หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 324 เจ้าจะช่วยจับลิ้นให้ข้าหรือไม่

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 324 เจ้าจะช่วยจับลิ้นให้ข้าหรือไม่ ?

หลังได้ยินคำพูดสองประโยคสุดท้ายของนางแล้วดวงตาของเจียงโม่หานก็สั่นไหวครู่หนึ่ง บางครั้งถ้อยคำของเด็กน้อยก็ทำให้คนฟังสำลักตาย แต่ในบางครั้งมันก็ทำให้คนฟังซาบซึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก ! การโดนคนที่ตนรัก แสดงความรักตอบ ถือเป็นความสุขครั้งแรกที่เขาเพิ่งเคยได้สัมผัสในสองชาติภพนี้…

ตัวเขาในชาติก่อน มีเพียงความหนาวเหน็บที่คอยอยู่เคียงกาย แต่ในชาตินี้เพราะมีนาง โลกจึงกลับมามีดอกไม้ผลิบานอีกครั้ง นางเป็นแสงสว่างในชีวิตเขา เป็นแสงแดดอันอบอุ่นเพียงหนึ่งเดียว…

ขณะมองบัณฑิตหนุ่มที่กำลังจมอยู่ในความคิด หลินเว่ยเว่ยก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด ! ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้หรอก เมื่อกลับมาจากอำเภอจิงหยุนแล้ว ข้าจะแสดงฝีมือให้เจ้าดูเอง จะทำให้เจ้าหันมามองข้าใหม่ ! ”

“ข้าเชื่อเจ้า ! ” ภายใต้ลมหนาว ดวงตาของเจียงโม่หานเต็มไปด้วยความอบอุ่น “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนไม่พูดจาส่งเดช สิ่งที่เจ้าเอ่ยออกมาแล้วย่อมทำมันได้แน่นอน ! ”

“ขอบคุณที่เชื่อใจข้า…ว้าว รู้สึกใจเต้นแรงอย่างไรก็บอกไม่ถูก ! ” หลินเว่ยเว่ยทำท่าทางบิดตัวไปมาราวกับหนอนผีเสื้อตัวหนึ่ง

“กับข้า เจ้าไม่ต้องเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’ นั่นหรอก ! ระหว่างสามีภรรยาแล้วสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ความเชื่อใจหรืออย่างไร ? ความเชื่อใจคือรากฐานของความเข้าใจซึ่งกันและกัน” เจียงโม่หานก้มหน้ามองเด็กสาวที่กำลังถูไถกายไปมาข้างตัวเขา ที่จริงอยากจะกล่าวว่า…บนตัวเจ้ามีเห็บหมัดขึ้นหรือไร ? แต่ก็กลัวจะทำลายบรรยากาศในช่วงเวลานี้ อดทนเอาไว้ก็ได้ !

“แต่ตอนนี้เจ้ายังไม่ใช่สามีข้าเสียหน่อย ! ” ไม่รู้ว่าหลินเว่ยเว่ยนึกถึงฉากใดขึ้นมาได้ ใบหน้าของนางจึงแดงก่ำ ดวงตาก็เปล่งประกายจนน่าตกใจ

เจียงโม่หานใช้นิ้วจิ้มหน้าผากนางแล้วดันตัวนางให้ออกห่างเล็กน้อย “จับลิ้นแล้วพูดให้มันตรงไปตรงมาหน่อย ! ”

“ลิ้นก็ขยับไปตามการพูด หากไม่เชื่อฟัง…ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะช่วยจับลิ้นให้ข้าหรือไม่ ? ” เหมือนดวงตาของหลินเว่ยเว่ยโดนตะคริวกินเพราะนางออกแรงกะพริบตาอย่างหนัก เจียงโม่หานทนมองไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงเอามือปิดตานางไว้

ต่อจากนั้นทั้งสองก็สนทนากันอย่างสนุกสนาน หยอกล้อกันไปมาจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ขณะเห็นทางแยกไปยังอำเภอจิงหยุนซึ่งอยู่ห่างออกไป เจียงโม่หานก็เสนอให้เข้าไปสอบถามในหมู่บ้านดูก่อน

ทั้งสองจึงบังคับเกวียนเข้ามาที่ ‘หมู่บ้านต้าจง’ พอเข้ามาในหมู่บ้านก็มีคนตะโกนถามเสียงดังลั่น “หยุด พวกเจ้าเป็นใคร ? ”

ที่นี่ดูเหมือนจะไม่ใช่หมู่บ้านที่ใหญ่มาก ทั้งเป็นเหมือนกับฉือหลี่โกวที่มีกองทหารชาวบ้านเดินลาดตระเวนอยู่รอบๆ กลุ่มหนึ่งมีประมาณ 20 คน ในมือถือส้อมพรวนและจอบเหล็ก เวลานี้กำลังยืนมองพวกตนอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านด้วยความหวาดระแวง

หลินเว่ยเว่ยกระโดดลงจากเกวียนและอธิบายถึงเหตุผลที่มาเยือนอย่างชัดเจน “ท่านลุง หมู่บ้านของพวกท่านมีคนเลี้ยงหมูหรือไม่ ? ข้ามาหาซื้อหมูสักตัว พวกท่านวางใจได้ ข้าซื้อไม่ต่ำกว่าราคาร้านขายเนื้อในเมืองแน่นอน ! ”

หัวหน้ากลุ่มลาดตระเวนเป็นชายวัยกลางคน เขามองทั้งสองคนครู่หนึ่ง คนหนึ่งเป็นบัณฑิตท่าทางอ่อนแอ ส่วนอีกคนก็เป็นแค่เด็กสาวยิ้มเก่ง เขาจึงโบกมือให้คนในกลุ่ม ก่อนจะพูดกับทั้งสองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพอสมควร “บ้านของอาจงชี มีหมูสองตัวที่จะถูกเชือดในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปถามแล้วกัน ! ”

ชายวัยกลางคนพาพวกหลินเว่ยเว่ยมายังบ้านหลังในสุดของหมู่บ้าน เขาผลักประตูเดินเข้าไป “อาจงชี มีคนมาซื้อหมูที่หมู่บ้าน หมูของบ้านอาจะขายหรือไม่ ? ”

ทันใดนั้นชายชราผมขาว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นคนหนึ่งก็เดินออกมาที่ลานบ้าน เขาเอามือเท้าสะเอวไว้ หลังจ้องทั้งสองคนพักหนึ่งก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ขาย ! หมูตัวหนึ่งคิดราคา 50 อีแปะต่อชั่ง ขาดแม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่ได้ ! ”

ชายวัยกลางคนที่พาพวกนางมาจึงอธิบายว่า “ในหมู่บ้านเรา หมูของบ้านอาจงชีเลี้ยงได้ดีที่สุดแล้ว เจ้าลองไปดูก่อนได้ ตัวหนึ่งน่าจะหนักประมาณ 200 ชั่ง อ้วนมากเลยล่ะ ! ประเดี๋ยวก็ถึงเทศกาลฤดูหนาวแล้ว ถ้าคนในหมู่บ้านไม่รีบขายออกไปก็เก็บไว้เชือดกินเอง มีแค่สองตัวสุดท้ายของบ้านอาจงชีนี่แหละ ! 50 อีแปะไม่แพงเลย คนอื่นในหมู่บ้านก็ขายกันราคานี้ทั้งนั้น”

ของหายากย่อมเป็นของมีราคา ! เดิมทีในปีแห่งภัยแล้งเช่นนี้ก็มีคนเลี้ยงหมูน้อยอยู่แล้ว ตอนนี้เนื้อหมูในเมืองมีราคากว่า 100 อีแปะต่อชั่ง แถมจะหาซื้อได้หรือไม่ก็ยังต้องพึ่งพาโชค คราวก่อนตอนที่หลินเว่ยเว่ยไปเขตเริ่นอัน นางไปซื้อเนื้อจากร้านเจ้าประจำ พ่อค้าก็ได้ระบายให้นางฟังว่าหมูเป็น ๆ ราคาแพงมากขึ้นทุกที กำไรก็ได้น้อยมาก…

หลินเว่ยเว่ยเห็นเขาเด็ดขาด ราคาก็ไม่ได้ต่างจากปกติมากนัก นางจึงเอ่ยอย่างร่าเริงว่า “ได้ ! ผู้อาวุโส ข้าซื้อหมูอ้วนตัวนั้น…”

ชายชราส่ายหน้า “ถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อไปทั้งสองตัว แต่ถ้าไม่ซื้อก็ออกไป ! หมูของบ้านข้าย่อมหาคนซื้อได้ ! ”

เสียงของเขาเพิ่งเงียบลงก็มีเสียงหยาบคายของใครคนหนึ่งพูดตามมาติด ๆ “ตาแก่ คิดดีแล้วหรือ ? ”

ทันใดนั้นสีหน้าของชายชราก็ดูหงุดหงิดขึ้นมา เหตุใดมารผจญพวกนี้จึงตามมาถึงหมู่บ้าน ?

