พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1931 ลองคิดดูแล้วกลัวสุดๆ

บทที่ 1931 ลองคิดดูแล้วกลัวสุดๆ

ดูท่าแล้ว สิ่งที่ฮูหยินสงสัยคงไม่ผิด การตายของจูเก๋อชิงมีเงื่อนงำซ่อนอยู่จริงๆ

เพียงแต่เหยียนซิวไม่เข้าใจ ว่าทำไมการร้องเพลงบวกกับปีนขึ้นหลังคาถึงทำให้เหมียวอี้ประทานความตายแก่จูเก๋อชิงได้ หรือว่ามีอะไรไม่ปกติ?

ดังนั้นเหยียนซิวจึงซักไซ้รายละเอียดอีกครั้ง แต่กลับไม่ได้รับข้อมูลที่สามารถคลายความสงสัยของเขาได้ ถามคนอื่นก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ในบรรดาคนเหล่านี้มีเพียงฟางเหลียวที่ถูกฉินซีควบคุมไว้ คนอื่นล้วนไม่มีปัญหา สิ่งนี้ทำให้เขาตกอยู่ในความฉงนสนเท่ห์อย่างล้ำลึก แล้วแบบนี้จะชี้แจงกับฮูหยินอย่างไรล่ะ?

ดาวจันทร์อี่ ดวงจันทร์เก้าดวงส่องสว่างบนผืนแผ่นดินใหญ่ พื้นดินกว้างใหญ่สีขาวเงินขับกับดาวเดียรดาษบนท้องฟ้า

อวิ๋นจือชิวงานยุ่งจนกระทั่งตอนนี้ ถึงได้เดินผ่านตะวันจันทนรากลับมาในจวนหัวหน้าภาค รับแขกมาทั้งวัน คนอื่นมองว่านางมีหน้ามีตามาก แต่กลับไม่รู้ว่าเปลืองสมองขนาดไหน พูดจนปากแห้งไปหมดแล้ว

เสวี่ยหลิงหลงกับหลินผิงผิงขอตัวออกไปนอกจวนหัวหน้าภาคแล้ว นัดกับอวิ๋นจือชิวไว้แล้วว่าพรุ่งนี้เจอกัน ทำเรื่องเหมือนอย่างวันนี้ต่อไป

ทหารคุ้มกันแยกย้ายกันไปก่อนที่จะเข้ามาถึงเรือนด้านหลัง อวิ๋นจือชิวถามทหารยามที่เฝ้าอยู่ตรงประตูเรือนด้านหลังว่า “นายท่านล่ะ?”

“นายท่านอยู่ในตำหนักประชุมขอรับ” ทหารยามรายงาน

“อ้อ!” อวิ๋นจือชิวมองไปทางตำหนักประชุมแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาบอกซิงกับเฟยหงว่า “ติดตามข้ามาวันหนึ่งแล้ว พวกเจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ”

ทั้งสองเอ่ยรับ แล้วอวิ๋นจือชิวก็พาแค่เสวี่ยเอ๋อร์เดินไปทางตำหนักประชุม ไม่ได้เดินไปทางประตูหลัก แต่เดินไปทางประตูหลัง ผลปรากฏว่าเห็นเชียนเอ๋อร์รออยู่ที่ประตูหลังของตำหนัก

หลังจากเชียนเอ๋อร์ทำความเคารพแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ถามอย่างแปลกใจ “เจ้ามายืนตรงนี้ทำไม ทำไมไม่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนายท่าน?”

เชียนเอ๋อร์ตอบว่า “กลุ่มผู้ช่วยของนายท่านกลับมาจากข้างนอกแล้ว ทั้งยังพาคนทั้งสำนักลมปราณมาด้วย มีอีกหลายแสนคนค่ะ หลังจากเตรียมที่พักให้คนของสำนักลมปราณแล้ว กลุ่มผู้ช่วยก็กำลังคุยงานอยู่กับนายท่านข้างใน นายท่านให้บ่าวหลบออกมาก่อน”

อวิ๋นจือชิวเข้าใจ พวกยอดฝีมือระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพของทัพใหญ่แดนรัตติกาลกลับมาแล้ว แต่การให้เชียนเอ๋อร์หลบเลี่ยงออกมาหมายความว่าอะไร? ในสมองนึกถึงคนของสำนักลมปราณ

