ตอนที่ 316 ถูกสอนจนเสียคน
“นักกินที่ว่า ใช้อธิบายผู้ที่รักและแสวงหาอาหารเลิศรสเป็นพิเศษ บางคนรักการกินอาหารรสเลิศจนเป็นงานอดิเรก บางคนกินจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือเป็นคนตะกละตะกลามไปเลย คนเช่นนี้มีความหลงใหลในอาหารเลิศรส พอเห็นอาหารแล้วก็จะรู้สึกมีพละกำลังขึ้นมาเป็นพิเศษ”
เจียงโม่หานเพิ่งเข้ามาในบ้านก็ได้ยินคู่หมั้นของตนกำลังพูดถึงความตะกละให้ดูสูงส่งมากยิ่งขึ้น
ติงหลิงเอ๋อร์พูดว่า “พี่หลิน ถ้าเช่นนั้นข้าชอบกินของต่าง ๆ ข้าเองก็เป็นนักกินเหมือนกันน่ะสิ ! ”
เฮอะ ! โดนคู่หมั้นของเขาสอนจนเสียคนอีกหนึ่ง
เขายืนฟังอยู่ในลานบ้าน เด็กสาวทั้งสองสนทนาถึงวิธีการทำขนมอย่างสนุกสนานจนติงหลิงเอ๋อร์เกิดความตั้งใจที่จะเรียนทำซูเฟลกับหลินเว่ยเว่ยขึ้นมา ยังบอกว่ารอให้ถึงวันเกิดมารดาเมื่อใด นางจะทำให้มารดาได้กิน !
หลินเว่ยเว่ยจับมือติงหลิงเอ๋อร์เดินออกมา พอเห็นเจียงโม่หานในลานบ้านแล้วนางก็ถามพร้อมรอยยิ้ม “บัณฑิตน้อย เจ้ากลับมาแล้วหรือ ? วันนี้ได้สิ่งใดมาบ้าง ? ”
เมื่อมีคนนอกอยู่ด้วย เจียงโม่หานเพียงพยักหน้าอย่างสงวนท่าทีและพูดคล้ายกลัวทองคำจะร่วงออกจากปาก “พอได้ ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์มองกระบุงด้านหลังของชายหนุ่มด้วยความสงสัย จากนั้นก็กระซิบถามหลินเว่ยเว่ยว่า “คู่หมั้นพี่หลินขึ้นเขาไปล่าสัตว์หรือ ? เขาได้สิ่งใดมาบ้าง ? ”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าดูสภาพเขาก่อน เหมือนคนไปล่าสัตว์หรือ ? เขาขึ้นไปชมทิวทัศน์ต่างหาก ! ”
“ชมทิวทัศน์ ? วาดภาพรึ ? หรือว่าเขียนบทความ ? ” ติงหลิงเอ๋อร์เหลือบมองไปยังตัวเจียงโม่หานที่เต็มไปด้วยแสงเปล่งประกายของบัณฑิต จากนั้นนางก็รู้สึกว่าการคาดเดาว่าเขาไปล่าสัตว์เมื่อครู่มันน่าขำยิ่งนัก
“ก็ทั้งหมด ! ไปเถิด ข้าจะสอนเจ้าทำซูเฟลแบบง่ายที่สุดก่อน ! ” หลินเว่ยเว่ยกลัวนางจะถามต่อ แล้วปราชญ์ชนบทที่นางชมชอบจะหายไปจึงรีบดึงตัวนางเข้าห้องครัว
ทว่านี่เป็นครั้งแรกของสาวน้อย…เมื่อถึงขั้นตอนตีไข่ขาวจึงพบอุปสรรค ขณะมองไข่ขาวของหลินเว่ยเว่ยกลายเป็นสีขาวหิมะและเหนียวข้นแล้ว แม้มือตนเองใกล้จะหัก ไข่ขาวก็ยังเหลวอยู่เท่าเดิม ติงหลิงเอ๋อร์เผยสีหน้าเศร้าสร้อย หรือนางจะไร้พรสวรรค์ในการทำอาหารจริง ?