“ใต้เท้า คือท่าน…ท่านมาได้พอดีจริง ๆ พอดีว่าหมูสองตัวในบ้านถูกพวกเขาทั้งสองเหมาไปหมดแล้วขอรับ ! ” ชายชรามองมายังพวกหลินเว่ยเว่ยด้วยสายตาอ้อนวอน

“เจ้าแก่ ไม้อ่อนไม่เอา อยากได้ไม้แข็งสิท่า ! ข้าจะบอกให้ว่านี่เป็นหมูที่ทหารรักษาการณ์เมืองจงโจวต้องใช้ในวันเทศกาลฤดูหนาว หากทำให้แม่ทัพกัวเสียงาน เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือไม่ ? ” ผู้ที่มาเยือนคือเจ้าอ้วนคนหนึ่งที่มีหนวดเครารกรุงรัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาต แววตาดุร้าย ท่าทางไม่เหมือนมาจากค่ายทหาร แต่เหมือน…ฆาตกรมากกว่า !

สายตาของมันหยุดอยู่ที่ตัวหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าใครกล้าแย่งซื้อหมูจากพวกเรากองทหารรักษาการณ์เมืองจงโจว ! ”

หลินเว่ยเว่ยยิ้มบาง ๆ “แม่ทัพกัวเป็นทหารกล้าภายใต้บัญชาของหมินอ๋อง เขาใช้ทหารดังเทพเจ้าและเห็นอกเห็นใจราษฎร แล้วจะมาทำเรื่องบังคับให้ซื้อขายเช่นนี้ได้อย่างไร ? คงไม่ได้มีคนแอบอ้างนามของเขาเพื่อเข่นฆ่าผู้คนราวกับผักปลา ใช้อำนาจกดขี่ราษฎรหรอกกระมัง ? ”

ชายชราและชายวัยกลางคนที่พาพวกหลินเว่ยเว่ยมาได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็มองเจ้าอ้วนหนวดหนาด้วยสายตาสงสัย จริงสิ ! วันนั้นตอนที่แม่ทัพกัวพานายทหารนับพันมาลาดตระเวนที่อำเภอจิงหยุนก็เคยผ่านหมู่บ้านของพวกตน ฐานทัพก็ตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่มากนัก พวกชาวบ้านต่างนำเป็ดไก่ไปให้ด้วยความสมัครใจ แต่ท่านก็รับซื้อไว้ตามราคาตลาด แล้วจะกดราคาเพื่อขอซื้อหมูได้อย่างไร ?

แววตาของเจ้าอ้วนหนวดเครารกรุงรังดูกระวนกระวายขึ้นมาทันที มันยื่นมือออกมาคิดจะจับตัวหลินเว่ยเว่ย “เจ้าแน่ใจว่าจะเป็นศัตรูกับทหารรักษาการณ์เมืองจงโจวใช่หรือไม่ ? พี่น้องทั้งหลาย มันสองคนนี้อาจเป็นพวกกบฏที่เหลือรอด จงจับพวกมันให้ข้า”

หลินเว่ยเว่ยคว้าข้อมือของมันเอาไว้ จากนั้นก็หักไปที่หลังของมันเบา ๆ ก่อนจะใช้เท้างอเข่าอีกฝ่ายลง ชายหนุ่มที่สูงกว่านาง น้ำหนักก็มากกว่านางเกือบสองเท่ากำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าและร้องโอดครวญออกมาไม่หยุด

หลินเว่ยเว่ยพูดกับชายชราว่า “ผู้อาวุโส บ้านท่านมีเชือกหรือไม่ ข้าขอยืมหน่อย ! ”

“มี มี ! ”

จนกระทั่งชายชราไปหาเชือก ลูกน้องห้าหกคนที่เจ้าอ้วนหนวดหนาพามาด้วยจึงตื่นจากภวังค์ ในเวลาเดียวกันพวกมันก็พุ่งเข้าใส่หลินเว่ยเว่ยเพื่อช่วยลูกพี่ของตน แต่หลินเว่ยเว่ยใช้เท้าถีบไปยังท้องของพวกมันทีละคน ตอนที่ชายชรากลับมาพร้อมเชือก คนกลุ่มนี้ก็กำลังนอนกุมท้องอยู่กับพื้นแล้ว

ชายชรากล่าวด้วยใบหน้าแข็งกร้าวแต่ภายในใจหวาดหวั่น “พวกเจ้ามีวรยุทธดีถึงเพียงนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ! พวกมันเป็นกบฏราชวงศ์ก่อน รีบนำตัวไปให้ทางการเร็วเข้า ! ”

หลินเว่ยเว่ยรับเชือกมาถือไว้ หลังมัดพวกมันเสร็จแล้วนางก็ตบศีรษะเจ้าหมอนั่นพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ท่านจะไม่แจ้งทางการ ข้าก็จะเป็นคนไปแจ้งเอง ! ปลอมตัวเป็นทหารมารังแกประชาชน โทษคือโดนโบย 100 ไม้และเจ้าหนีไม่พ้นแน่ ! ”

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท