ตอนที่ 317 บ่มเพาะความรู้สึก
หลินเว่ยเว่ยสอนนางทำบิสกิตรสนมและบิสกิตรูปสัตว์ เพราะกังวลว่านางจะจำไม่ได้ จึงจดวิธีทำและการคุมไฟให้กลับไปทำความเข้าใจที่บ้านอีกที แม้ว่าแต่ละคนจะมีพรสวรรค์แตกต่างกัน แต่ถ้าลองทำหลายครั้งหน่อยก็ต้องสำเร็จแน่นอน !
“ว้าว ! พี่หลิน ขนห่านของท่านใช้ดีจริง ๆ เวลาเขียนตัวอักษรออกมาก็สามารถเขียนได้ตัวเล็กยิ่งนัก ! ” ติงหลิงเอ๋อร์คิดว่าหลินเว่ยเว่ยเป็นดั่งเทพเซียน ไม่ว่าขนมแปลกใหม่ก็สามารถทำออกมาได้ทั้งหมด หรือมีของอะไรน่าสนุกก็ทำได้เช่นกัน ขนห่านแสนธรรมดานี้ก็ยังสามารถเอามาทำพู่กันได้ ! บางทีพี่หลินคงจะเป็นนางฟ้าบนสวรรค์กระมัง ?
ติงหยูเจินที่กำลังสนทนากับเจียงโม่หานอยู่ก็สนใจพู่กันขนห่านเช่นกัน เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความสงสัย “น้องเจียง พวกเราก็เข้าไปดูกันเถิด…”
เจียงโม่หานก็อยากรู้ว่าพู่กันขนห่านเป็นอย่างไร เมื่อวานเขาเพิ่งเอาขนห่านมาให้เด็กน้อย วันนี้มันก็กลายเป็นพู่กันขนห่านแล้วหรือ ?
เขาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็เดินไปที่ห้องครัว พวกเขาเห็นเด็กสาวสองคนที่ คนหนึ่งกำลังนั่งอยู่กับพื้นแล้วเขียนบางสิ่งบางอย่างบนเขียงอย่างต่อเนื่อง ส่วนอีกคนกำลังโน้มกายและยื่นศีรษะเข้าไปดูพร้อมมือที่เล่นพู่กันขนห่านอีกด้าม
เจียงโม่หานโน้มตัวเข้าไปมอง เขาเห็นเด็กน้อยกำลังเขียนอย่างรวดเร็ว ลายมือที่เคยน่าเกลียด เวลานี้กลับเขียนได้ดูเป็นรูปเป็นร่าง ตัวอักษรดูบรรจงขึ้น งดงามและทรงพลัง…หรือว่าปัญหาจะอยู่ที่พู่กันจริง ?
“เสร็จแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่ได้เขียนเยอะเช่นนี้มานานมากแล้ว เมื่อก่อนตอนที่ต้องขยับพู่กัน นางมักให้บัณฑิตน้อยเป็นคนทำ นางจึงรู้สึกเหมือนตนเพิ่งเขียนกระดาษข้อสอบเสร็จ นิ้วที่ใช้หนีบพู่กันขนห่านปวดไปหมด…พู่กันขนห่านอ่อนเกินไป เขียนไม่ลื่นมือ !
พอเงยศีรษะขึ้น นางก็ไม่รู้ว่าข้างบนมีศีรษะเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด หลินเว่ยเว่ยฉีกยิ้มให้เจียงโม่หานอย่างภาคภูมิใจ “เป็นอย่างไรบ้าง ? ลายมือข้าพอใช้ได้หรือไม่ ? คราวนี้ก็ยกเลิกการคัดลายมือสองแผ่นนั้นได้แล้วกระมัง ? ”
เจียงโม่หานเคาะศีรษะนาง “ไม่ได้ ! ”
หลังพูดจบ เขาก็หยิบพู่กันขนห่านที่นางเพิ่งใช้แล้วลองเขียนบนกระดาษสองสามตัว ตอนแรกเริ่มเขารู้สึกไม่ค่อยชินจนเกือบเจาะกระดาษเป็นรู แต่หลังจากเขียนได้ประมาณสองสามตัวแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกว่ามันค่อย ๆ ดีขึ้น หลินเว่ยเว่ยมองอักษรที่สวยราวกับอักษรในสมุดคัดตัวอักษรของเขาด้วยความริษยา…น่าอิจฉายิ่งนัก !
ติงหลิงเอ๋อร์ย่องเข้ามากระซิบข้างหูนาง “คู่หมั้นพี่หลินช่างเข้มงวดกับท่านยิ่งนัก ! แถมยังควบคุมให้ท่านคัดลายมืออีกด้วย ! เป็นอย่างที่คิดว่าพอหมั้นหมายแล้วจะสูญเสียอิสระไปเยอะเลย ! ”
อมิตาพุทธ จะปล่อยให้เด็กน้อยเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ไม่ได้ หลินเว่ยเว่ยจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ที่จริงข้อดีของการหมั้นก็มีอยู่ไม่น้อย ! ประการแรก เจ้าไม่ต้องถูกคนที่บ้านบังคับให้ไปดูตัว ตอนนี้เจ้ายังเด็กคงยังไม่เคยเจอ แต่รอให้เจ้า…อายุ 15 ปีแล้ว คนในบ้านก็จะเริ่มร้อนใจแทนและเป็นกังวลเพราะเจ้า !
ประการที่สอง ทุกเทศกาลและวันเกิดในทุกปีจะมีคนให้ของขวัญเจ้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนและมีคนคอยถามไถ่ทุกข์สุขกับเจ้า ลองคิดดูนะ ตอนนี้เวลาออกจากบ้าน คนที่บ้านไม่วางใจให้เจ้าออกมาเพียงลำพังใช่หรือไม่ ? จำเป็นจะต้องมีพี่ชายไปด้วย แต่ถ้าพี่ชายไม่มีเวลาว่างล่ะ ? เจ้าลองดูข้าสิ เวลาเข้าเมืองก็มีคู่หมั้นไปเป็นเพื่อน เวลาขึ้นเขาก็มีคู่หมั้นตามไปด้วย ไม่ว่าอยากไปที่ใด คนทางบ้านก็วางใจ !
หากคู่หมั้นเจ้าเป็นนักวรรณกรรม เขาประพันธ์บทกวีให้ ตัวเจ้าก็ปักผ้าเช็ดหน้าให้เขา พอเขาวาดภาพให้ เจ้าก็เย็บกระเป๋าเงินตอบแทน เวลาเจ้าอยากปักอะไรสักอย่างก็มีคนวาดแบบให้ เช่นนั้นก็จะช่วยประหยัดเงินที่บ้านได้เยอะเลย ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์ส่ายหน้าเบา ๆ จากนั้นก็ก้มหน้ากดพิมพ์บิสกิตรูปสัตว์ต่อไปพลางเอ่ยออกมาว่า “ไฉนเลยจะง่ายดายเหมือนอย่างที่ท่านพูด พี่หลินกับบัณฑิตเจียงเป็นสหายรู้ใจกันมาตั้งแต่เด็ก เติบโตมาด้วยกัน คนที่บ้านรู้นิสัยของเขาจึงวางใจให้ออกจากบ้านเป็นเพื่อนท่าน ทั้งสองฝ่ายรักกันด้วยใจจริง แล้วจะไม่ง่ายได้อย่างไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยเองก็กล่าวเบา ๆ “เช่นนั้นก็เลือกคนที่อายุน้อยกว่าเจ้าหน่อย ไร้เดียงสาเล็กน้อย ไม่ทันทำอะไรก็หน้าแดงง่าย แล้วค่อยบ่มเพาะความรู้สึกกันสิ ! ” หลังกล่าวจบนางก็หันไปมองน้องสามด้วยสายตาเปี่ยมความนัย
ติงหลิงเอ๋อร์มองตามนางไป ทันใดนั้นก็หน้าร้อนผ่าวจนแทบจะทอดไข่ได้ แม้แต่บิสกิตรูปหมีน้อยก็ถูกบีบเละทันที “พี่หลิน ท่าน…ท่านหมายความว่าอย่างไร ? ข้า…ข้า…”
หลินเว่ยเว่ยไม่ได้พูดต่อเพราะกลัวว่าหากพูดเพิ่มแม้แต่คำเดียว เด็กสาวจะกลายเป็นระเบิดแทน
เจียงโม่หานแอบถลึงตาใส่หลินเว่ยเว่ย แต่ยังช่วยนางบังสายตาของติงหยูเจินเอาไว้และพาแขกออกมานอกครัว “พู่กันขนห่านน่าสนใจดี เขียนอักษรได้คล่องแคล่ว แถมยังประหยัดเวลาฝนหมึกไม่น้อย…”
ขณะมองพวกพี่ชายเดินออกไป ติงหลิงเอ๋อร์ก็แอบมองหลินจื่อเหยียนที่กำลังเพิ่มถ่านให้เตาอบอยู่ ทันใดนั้นนางก็หน้าแดงแล้วรีบก้มหน้าแสร้งทำเป็นยุ่งขึ้นมาทันที
“น้องติงไม่ต้องกดดัน ข้าแค่พูดเท่านั้น ข้ารู้ว่าเราสองบ้านฐานะไม่เหมาะสมกันหรอก แถมตอนนี้น้องชายของข้าก็ยังสอบแม้แต่บัณฑิตถงเซิงไม่ติด…เจ้าก็คิดเสียว่าข้าพูดเล่นแล้วกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยช่วยนวดแป้งใหม่ให้เด็กสาว จากนั้นก็กดแม่พิมพ์สร้างลูกหมีตัวน้อยทีละตัวแล้ววางเข้าเตาอบ
ติงหลิงเอ๋อร์กล่าวออกมาเบา ๆ “พ่อแม่ข้าไม่สนใจเรื่องฐานะ และไม่นำการแต่งงานของข้าไปปูทางให้ครอบครัว ท่านแม่บอกว่าขอเพียงข้ามีความสุข แม้จะเป็นบัณฑิตยากไร้ก็สามารถพิจารณาได้…”
หืม ? ดูเหมือน…จะมีโอกาส ! หลินเว่ยเว่ยพยักหน้ารับเบา ๆ “ท่านพ่อท่านแม่ดูจะรักเจ้ามาก ! ”
ติงหลิงเอ๋อร์พยักหน้า ทันใดนั้นน้ำเสียงก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “ใช่แล้ว ! พ่อแม่ข้าบอกว่าข้าเป็นเสื้อคลุมตัวน้อยที่พวกท่านรักมากที่สุด ส่วนพี่ชายทั้งสองเป็นกางเกงผ้าฝ้ายที่ขาด…ฮ่าฮ่าฮ่า…”
หลินจื่อเหยียนที่เดินกลับเข้าครัวมาอีกครั้งก็เหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะรีบผละสายตาหนี เขากล้ามองแค่พี่สาวเท่านั้น “บิสกิตถาดนี้เสร็จหรือยัง ? ข้าช่วยพวกท่านเอาไปใส่เตา ดีหรือไม่ ? ”
“เสร็จแล้ว ! รบกวนต้า…น้องชายด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยจงใจแกล้งเขา เหมือนจะหลุดเอ่ยชื่อเล่นเขาออกมาอีกรอบ แต่ภายใต้สายตาบูดบึ้งของหลินจื่อเหยียน นางจึงเปลี่ยนคำเรียกได้ทันเวลา
ขณะมองพี่น้องคู่นี้หยอกล้อกัน ติงหลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกว่าน่าสนุกดีจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ทันใดนั้นใบหน้าขาวใสของหลินจื่อเหยียนก็มีสีแดงขึ้นเล็กน้อย เขาจึงรีบยกถาดออกมาจากห้องครัวทันที
ติงหลิงเอ๋อร์คิดว่าอีกฝ่ายดูน่ารักเล็กน้อย เหมือนที่พี่หลินกล่าวจริง ๆ ว่าไร้เดียงสามาก ไม่ทันไรก็หน้าแดงแล้ว นางจึงอดถามไม่ได้ว่า “พี่หลิน ท่านแกล้งน้องชายเช่นนี้บ่อยหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่คิดว่ามันสนุกหรือ ? ”
ติงหลิงเอ๋อร์เม้มริมฝีปากแล้วยิ้มพลางกล่าวในใจว่า เป็นน้องชายของพี่หลินจะต้องลำบากมากแน่
นางคิดถึงหนุ่มน้อยหน้าแดงเก่งคนนั้น…ทำให้อดใจอยากแกล้งไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ ให้ตายเถิด เหตุใดตนจึงมีความคิดเช่นนี้ ? ถ้าเข้าใกล้ชาดก็จะเปลี่ยนเป็นสีชาด นางจะต้องโดนหล่อหลอมโดยพี่หลินแล้วแน่นอน !
ขนมหนึ่งถาดอบประมาณ 20 เฟินจง ( นาที ) ก็สามารถนำออกมาจากเตาได้แล้ว ที่อบเสร็จก่อนคือซูเฟล ด้านนอกเหลืองสวย ด้านในนุ่มฟู ติงหลิงเอ๋อร์ชี้ไปที่ขนมสองชิ้นที่ตนเป็นคนทำแล้วพูดกับพี่ชายราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า “นี่เป็นของที่ข้าทำเอง ! ดูท่าทางไม่เลวใช่หรือไม่ ? ต่อไปพวกท่านต้องช่วยตีไข่ขาว แล้วข้าจะทำขนมให้กินบ่อย ๆ ! ”