ตอนที่ 315 รสชาติของก้อนเมฆ
วิถีชีวิตของชาวบ้านในหุบเขายังช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาแก่ขุนเขาที่เคยอ้างว้าง หมู่บ้าน ตลาด สะพาน กังหันน้ำ กระท่อมหรือศาลาก็ดูมีชีวิตชีวาไม่แพ้กัน แม้จะขัดแย้งแต่ก็ดูเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
โดยเฉพาะด้านองค์ประกอบซึ่งทำให้ติงหยูเฉิงยิ่งหลงใหลในภาพนี้ ความสูง ความลึก ความราบเรียบ วิธีจัดองค์ประกอบหลากหลายส่งผลให้ภาพดูมีมิติ ช่างเป็นวิธีการที่ล้ำลึกมาก
ติงหยูเฉิงยิ่งมองยิ่งรู้สึกได้ถึงความยอดเยี่ยมของภาพ เขาจึงเริ่มขยับมือขยับไม้ด้วยความเคลิบเคลิ้มพลางบ่นพึมพำกับตนว่า “หุบเขาพันภูผา ซ้อนทับสลับชั้น พืชพรรณเขียวชอุ่ม กว้างใหญ่สุดสายตา ! วิเศษ วิเศษเกินบรรยาย ! ”
คล้ายว่าได้เจอเรื่องน่าตกใจจึงทำให้หลินจื่อเหยียนเบิกตากว้างมองติงหยูเฉิงทันที…ชายผู้นี้เป็นอะไร ? คงไม่ได้เกิดบ้าขึ้นมาในเวลานี้หรอกกระมัง ?
ติงหยูเจินอดยกมือกุมหน้าผากไม่ได้ เฮ้อ ! โรคคลั่งไคล้ในภาพวาดของน้องรองกำเริบอีกแล้ว !
“น้องหลิน ไม่ต้องสนใจเขาหรอก พอเขาได้เห็นภาพวาดดี ๆ สักชิ้นก็มักจะเป็นเช่นนี้ ! ” ติงหยูเจินเผยท่าทางเหนื่อยใจ น้องสาวก็ไร้เดียงสาราวกับผ้าขาว เขาต้องคอยกังวลว่านางจะโดนคนชั่วหลอกลวง ส่วนน้องชายก็ไม่ได้เรื่อง พอหลงใหลในสิ่งใดแล้วก็เหมือนเอาตัวเองไปอยู่ในภาพวาดและลืมเลือนทุกสิ่งรอบกาย…เฮ้อ พี่ชายคนโตอย่างเขาคงไปติดหนี้ทั้งสองไว้เมื่อชาติที่แล้ว !
มะ…ไม่ต้องสนใจจริงหรือ ? ขณะมองท่าทางของติงหยูเฉิงแล้ว หลินจื่อเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลังออกไปสองก้าว เพราะกลัวว่าจะเจ็บตัวหากอีกฝ่ายควบคุมสติไม่อยู่ไปมากกว่านี้
ติงหยูเจินถึงขั้นพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
น้องรองไม่กัดคน รับประกันได้เลย !
เมื่อหลินจื่อเหยียนได้ทราบว่าติงหยูเจินเพิ่งเข้าพิธีสวมกวานและได้เป็นจู่เหรินแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างจึงเต็มไปด้วยคำว่า ‘เลื่อมใส’ จากนั้นก็เข้าไปขอคำชี้แนะจากอีกฝ่ายด้วยความกระตือรือร้นทันที ศิษย์พี่เจียงมีพรสวรรค์เป็นเลิศ มุมมองดั่งหอคอยอันสูงตระหง่าน ทว่ามุมมองที่คุณชายใหญ่ติงใช้มองปัญหาดูเข้าถึงได้ง่ายและตรงกับความเป็นจริงของโลกมากกว่า กล่าวกันว่าการได้ฟังคำพูดดีกว่าอ่านตำรานานนับสิบปี การสนทนากับปัญญาชนย่อมได้ประโยชน์มากล้น
ทางด้านหลินเว่ยเว่ยก็กำลังต้อนรับติงหลิงเอ๋อร์ในห้องส่วนตัว ติงหลิงเอ๋อร์สนใจฉากกั้นห้องนั้นมาก ลวดลายของดอกไม้สี่ฤดูกาล สีสันชัดเจนราวกับมีชีวิตจริง นางโน้มกายเข้าไปดูอย่างละเอียดแล้วถามว่า “พี่หลิน ท่านเป็นคนปักเองหรือ ? เทียบกับฉากกั้นนี้แล้ว ข้าไม่ควรนำพัดมามอบให้เลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยถือพัดไว้ในมือแล้วทำท่าเป็นหญิงงาม คิ้วโค้งทว่าคลี่ยิ้มไม่เห็นฟัน “เจ้าไม่ต้องดูถูกตนเองหรอก แค่ถือพัดที่เจ้ามอบให้ข้าก็รู้สึกว่าเข้าใกล้การเป็นสตรีที่สง่างามขึ้นมากเลย ! ฉากกั้นนี้ว่าที่แม่สามีของข้าปักให้ต่างหาก มือหยาบกร้านทั้งสองข้างของข้าเรียนงานที่ประณีตเช่นนี้ไม่ได้หรอก”
ติงหลิงเอ๋อร์โดนแกล้งหยอกจนหัวเราะไม่หยุด เมื่อยื่นมือมาจับมือของหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางก็ลูบบริเวณฝ่ามือนั้น “พี่หลิน มือทั้งสองข้างของท่านขาวเนียนและนุ่มราวกับปุยนุ่น ถ้ามือท่านหยาบกร้านแล้ว ข้ามิต้องซ่อนมือไว้ใต้แขนเสื้อตลอดกาลเพราะไม่กล้าเอาออกมาให้ใครเห็นหรอกหรือ?”