หลินเว่ยเว่ยยิ้มปลอบ “ในขั้นตอนนี้ผู้หญิงที่มีแรงน้อยก็สามารถขอความช่วยเหลือจากคนข้างกายได้…”
จริงสิ ! ดวงตาของติงหลิงเอ๋อร์เป็นประกาย หลังเดินออกมาที่ลานบ้านแล้วนางก็ตะโกนไปที่ห้องปีกตะวันออก “พี่ใหญ่ รีบออกมาช่วยข้าเร็ว ! ”
ทันใดนั้นก็มีคนโผล่ออกมาจากห้องปีกตะวันออกถึง 2 คน หลินจื่อเหยียนรีบวิ่งเข้าครัวจนเกือบชนติงหลิงเอ๋อร์ที่อยู่หน้าประตู หลินเว่ยเว่ยจึงรีบเข้าไปประคองติงหลิงเอ๋อร์ที่รีบถอยหลังหลบ แล้วหันไปถลึงตาใส่น้องชาย “เหตุใดไม่ดูตาม้าตาเรือ ? เกือบชนคนเข้าแล้ว รู้หรือไม่ ? ”
หลินจื่อเหยียนชะโงกหน้ามอง จากนั้นก็หดศีรษะกลับและกล่าวขอโทษขณะมองหน้าเด็กสาว “ขออภัย ข้าได้ยินเสียงคนตะโกนจึงเข้าใจผิดว่าห้องครัวไฟไหม้…”
ติงหลิงเอ๋อร์หน้าแดงแล้วก็ขอโทษอีกฝ่าย “ไม่โทษคุณชายหลินหรอก เป็นข้าเองที่พูดไม่ชัดเจน…”
ทันใดนั้นดวงตาของหลินเว่ยเว่ยก็มองสำรวจตัวหนุ่มสาวคู่นี้สองสามรอบ…คนหนึ่งไร้เดียงสา คนหนึ่งขี้อาย คนหนึ่งหล่อเหลาสง่างาม คนหนึ่งตัวเล็กขี้อ้อน…ดูเหมาะสมกันใช้ได้ หืม อย่างไรกัน ? หรือว่า…จะถึงเวลาที่น้องชายคนโตของนางมีความรักได้แล้ว ?
หลินเว่ยเว่ยตัวสั่น จากนั้นก็ส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ เด็กสองคนนี้เพิ่งอายุ 13 ปีเท่านั้น ในชาติก่อนยังเป็นเพียงนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ป็อปปี้เลิฟไม่ดีหรอก !
แต่นางก็ไม่คิดบ้างว่าตัวเองก็แก่กว่าทั้งสองคนแค่ 1 ปี ! ตอนนี้บัณฑิตน้อยก็มีอายุเป็นแค่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย…อนุญาตข้าราชการวางเพลิง ห้ามประชาชนจุดตะเกียง1 ใช่หรือไม่ ?
“ต้าฮว๋า เจ้ามาก็ดี ช่วยพี่หลิงเอ๋อร์หน่อยสิ ! ” หลินเว่ยเว่ยทำท่าทางราวกับเรียกลูกสุนัขตัวน้อย นางกวักมือเรียกหลินจื่อเหยียน
ต้าฮว๋า ? ขณะเลิกคิ้วมองหนุ่มน้อยรูปงาม มุมปากของติงหลิงเอ๋อร์ก็กระตุกคล้ายกำลังกลั้นหัวเราะเอาไว้
หลินจื่อเหยียนหน้าแดงและรีบประท้วงเบา ๆ “พี่รอง ข้าบอกท่านกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเล่นของข้า โดยเฉพาะเวลามีคนอื่นอยู่ด้วย…”
หลินเว่ยเว่ยขอโทษอย่างไม่จริงใจ “เอาเถิด ! ข้าผิดเอง ! โตแล้วก็เริ่มรักหน้าตาสินะ…”
หลินจื่อเหยียนรับรู้ได้ถึงความผิดหวังและไม่พอใจบางอย่างในน้ำเสียงของพี่สาว เขาจึงเริ่มรู้สึกเสียใจแล้วรีบพูดว่า “พี่รอง ท่านอยากให้ข้าช่วยอะไร ? ”
“ไม่ได้ช่วยข้า แต่ไปช่วยพี่หลิงเอ๋อร์ต่างหาก…” หลินเว่ยเว่ยชี้ไปยังชามไข่ขาวในมือติงหลิงเอ๋อร์ที่ถูกตีจนเละเทะ
หลินจื่อเหยียนเหลือบมองรูปร่างผอมบางของติงหลิงเอ๋อร์ ก่อนจะละสายตาแล้วบ่นพึมพำเบาๆ “พี่รอง ท่านมั่นใจหรือว่าเป็นพี่สาว ไม่ใช่น้องสาว ? ”
ติงหลิงเอ๋อร์หัวเราะ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าอ่อนกว่าพี่หลินไม่ถึงสี่เดือนเท่านั้น เจ้าคิดว่าอย่างไร ? ” คงไม่สามารถอยู่ในท้องมารดาแค่ 4 เดือนแล้วคลอดออกมาได้ จริงหรือไม่ ?