จากนั้นนางก็ขอน้ำชา ตัวเองยกเข้าไปเอง ให้สาวใช้ทั้งสองรออยู่ข้างนอก นางเข้าไปแค่คนเดียว

ในตำหนักประชุมมีคนหลายสิบคนรวมตัวกัน เหมียวอี้อยู่หัวโต๊ะของโต๊ะยาว คนอื่นๆ นั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายและขวาของโต๊ะยาว

อวิ๋นจือชิวได้ยินมานิดหน่อยตอนอยู่หลังตำหนัก ได้ยินว่าเป็นเรื่องตลาดสวรรค์ครั้งนี้ นางสามารถไม่ต้องหลบเลี่ยงก็ได้ ยกถาดน้ำชาเดินเนิบนาบจากหลังตำหนัก เข้ามาหน้าตำหนัก

ที่จริงแล้ว คนในตำหนักใหญ่ต่างก็รู้ว่าการประชุมที่นี่ เหมียวอี้ไม่เคยหลบเลี่ยงอวิ๋นจือชิวเลย ธรรมเนียมค่อนข้างแตกต่างกับบางจวน

พอคนหลายสิบคนในตำหนักเห็นนางโผล่หน้ามา ก็ลุกขึ้นยืนทำความเคารพทันที “ฮูหยิน!”

อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเป็นกันเองเพื่อบอกใบ้ให้ทุกคนนั่งลง จากนั้นก็เดินมานั่งคุกเข่าอย่างนุ่มนวลข้างโต๊ะเหมียวอี้ วางถาดน้ำชาลง แล้วรินน้ำชาถ้วยหนึ่งวางตรงหน้าเหมียวอี้

เหมียวอี้มองนางแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้าขอบคุณเบาๆ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่บนตัวทุกคนข้างล่างอีก

ได้ยินหยางเจาชิงที่นั่งอยู่ข้างล่างบอกว่า “การปฏิบัติการที่ตลาดสวรรค์ครั้งนี้ราบรื่นขนาดนี้ เป็นเพราะโชคดีที่ได้รับความร่วมมือจากตระกูลเซี่ยโห้ว พอโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงแล้ว เซี่ยโห้วลิ่งก็นับว่าได้กู้หน้ากลับมาแล้วเช่นกัน”

เหมียวอี้แสยะหัวเราะ “เซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ เดาว่าคงไม่ได้คิดจะโค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงคนเดียว แม้แต่คนในครอบครัวตัวเอง ก็คงไม่อยากปล่อยไปเช่นกัน พอเซี่ยโห้วท่าตายไป เซี่ยโห้วลิ่งคนนี้ก็อาจทำให้ตระกูลเซี่ยโห้ววุ่นวายใหญ่โตก็ได้!”

กลุ่มคนข้างล่างงงไปชั่วขณะ แม่ทัพคนหนึ่งถามว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ หมายความว่ายังไงครับ?”

เหมียวอี้บอกว่า “การร่วมงานกันครั้งนี้ ข้าไปคุยกับเซี่ยโห้วลิ่งแบบต่อหน้า ทำไมเซี่ยโห้วลิ่งถึงกระตือรือร้นขนาดนี้ล่ะ ที่จริงก็เพราะอยากควบคุมอำนาจทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วโดยสมบูรณ์ไง โค่นล้มอิ๋งจิ่วกวงก็เพื่อสร้างบารมีความน่าเชื่อถือของตัวเองในตระกูล พูดให้ชัดก็คืออยากจะควบคุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วทั้งหมด อิ๋งจิ่วกวงเป็นเพียงก้าวแรกของเขาเท่านั้น ก้าวต่อไปคงจะเก็บอำนาจมาจากมือพี่น้องที่แอบกระจายตัวอยู่ตามที่ต่าง ข้าฟังจากที่เขาพูด เหมือนจะยังอยากให้ข้าช่วยเขาสู้กับพี่น้องตัวเองอีกด้วย”

ทุกคนสบตากันอย่างพูดไม่ออก กงหยวนที่นั่งอยู่ตรงนี้ด้วยมองเหมียวอี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปด้านหลังตำหนัก

หยางเจาชิงถามอย่างลังเล “นายท่าน เซี่ยโห้วลิ่งจะให้นายท่านช่วยทำเรื่องนี้ได้ยังไง?”

เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะ “ก็เป็นเพราะพวกเราคุมแดนรัตติกาลอยู่ไม่ใช่เหรอ พวกเรามีกำลังพลที่แดนรัตติกาล ทุกคนลืมท่านนั้นที่อยู่ตึกศาลาสัตยพรตไปแล้วเหรอ?”

ทุกคนเข้าใจกระจ่างในทันที มีบางคนถามว่า “ต้องการจะสู้กับเฉาหม่านเหรอ?”

เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเย้ย “เมื่อก่อนข้าก็แค่ได้ยินเขาแอบสื่อในคำพูดเฉยๆ ไม่ได้พูดออกมาชัดเจน คงจะแค่หยั่งเชิงข้าเท่านั้น ต่อไปถ้ารอให้เขารู้ว่าพวกเรามีกำลังพลเพิ่มมาห้าสิบล้าน ความมั่นใจที่จะช่วยเขากำจัดเฉาหม่านมีมากขึ้น เกรงว่าคงอดทนไม่ไหวติดต่อเข้ามา นอกเสียจากเขาจะไม่อยากกุมอำนาจของตระกูลเซี่ยโห้วแล้ว ไม่อย่างนั้นข้ามีกำลังทหารมากมายขนาดนี้กุมแดนรัตติกาลอยู่ ตราบใดที่ข้าไม่ให้ความร่วมมือหรือแทรกแซง คนที่คิดจะแตะต้องเฉาหม่านก็ต้องผ่านด่านข้าไปก่อน คนอื่นก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะกำจัดเฉาหม่านทิ้งได้ราบรื่น!”

อวิ๋นจือชิวที่เลี้ยวเข้ามาด้านหลังตำหนักฟังจนหนังตากระตุก กงหยวนก็นั่งอยู่ตรงนั้นด้วย นางรู้ดีว่าเหมียวอี้รู้ถึงตัวตนของกงหยวน แต่พูดแบบนี้ต่อหน้ากงหยวนหมายความว่าอะไร? ไม่ใช่ว่ากำลังวางกับดักเซี่ยโห้วลิ่งหลอกหรือ? ขนาดนางยังแอบรู้สึกแย่แทนเซี่ยโห้วลิ่ง เซี่ยโห้วลิ่งทุ่มทุนไปมากขนาดนั้นเพื่อโค่นล้มตระกูลอิ๋ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะสร้างชื่อเสียงบารมีในตระกูลได้ เดาว่าถ้าถูกสามีตัวเองเล่นงานแบบนี้ สิ่งที่ทำมาก็คงสูญเปล่าหมดแล้ว เกรงว่าคงจะรวบรวมกำลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วมาไว้ในมือไม่ได้อีก

อวิ๋นจือชิวอยากจะเห็นว่ากงหยวนมีสีหน้าอย่างไร แต่ก็ข่มอารมณ์ไว้ รู้ว่าการที่เหมียวอี้ทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน นางจะเผยพิรุธไม่ได้ จึงหันตัวเดินเลี้ยวเข้ามาหลังตำหนัก

กงหยวนที่นั่งอยู่ตรงนั้นฟังจนหนังตากระตุกอย่างแรง เขาบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ ตระกูลเซี่ยโห้วมีกำลังทรัพย์และอิทธิพลเยอะมาก พวกเราไปแทรกแซงเรื่องนี้จะเหมาะสมเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าอยากหยั่งเชิงท่าทีของเหมียวอี้

เหมียวอี้พ่นเสียงทำจมูก “ข้าก็ไม่ได้โง่เสียหน่อย ตระกูลที่ผ่านมาหลายยุคแล้วแต่ก็ยังไม่โค่น อยู่ดีๆ ข้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องเรื่องนี้ด้วย? เอาล่ะ เรื่องที่ไร้หลักฐานแบบนี้ พูดไปก็ไม่มีความหมาย อย่าให้ข่าวหลุดออกไปข้างนอกนะ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเหมือนกัน พวกเรามาปรึกษากันเรื่องกำลังพลห้าสิบล้านดีกว่า!”

