำรา ทว่าในใจกลับไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร…เจ้าหมินอ๋องซื่อจื่อนี่อย่างไรกัน ? คงไม่ได้คิดอันใดกับเด็กน้อยใช่หรือไม่ ? ตั้งใจส่งของขวัญมาปลอบขวัญ จะไม่ดูใส่ใจเกินไปหน่อยหรือ !
หลินเว่ยเว่ยเริ่มค้นดูของขวัญจึงพบว่าเป็นพวกผ้าไหมและเครื่องประดับ ทว่าของที่จวนหมินอ๋องให้มาจะต้องเป็นของชั้นดีแน่นอน เฮ้อ ! แค่มอบของขวัญให้ก็มอบไม่เป็น คิดว่ามอบผ้าไหมลวดลายงดงามให้ข้า แล้วชาวบ้านเช่นเราจะใส่ออกไปไหน ? แถมยังมีพวกเครื่องประดับอีก ถ้านางใส่ออกจากบ้านจะต้องตกเป็นเป้าของพวกโจร…เก็บไว้ก็แล้วกัน รอให้พี่สาวออกเรือน แล้วสินเดิมที่อลังการนี้ก็ยังพอสร้างหน้าตาให้ได้บ้าง !
เผิงหยูเหยี่ยนที่โดนลูกธนูเฉียดตรงแขนขวาก็เข้าไปใกล้บุตรสาวคนโตตระกูลหลินอย่างเงียบ ๆ พร้อมกระซิบถามว่า “น้องสาวของเจ้ารู้จักหมินอ๋องซื่อจื่อด้วยหรือ ? หมินอ๋องซื่อจื่อส่งของขวัญมาให้เยอะแยะเช่นนี้ คงไม่ได้คิดอันใดกับนางใช่หรือไม่ ? ”
เดิมทีบุตรสาวคนโตยังรู้สึกอิจฉาในผ้าไหมลวดลายสวยและเครื่องประดับอยู่พอสมควร หลังได้ยินเช่นนั้นนางก็ตกใจทันทีและรีบตอบว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนอยู่เมืองหลวงนั้นหมินอ๋องซื่อจื่อไม่เคยพบสตรีประเภทใดบ้าง เขาจะมาชอบเด็กสาวบ้านนอกได้อย่างไร ? อีกอย่างน้องรองก็หมั้นหมายแล้ว ซื่อจื่อเช่นเขาคงไม่แย่งคู่หมั้นคนอื่นหรอก”
เผิงหยูเหยี่ยนกังวลแทนศิษย์น้องเจียง “มีตำราตั้งหลายเล่มที่เขียนไว้ว่าผู้ทรงอำนาจปกคลุมท้องฟ้าด้วยมือข้างเดียว ชอบใครก็อุ้มกลับไปเป็นอนุภรรยา อย่าว่าแต่หมั้นหมายแล้วเลย แม้จะแต่งงานแล้ว หากชอบ สิ่งใดก็เกิดขึ้นได้…”
“อ่านตำราไร้สาระพวกนั้นให้น้อยหน่อย ! การบ้านที่ข้าให้ศิษย์พี่เผิงทำยังน้อยไปใช่หรือไม่ ศิษย์พี่เผิงถึงได้มีเวลาว่างมาอ่านตำราไร้ค่าเหล่านั้น ? ” ไม่รู้ว่าเจียงโม่หานมาปรากฎตัวตรงเบื้องหลังของทั้งสองคนตั้งแต่เมื่อไร เขาจับจ้องทั้งสองด้วยแววตาเย็นชา
เผิงหยูเหยี่ยนรีบหดคอแล้วหาข้อแก้ตัวเสียงอ่อน “ตำราพวกนั้นข้าเคยอ่านในอดีต ตั้งแต่มาเรียนกับศิษย์น้องเจียงก็ไม่ได้แตะต้องอีกเลย ! ข้า…ข้าก็แค่กังวลแทนศิษย์น้องเจียง ! ”
“ท่านเป็นห่วงตนเองก่อนเถิด ! ภายในสามวันนี้ให้เขียนบทความเชิงกลยุทธ์โดยใช้หัวข้อเกี่ยวกับโจร ! ” หลังทิ้งท้ายด้วยถ้อยคำประโยคนี้แล้ว เจียงโม่หานก็เดินจากไปพร้อมไพล่มือไว้ด้านหลังอย่างไม่สบอารมณ์
เผิงหยูเหยี่ยนพูดเสียงหลงทันที “หา ? ในมือข้ายังมีบทความที่เขียนไม่เสร็จอยู่อีกหนึ่งหัวข้อ เหตุใดจึงเพิ่มขึ้นอีกหัวข้อแล้วเล่า สามวันไม่ไหว ห้าวันค่อยส่งได้หรือไม่ ? ศิษย์น้องเจียง เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้…”
“ฟังสิขอรับท่านแม่ เสียงนี้ฟังดูมีพลังมากใช่หรือไม่ ? คราวนี้ท่านวางใจแล้วหรือยัง ? ” รถม้าตระกูลเผิงเพิ่งมาหยุดอยู่หน้าบ้านตระกูลหลิน คนในรถม้าก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญของเผิงหยูเหยี่ยนแล้ว
เผิงหยูชางประคองบิดาและมารดาลงจากรถม้า พี่สะใภ้ของเผิงหยูเหยี่ยนก็มาด้วย ส่วนคนขับรถม้าคือเผิงเจียเหลียง เอาล่ะ คราวนี้บ้านตระกูลเผิงมากันทั้งครอบครัวเลยทีเดียว !