หลินจื่อเหยียนยังเผยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ ติงหลิงเอ๋อร์ยื่นชามไข่ขาวไปด้านหน้าแล้วเอ่ยอย่างร่าเริง “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนเจ้าด้วย น้องชายหลิน ! ”
หลินจื่อเหยียนรับมาพร้อมใบหน้าแดงระเรื่อ จากนั้นก็เทไข่ขาวที่ใช้ไม่ได้แล้วใส่ชามอื่น แล้วเริ่มตีใหม่ด้วยทักษะที่ชำนาญ ท่าทางเช่นนั้น ทักษะเช่นนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าพี่สาวคงจะเรียกใช้เขาอยู่บ่อยครั้ง
ขณะมองไข่ขาวที่ถูกตีจนขึ้นฟู ติงหลิงเอ๋อร์ก็ใช้น้ำเสียงที่พูดเกินจริงชมเขา “ว้าว ! น้องชายหลิน เจ้าร้ายกาจยิ่งนัก ข้ารู้สึกว่ามือจะหักแล้วก็ยังทำไม่ได้สักที ทว่าเจ้าทำเพียงครู่เดียวก็สำเร็จ ! ”
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ทำจนชินเท่านั้น ! ” หลินจื่อเหยียนหน้าแดงพลางยื่นชามไข่ขาวให้นางแล้วรีบสาวเท้าเดินออกจากห้องครัวทันที
ติงหลิงเอ๋อร์ทำตามหลินเว่ยเว่ยโดยนำแป้งข้าวโพดใส่ลงในไข่ขาว จากนั้นก็กลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ขณะพูด “พี่หลิน น้องชายของท่านน่ารักจริง ๆ แถมยังขี้อายมากด้วย ! ”
“เด็กคนนั้นไม่เคยเจอเด็กสาวที่น่ารักถึงเพียงนี้มาก่อน ไม่เคยได้รับคำชมจากสาวงาม เขาจึงเขินมาก” หลินเว่ยเว่ยขยิบตาให้นางอย่างขี้เล่น
ทันใดนั้นใบหน้าของติงหลิงเอ๋อร์ก็เจือสีชมพูขึ้นมา “พี่หลินต่างหากถึงจะเป็นหญิงงาม ผิวขาวดุจหิมะ เนียนจนไม่เห็นริ้วรอย เวลายิ้มก็หวานไปถึงใจคน ข้าชอบพี่หลินที่สุดแล้ว ! ” ดังนั้นได้โปรดอย่างแกล้งข้าเลย ปล่อยข้าไปได้หรือไม่ ?
หลินเว่ยเว่ยบีบแก้มน้อย ๆ ของอีกฝ่าย เด็กที่น่ารักถึงเพียงนี้ นางทำใจแกล้งไม่ลงจริง ๆ ต่อจากนั้นนางก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กสาวปรับรูปทรงของครีมแล้วให้ใส่ถั่วหรือแยมที่ชอบลงไป !
ติงหลิงเอ๋อร์เลือกโรยเมล็ดสนก่อน หลังลองคิดแล้วนางก็โรยถั่วสมองลงไปอีกชั้น สุดท้ายจึงเลือกบลูเบอร์รี่อบแห้งที่มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานที่นางชอบ “พี่หลิน ใช้ได้แล้วหรือยัง ? ”
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็นำซูเฟลที่ทั้งสองคนทำเสร็จแล้วไปวางในถาดที่จะใช้อบ หลังสวมถุงมือเนื้อหนาแล้ว นางก็ยัดพวกมันเข้าเตาอบ ติงหลิงเอ๋อร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เตา หลินเว่ยเว่ยกลัวว่าใบหน้าน้อย ๆ แสนน่ารักของอีกฝ่ายจะถูกเปลวไฟ
ติงหลิงเอ๋อร์พูดด้วยความเขินอาย “พี่หลิน เตาอบนี้ทำอย่างไร ? ท่านสอนข้าได้หรือไม่ ? รอให้ข้ากลับไปเมืองหลวงแล้ว ข้าก็จะทำไว้ที่บ้านสักอัน เวลาอยากกินซูเฟลเมื่อใด ข้าก็จะได้อบกินเอง เพราะที่เมืองหลวงหาซื้อเจ้านี่ไม่ได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “ได้อยู่แล้ว ! ประเดี๋ยวข้าจะเขียนโครงสร้างและวิธีสร้างให้เจ้า พอเจ้ากลับไปแล้วก็หาคนมาทำ แต่พอเจ้าทำเตาอบแล้วจะเอาไว้ใช้แค่อบเค้ก แบบนั้นจะไม่สิ้นเปลืองเกินไปหน่อยหรือ ? ข้าจะสอนเจ้าทำขนมง่าย ๆ อีกสักสองสามอย่างแล้วกัน ! ”
1 อนุญาตข้าราชการวางเพลิง ห้ามประชาชนจุดตะเกียง หมายถึง ห้ามผู้อื่นกระทำ แต่ให้พวกตนทำได้