หลินเว่ยเว่ยมีนิ้วเรียวยาว ข้อต่อของนิ้วก็สม่ำเสมอและยังแช่น้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณบ่อยครั้ง ผิวจึงขาวเนียนละเอียดดุจหยก หากเป็นยุคอนาคตจะสามารถประกอบอาชีพนางแบบมือ ( Hand Model ) ได้แน่นอน
ส่วนมือน้อย ๆ ของติงหลิงเอ๋อร์มีสีขาวนิ่มอวบอิ่มสัมผัสนุ่มมือไปหมด ทำให้คนที่ได้จับแล้วอยากจับอีกครั้ง แต่นางไม่พอใจในมือทั้งสองข้างของตนเพราะมือที่ดูดีในความคิดของนางน่าจะเป็นแบบมือของพี่หลินมากกว่า
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “มือทั้งสองข้างของข้าแค่ดูดีเท่านั้น เสื้อผ้าเย็บไม่เป็น ลวดลายก็ปักไม่ได้ ข้าอิจฉาเจ้ามากกว่าที่สามารถปักลวดลายได้งดงามเช่นนี้ ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์หยุดหัวเราะ “เราอิจฉากันไปอิจฉากันมา ฟังเหมือนกำลังอวยกันเองไม่มีผิด ดูท่าแล้วจะไม่มีใครสมบูรณ์แบบเพราะทุกคนล้วนมีข้อเสียเป็นของตน ! ”
“กินขนม ! กินขนม ! ” ทันใดนั้นนกแก้วขนแหว่งก็บินเข้ามาแล้วร่อนลงที่ข้างตัวหลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็เริ่มกระโดดไปมาอย่างอยู่ไม่สุข
ติงหลิงเอ๋อร์ฉวยโอกาสที่หงส์แดงไม่ทันระวังเพื่อจับตัวมันไว้ได้สำเร็จ “จับเจ้าได้แล้ว ยังกล้าพูดว่าข้าน่าเกลียดอีกหรือไม่ ? ระวังข้าจะถอนขนที่เหลือของเจ้าทิ้ง ! ”
“ช่วยด้วย ! พยัคฆ์ร้าย ! ราชสีห์ดุ ! ขายไม่ออก ! ” นกแก้วรู้ว่านางเป็นแขกของนายหญิงคนปัจจุบันจึงไม่กล้าทำร้าย ได้แต่ตะโกนด่าด้วยความโมโหเท่านั้น !