อวิ๋นจือชิวที่อยู่หลังตำหนักหยุดตั้งใจฟังครู่หนึ่ง เสร็จแล้วถึงได้เดินออกไป พึมพำในใจว่าเหมียวอี้กำลังเล่นอะไร นางกะว่าเดี๋ยวค่อยไปถามอีกที พอออกมาทางหลังตำหนักแล้วก็ให้เชียนเอ๋อร์เฝ้าตรงนี้ต่อ ส่วนตัวเองก็นำเสวี่ยเอ๋อร์กลับไป

พอเข้าในที่เรือนด้านในแล้ว เรื่องแรกที่ทำก็คือเข้าไปอาบน้ำ เสวี่ยเอ๋อร์ปรนนิบัติถอดผ้าคาดเอวให้อวิ๋นจือชิว เผยเรือนร่างเย้ายวนที่ทำให้ผู้พบเห็นเลือดลมสูบฉีด

พอเรือนร่างอวบอัดขาวหมดจดแช่ลองในน้ำ อวิ๋นจือชิวก็ขยับปากเบาๆ พ่นไอน้ำออกมา แล้วหลับตาลงด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

นางชอบแช่อยู่ในน้ำอุ่นที่สุด ความเคยชินในชีวิตประจำวันของนางก็เป็นแบบนี้ ขอเพียงมีเงื่อนไขพร้อม ถ้าวันไหนนางไม่ได้อาบน้ำก็จะรู้สึกไม่สบายตัว ดังนั้นผิวนางจึงชุ่มชื้นละเอียดอ่อนมาก และสาเหตุที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลสร้างไว้ที่นี่ ก็เพราะเหมียวอี้คำนึงถึงความเคยชินของนาง เพราะที่นี่มีบ่อน้ำร้อน ทำให้อวิ๋นจือชิวได้เสพสุขกับความเอาใจใส่นี้

เสวี่ยเอ๋อร์ที่ถอดเสื้อผ้าออกหมดแช่ลงในน้ำอย่างรวดเร็ว นางช่วยถอดเครื่องประดับศีรษะให้อวิ๋นจือชิว ผมดำขลับทั้งศีรษะแผ่ลงมาบนไหล่ขาวดุจหิมะของอวิ๋นจือชิว

ขณะที่ช่วยขัดตัวให้อวิ๋นจือชิวเบาๆ สายตาเสวี่ยเอ๋อร์ก็มองสำรวจเรือนร่างยั่วราคะของอวิ๋นจือชิว อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างอิจฉาว่า “ฮูหยินรูปร่างดีจริงๆ ค่ะ ไม่แปลกใจที่นายท่านชอบฮูหยินขนาดนี้”

“นางเด็กบ้า เสียคนแล้ว ข้าว่าเจ้ากำลังคิดอะไรลามกแล้วล่ะสิ?” อวิ๋นจือชิวถลึงตาจ้องนาง แล้วเอานิ้วจิ้มหน้าผากนาง

เสวี่ยเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ทั้งสองพูดคุยปนสียงหัวเราะ น้ำใสกระเพื่อมเป็นระลอก เป็นภาพที่ยั่วยวนมาก

ผ่านไปไม่นาน จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็เงียบไป ในมือถือระฆังดาราขึ้นมาอันหนึ่ง พอเห็นนางมีสีหน้าจริงจัง เสวี่ยเอ๋อร์ก็เงียบแล้วเช่นกัน ไม่ได้รบกวน

เป็นเหยียนซิวที่ส่งข่าวมา คาดว่าคงสืบเรื่องราวได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไร อวิ๋นจือชิวกำลังติดต่อกับเขา

หลังจากทำความเข้าใจสถานการณ์ชัดเจนแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เริ่มมีสีหน้าเย็นเยียบลงทีละนิด

เหยียนซิวไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้แปลว่าอวิ๋นจือชิวจะไม่รู้ เพราะนางรู้จักเหมียวอี้ดีเกินไป นางคลำเส้นชีพจรของเขาได้หมด

ตอนรายงานขึ้นมาว่าจูเก๋อชิงร้องเพลง ทำไมต้องเสริมคำว่าปีนขึ้นหลังคาด้วยน่ะหรือ? ก็เพราะมีคนรู้จักนิสัยของเหมียวอี้เป็นอย่างดี รู้ว่าเหมียวอี้กับจูเก๋อชิงไม่มีความผูกพันกัน รู้ว่าตอนเหมียวอี้อยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น จะปล่อยให้หลังบ้านเกิดปัญหาไม่ได้ และไม่มีอารมณ์จะมาสืบโดยละเอียดด้วย จึงจงใจแสดงความไม่ปกติของจูเก๋อชิงเพื่อกระตุ้นเหมียวอี้ ทำให้เหมียวอี้รู้สึกอย่างชัดเจนว่า จูเก๋อชิงสามารถก่อเรื่องได้ทุกเมื่อ กระตุ้นนิสัยการฆ่าคนอย่างไม่ลังเลของเหมียวอี้เพื่อกำจัดจูเก๋อชิง