บ้านตระกูลเผิงก็เพิ่งได้ทราบข่าวในช่วงสองวันนี้ เป็นเผิงเจียเหลียงที่กลับจากตัวอำเภอ แล้วบอกว่าหมู่บ้านฉือหลี่โกวโดนโจรบุกปล้น บ้านตระกูลเผิงตกใจกันเสียยกใหญ่ ตอนนั้นนางเผิงหมดสติทันใด ส่วนพี่สะใภ้ก็ร้องไห้จนควบคุมตนเองไม่อยู่…เผิงหยูเหยี่ยนเป็นลูกรักของคนทั้งบ้าน เขาจะเป็นอันใดไม่ได้เด็ดขาด !
เผิงเจียเหลียงถึงขั้นคิดในใจว่า ‘ขอถามหน่อยว่าข้าเป็นเด็กที่เก็บมาจากกองฟืนใช่หรือไม่ ? ’
นางเผิงเพิ่งได้สติขึ้นมาก็บอกให้บุตรชายคนโตเตรียมรถม้าแล้วเดินทางมาที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวทันที ระหว่างทางเจอทหารกำลังขนอิฐเข้าเขตอันผิง หลังถามไถ่เหตุการณ์แล้วถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
นางเผิงดึงตัวบุตรชายมามองสำรวจจนทั่ว จากนั้นก็พูดปลอบว่า “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ! แม่ตกใจมากเพราะโจรพวกนั้นชอบสร้างเรื่องฆ่าล้างตระกูล ! ”
ต่อจากนั้นนางก็เริ่มคลำตัวเผิงหยูเหยี่ยน เมื่อจับโดนบาดแผลของเขาแล้ว สีหน้าของเผิงหยูเหยี่ยนก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป นางเผิงจึงถามอย่างกระวนกระวายใจ “เป็นอันใด ? บาดเจ็บใช่หรือไม่ ? เจ็บตรงไหน ? ”
เผิงหยูเหยี่ยนรีบกุมหัวใจแล้วกล่าวด้วยใบหน้าอมทุกข์ “ท่านแม่ขอรับ ข้าเจ็บตรงนี้ ! สหายเจียงน้องข้าเพิ่มการบ้านที่ไม่มีวันทำเสร็จให้ข้า หัวใจจึงปวดร้าวยิ่งกว่าสิ่งใดขอรับ”
นางเผิงฟาดไปที่บาดแผลของเขาทันที “พอแล้ว เลิกเล่นได้แล้ว ! อยู่ต่อหน้าแม่ยังจะทำเป็นเล่นอีกหรือ ? บัณฑิตเจียงจะงดให้การบ้านเจ้าได้อย่างไร ? ตอนที่เจ้าปวดใจก็นึกถึงการสอบในปีหน้าเข้าไว้ ถ้าน้องชายของคู่หมั้นแล้วก็ว่าที่น้องเขยของเจ้าสอบติดกันหมด แต่มีเจ้าเพียงคนเดียวที่ไม่ติด หัวใจจะไม่ยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิมหรอกหรือ ? ลองคิดอีกหน่อยว่าหากเจ้าสอบซิ่วไฉได้ ตอนมาสู่ขอเฉียงเอ๋อร์แล้ว นางก็พลอยมีหน้ามีตาไปด้วย ใช่หรือไม่ ? ”
เผิงหยูเหยี่ยนเจ็บจนต้องกัดฟัน นางเผิงจึงกลอกตาใส่เขา “เอาเถิด เลิกเล่นได้แล้ว ! รีบไปอ่านตำราเถิด ประเดี๋ยวแม่อยู่คุยกับท่านแม่ของว่าที่ลูกสะใภ้หน่อย ! ”
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินรู้สภาพร่างกายของเขาดีจึงกลัวว่าบาดแผลจะเปิด นางรีบถือผ้าพันแผลแล้วตามเขาไปทันที พอนางเผิงเห็นเข้าก็เผยรอยยิ้มอย่างสุขใจ…เด็กสองคนนี้รักกันดีเหลือเกิน !