ติงหลิงเอ๋อร์หัวเราะจนท้องแข็งอีกครั้ง “พี่หลิน เหตุใดนกแก้วของท่านจึงผลัดขนในฤดูหนาว ! มันจะไม่หนาวตายหรอกหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเคาะศีรษะนกน้อยเบา ๆ แต่มันกลับรู้สึกเหมือนโดนบีบคอ ต่อจากนั้นนางก็เอ่ยด้วยเสียงเรียบนิ่ง “ขนบนตัวมันถูกเจ้าดำถอน ! ”
เจ้าดำกำลังนอนอยู่ที่ประตูบ้าน พอได้ยินเสียงเจ้านายพูดชื่อ มันก็รีบวิ่งเข้ามาแล้วเอาศีรษะถูไถที่เท้าของเจ้านาย หลินเว่ยเว่ยอุ้มมันขึ้นมา “ดูสิ ! นั่นเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ้า ! ”
เมื่อเห็นเจ้าดำแล้วหงส์แดงในมือติงหลิงเอ๋อร์ก็แสดงท่าทางของศัตรูทันที “เจ้าหมาโง่ ! รีบไสหัวออกไป ! ” เจ้าดำจึงแยกเขี้ยวขู่มันกลับ
ติงหลิงเอ๋อร์ตกใจ “พวกมันคงจะไม่ตีกันใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้าดำกับขนแหว่งเปรียบเสมือนศัตรูคู่อาฆาตกันมาแต่ชาติปางก่อน พอเห็นหน้าก็จิกกัดกัน แต่มีข้าอยู่ด้วย พวกมันไม่กล้าหรอก ! ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ใช้สายตาปรามพวกมัน…ทำตัวดี ๆ หน่อย !
นกแก้วรู้สึกน้อยใจทันที “ข้าไม่ได้ชื่อขนแหว่ง ข้าชื่อหงส์แดง ! ”
“รอให้ขนของเจ้าขึ้นหมดทั้งตัวเมื่อใด ค่อยเปลี่ยนมาเรียกหงส์แดง ! ” หลินเว่ยเว่ยเถียงกลับ
เจ้าดำมุดศีรษะลงในฝ่ามือของเจ้านาย มันเองก็รู้สึกน้อยใจเช่นกันเพราะเมื่อก่อนตอนที่เจ้านกแก้วขนแหว่งยังไม่มาอยู่ด้วย มันเป็นสัตว์เลี้ยงตัวเดียวของเจ้านาย ถ้าไม่ใช่เพราะนกขนแหว่งตัวนี้ มันคงไม่โดนถลึงตาใส่ ! ต้องโทษนกขนแหว่งตัวเดียวเลย คราวหน้าต้องถอนขนมันให้หมด ! ไม่ให้เหลือสักเส้น !
ดวงตาเปล่งประกายสีอำพันที่มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วของเจ้าดำจ้องนกแก้วขนแหว่งด้วยความดุร้ายปราดหนึ่ง หงส์แดงก็ไม่ยอมแพ้เพราะรีบทำท่าทางยั่วโทสะทันที
ติงหลิงเอ๋อร์หัวเราะจนตัวงอ “พี่หลิน มีเจ้าสองตัวนี้อยู่ บ้านท่านจะต้องมีความสุขมากแน่ ! ”
หลินเว่ยเว่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “ใช่ ! มีนกบินกับหมากระโดดทั้งวัน…เจ้ารอสักครู่ ข้าทำขนมไว้ จะเอามาให้เจ้าลองชิม”
วันนี้สิ่งที่หลินเว่ยเว่ยทำคือ ‘ซูเฟล’ ตัวขนมมีขนาดครึ่งฝ่ามือ สีเหลืองทอง ท่าทางนุ่มนิ่ม ด้านบนโรยด้วยเมล็ดต้นเจิน เมล็ดสนและผลไม้อบแห้ง เมื่อนำไปวางบนจานสีขาวดุจหิมะแล้ว มันก็ดูสวยสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
“ว้าว ! พี่หลิน ท่านทำเองหรือ ? เหตุใดท่านจึงบอกว่ามือหยาบกร้าน เช่นนั้นจะสามารถทำขนมออกมาได้งามถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ” ติงหลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความตกใจ
หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้ม “อาจเพราะข้าเป็นนักกิน ดังนั้นจึงชอบเรียนทำของเหล่านี้ มา มาลองชิมกันเถิด ! ”
“เช่นนั้น…ข้าไม่เกรงใจแล้ว ! ” ติงหลิงเอ๋อร์เป็นตัวเองได้แบบสุด ๆ หลังล้างมือแล้วนางก็บิซูเฟลเข้าปาก ทันใดนั้นดวงตากลมโตก็เปล่งประกาย “นุ่มฟู พอเข้าปากก็ละลายทันที รสชาติเหมือน…ก้อนเมฆบนท้องฟ้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยโดนความน่ารักของนางทำให้อารมณ์ดี “พูดราวกับเจ้าเคยกินก้อนเมฆมาก่อน ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์หัวเราะด้วยความเขินอาย “ไม่ว่าอย่างไรก็ฟู นุ่มแล้วก็อร่อยมาก ! พี่หลิน นักกินหมายถึงอันใดหรือ ? ”