ฉินซีจะมีแผนอย่างนี้ได้หรือ? อวิ๋นจือชิวเคยคลุกคลีกับนางมาก่อน รู้ว่าไม่ใช่แผนของฉินซี ฉินเวยเวยเหมือนมารดา ไม่ได้มีสมองแบบนี้ มีความเป็นไปได้น้อยที่ทั้งสองจะรู้สถานการณ์ในตอนนั้นของเหมียวอี้ชัดเจน คนที่อยู่เบื้องหลังโผล่ออกมาทันที เรื่องนี้นอกจากหยางชิ่งก็ไม่มีใครแล้ว!

ตอนยังไม่สืบเรื่องนี้ให้ชัดเจนก็ยังดีหน่อย แต่หลังจากรู้แล้ว อวิ๋นจือชิวก็ยังนึกกลัว สามารถวางแผนได้ละเอียดรอบคอบถึงขั้นนี้ ฆ่าคนโดยไร้ร่องรอยอย่างแท้จริง หยางชิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ!

นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องที่หยางชิ่งวางแผนทำร้ายนางที่พิภพเล็กในปีนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมู่ฝ่านจวินเอ็นดูนางจึงไม่ได้ทำร้ายนาง กลับบอกเรื่องบางอย่างกับนางโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ความจริงปรากฏ นางก็คงจะตายโดยไม่รู้ความจริงด้วยซ้ำ

เรื่องที่เกิดกับจูเก๋อชิงในครั้งนี้ก็เหมือนกัน เป็นการรายงานตามปกติ เพียงแค่เลือกเวลาให้แม่นยำและเพิ่มคำที่ดูเหมือนไม่สำคัญก็เท่านั้น ก็ทำให้จูเก๋อชิงตายโดยไม่กระจ่างได้แล้ว

และครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะส่งเหยียนซิวไป ใช้ประโยชน์จากพลังอภินิหารของเหยียนซิว ก็ไม่อาจสืบหาความจริงเจอได้เลย โชคดีแล้วที่หยางชิ่งไม่รู้ว่าเหยียนซิวมีพลังอภินิหารขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงเทพไม่รู้ผีไม่เห็น

ต่อให้สืบเจอความจริงแล้วอย่างไรล่ะ? เรื่องแบบนี้เอาเป็นหลักฐานได้เหรอ? อย่างมากเจ้าก็โทษว่าฉินซีไม่ควรควบคุมฟางเหลียว ฉินซีก็แค่ให้ฟางเหลียวรายงานสิ่งที่ปกติธรรมดามากขึ้นไป แล้วจูเก๋อชิงก็ปีนขึ้นไปร้องเพลงบนหลังคาจริงๆ อีกฝ่ายพูดตามความจริง ไมได้พูดโกหกซี้ซั้ว แต่เป็นเหมียวอี้เองที่คิดมากจนฆ่าคนไปแล้ว!

ลองคิดดูแล้วน่ากลัวสุดๆ! อวิ๋นจือชิวคิดไม่ตก ว่าทำไมหยางชิ่งถึงต้องการจะฆ่าจูเก๋อชิง? ถ้าทำเพื่อฉินเวยเวยจริงๆ เพราะคิดจะดันฉินเวยเวยขึ้นสู่ตำแหน่งภรรยาเอกหรือเปล่า แล้วค่อยลงมือกับอวิ๋นจือชิวอีกครั้งเหรอ?

ทางเหยียนซิวถามนางว่าจะจัดการอย่างไร

อวิ๋นจือชิวสงบสติอารมณ์แล้วไตร่ตรอง สุดท้ายก็ตัดสินใจได้ ตอบกลับไปว่า : ลงโทษประหารทหารยามที่เฝ้าจูเก๋อชิงให้หมดรวมทั้งฟางเหลียวด้วย! ชี้แจงกับนภาอู๋เลี่ยงว่าพวกเขาเฝ้าไม่ดี ไม่ต้องเปิดเผยความจริง อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้ให้นายท่านรู้ เดี๋ยวในภายหลังข้าจะอธิบายกับนายท่านเอง!

……………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท