ตอนที่ 339 ความอบอุ่นของบัณฑิตน้อย
เจ้าหนูน้อยที่คัดอักษรเสร็จและเรียนหนังสือในส่วนของวันนี้เสร็จแล้วก็เห็นนางเฝิงกับเจียงโม่หานยืนอยู่หน้าห้องของพี่รอง เขาจึงเข้าไปทักทายอย่างรู้ความ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพี่รองทันที เจ้าหนูคนนี้เดินเร็วจนเจียงโม่หานห้ามเอาไว้ไม่ทัน ทว่าพอลองคิดแล้วเด็กน้อยก็คงทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วกระมัง ?
“น้องสี่ รีบวางลง…” ทันใดนั้นเสียงของหลินเว่ยเว่ยก็ดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงเจ้าหนูน้อย “ไม่เป็นไร ! กระโถนของบ้านเรา ข้าเป็นคนเททั้งหมด ข้าเทจนชินแล้ว ! ” เจ้าหนูน้อยดีใจมากที่ได้ทำอะไรให้พี่รอง เขาถือกระโถนออกมาด้วยความดีใจ หากใครที่ไม่รู้ก็คงคิดว่าเขาถือสุราชั้นดีอยู่ !
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ย่นจมูก หน้าต่างที่เคยแง้มอยู่ถูกเปิดให้กว้างกว่าเดิม ทว่าร่างของบัณฑิตน้อยกลับปรากฏตัวที่นอกหน้าต่าง “หน้าต่างเปิดให้น้อยหน่อย ประเดี๋ยวจะโดนลมมากไป รีบกลับไปนอนบนเตียงได้แล้ว ! ”
“ได้ ข้าจะรีบกลับไปนอน ส่วนเจ้า…ออกห่างจากหน้าต่างให้ไกลหน่อย ! ” หลินเว่ยเว่ยกลัวเขาจะได้กลิ่น ถ้าไม่ได้กังวลว่ามือเขาจะโดนหนีบ นางก็คงปิดหน้าต่างเสียตอนนั้นเลย !
เจียงโม่หานส่ายหน้าแล้วเดินไปที่ห้องของหลินจื่อเหยียนเพื่อเขียนส่วนผสมการทำเครื่องหอม บาดแผลของเด็กน้อยต้องพักรักษาตัวอยู่ในห้องหลายวัน นางใส่ใจกับกลิ่นในห้องถึงเพียงนี้ก็ทำเครื่องหอมกลิ่นดอกเหมยให้นางแล้วกัน
พรุ่งนี้ให้คนที่ไปส่งสินค้าในเขตเริ่นอันซื้อวัตถุดิบกลับมาแล้วเขาค่อยทำให้นาง จริงสิ ยังต้องซื้อเตากำยานใส่เครื่องหอมใบเล็ก ๆ มาด้วย พอห้องเต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องหอมแล้ว เด็กน้อยก็คงจะไม่ไล่เขาออกมาอีกกระมัง ?
ตกเย็น ตอนที่เขานำเกี๊ยวกุ้งในซุปกระดูกหมูไปให้หลินเว่ยเว่ย เขาเลือกที่จะเคาะประตูก่อนและถามว่าตนสามารถเข้าไปได้หรือไม่ ?
แต่รอไปพักหนึ่งก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับ เขาจึงผลักประตูเดินเข้าไปและได้เห็นว่าในห้องมีแต่ความมืดมิด ในอากาศมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของผลไม้ ตะเกียงบนหัวเตียงสะท้อนให้เห็นภาพเด็กสาวตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและเผยให้เห็นเพียงเส้นผมบนศีรษะเท่านั้น
เขาเดินไปปิดหน้าต่าง หลังครุ่นคิดแล้วเขาก็เอาตัวคนออกมาจากผ้าห่มส่วนหนึ่ง
หลินเว่ยเว่ยที่กำลังงัวเงียก็ยกแขนข้างที่เจ็บขึ้นเพราะอยากขยี้ตา แต่เจียงโม่หานก็ห้ามไว้ได้ทัน พอหลินเว่ยเว่ยรู้สึกตัว ใบหน้าน้อย ๆ ของนางก็ต้องบูดบึ้ง “โอ๊ย เจ็บ ! ” จากนั้นนางก็ตื่นขึ้นมา
เจียงโม่หานค่อยๆ จับแขนข้างที่บาดเจ็บของนางแล้วประคองนางให้ลุกขึ้นนั่ง เขายกโต๊ะไปวางข้างนางแล้วนำชามเกี๊ยวไปวางไว้ หลินเว่ยเว่ยพูด “หิวน้ำ ! ”
“รอประเดี๋ยว ! ” เจียงโม่หานเดินออกไปข้างนอก ผ่านไปไม่นานเขาก็เดินเข้ามาพร้อมถ้วยน้ำ “จิบสักสองอึกให้ชุ่มคอ มันอุ่นกำลังพอดี”
หลินเว่ยเว่ยดื่มน้ำไปเพียงชั่วอึดใจ จากนั้นก็อ้าปากรอคนป้อนอาหาร…นางเป็นคนป่วย ควรได้เพลิดเพลินกับการพักรักษาตัวแบบคนป่วยสักหน่อย
ป้อนไปกินไป เกี๊ยวหนึ่งชามก็หมดลงอย่างรวดเร็ว หลินเว่ยเว่ยรู้สึกเสียใจและผิดหวังเล็กน้อย…ถ้าได้จูบกับบัณฑิตน้อยอีกสักครั้ง อาหารมื้อนี้ก็คงอร่อยขึ้นไปอีก…
เจียงโม่หานแกล้งทำไม่เห็นสายตาผิดหวังของนาง เขาหยิบบันทึกท่องแดนไกลบนโต๊ะขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าอ่านหนังสือให้เจ้าฟัง ดีหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าอย่างเชื่อฟังชนิดที่ไม่ได้เห็นกันง่าย ๆ ต่อจากนั้นเสียงอันไพเราะของเจียงโม่หานก็เริ่มดังขึ้น นางดึงใบหูตนเองสองสามครั้ง…คำกล่าวที่ว่าเสียงไพเราะของใครคนหนึ่งสามารถทำให้หูตั้งครรภ์ได้ก็เป็นเรื่องจริง !
ภายใต้เสียงโทนสูงต่ำของบัณฑิตหนุ่ม หลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ เข้าไปใต้ผ้าห่มอีกครั้ง จากนั่งเริ่มกลายเป็นกึ่งนอน จนในที่สุดนางก็ได้นอนลงอย่างสมบูรณ์…ขณะฟังเสียงของบัณฑิตหนุ่ม แม้แต่แผลก็ไม่รู้สึกเจ็บ ! เสียงของเขาช่วยบำบัดได้ดีมาก…
นางนอนหลับไปตั้งแต่เมื่อใด บัณฑิตหนุ่มออกไปตอนไหน นางไม่รู้ตัวเลยสักนิด รู้เพียงว่าฝันดีเป็นอย่างยิ่ง ส่วนฝันว่าอะไรก็จำไม่ได้ จำได้เพียงว่ามันเป็นฝันที่ดีมากเหลือเกิน…
หลังตื่นมาในวันรุ่งขึ้น หลินเว่ยเว่ยก็ได้ยินเสียงลู่เหวินจวินสองนายบ่าวกำลังบอกลา นางจึงสวมเสื้อคลุมแล้วรีบออกไปทันที “อย่าเพิ่งรีบกลับ ! กินเนื้อย่างกระทะร้อนตอนเที่ยงก่อนก็ยังไม่สาย ! ”
เดิมทีเมื่อวานเย็นควรจะเป็นเนื้อย่างกระทะร้อน แต่เพราะนางได้รับบาดเจ็บจึงต้องเลื่อนออกไปก่อน อีกสองวันคุณชายลู่ก็จะเดินทางออกจากแดนเหนือเพื่อกลับเมืองหลวงแล้ว อย่างไรก็จะปล่อยให้เขารู้สึกฝังใจหรือมีปมในเทศกาลฤดูใบไม้ผลินี้ ( ปีใหม่ ) ไม่ได้ ใช่หรือไม่ ?
เนื่องจากลู่เหวินจวินรู้สึกเสียใจมาก หากไม่ใช่เพราะเขาอยากขึ้นเขาไปจับกระต่าย หลินกู่เหนียงก็ไม่ต้องมาเจ็บหนักเช่นนี้…แล้วจะรบกวนการรักษาตัวของหลินกู่เหนียงเพื่อให้นางมาย่างเนื้ออีกได้อย่างไร ?
“เนื้อย่าง ? เนื้อย่างกระทะร้อนคืออะไร ? มื้อเที่ยงมีของกินใหม่อีกแล้วใช่หรือไม่ ? เยี่ยมไปเลย พลาดวันเทศกาลฤดูหนาวแต่ไม่พลาดเนื้อย่าง ! ” หลีชิงเดินเข้ามาในบ้านพร้อมลมหนาว เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้รับข่าวเกี่ยวกับเด็กบางส่วนในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า พอเข้าไปดูแล้ว เขาก็รีบกลับมาทันที
“พี่หลีชิงกลับมาแล้วหรือ ! ได้ข่าวของน้องสาวบ้างหรือไม่ ? ” เสียงของหลินเว่ยเว่ยแฝงไปด้วยความดีใจ…มีคนแล่เนื้อให้แล้ว !
หลีชิงส่ายหน้าด้วยความผิดหวังแต่ก็ไม่สิ้นหวัง “ออกไปครานี้พบเบาะแสมีประโยชน์สองสามอย่าง ข้าคิดว่าอีกไม่นานก็จะได้ข่าวน้องสาวแล้ว ! ”
“เช่นนั้นก็ดี…” หลินเว่ยเว่ยก็ไม่รู้ว่าจะปลอบเขาอย่างไร
หลีชิงขมวดคิ้วพลางมองแขนที่ห้อยอยู่ของนาง “เหตุใดจึงบาดเจ็บอีกแล้ว ? คราวนี้เป็นเพราะอะไรอีก ? ”
หลินเว่ยเว่ยมองไปยังหนังเสือที่ห้อยอยู่ตรงชายคาบ้านแล้วพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่มีอะไร! ตอนสู้กับเสือก็แค่โดนมันงับเข้านิดหน่อย บาดแผลเล็กน้อย ! ”
“โอ้ ! เก่งแล้วนี่ ! กล้าที่จะสู้กับเสือเชียวหรือ ? คราวหน้าถ้าเจอสัตว์ร้ายอีกก็รู้จักซ่อนตัวหน่อย รอข้ากลับมาแล้ว ค่อยไปสั่งสอนพวกมันด้วยกัน ! ” หลีชิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเด็กสาวคนนี้ จ่าฝูงหมาป่าก็กล้าช่วย หมีควายก็กล้าต่อย เจอเสือก็ยังกล้าเข้าไปสู้ด้วยอีก !
เขาเริ่มรู้สึกว่าหลินเว่ยเว่ยเหมือนคนตระกูลหลีของพวกตนมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจำได้ว่าตอนน้องสาวยังเล็ก ไม่ทันเดินได้ด้วยซ้ำ ทว่านางก็กล้าเอื้อมมือไปบีบหนอนแล้ว…
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคัก “เป็นเสือต่างหากที่รนหาที่เอง คราวนี้ข้าไม่ได้พุ่งเข้าไปหาเรื่องก่อน ! เอาเถิด เราอย่าพูดเรื่องพวกนี้เลย พี่หลีชิงมาก็ดีแล้ว ไปแล่หมูสามชั้นกับเนื้อกวางให้ข้าชิ้นหนา ๆ หน่อย บ้านเราคนเยอะ ทำเยอะหน่อยก็แล้วกัน…อยากกินเนื้อเสือด้วยหรือไม่ เช่นนั้นก็ย่างพร้อมกันเลย ! ”
คิคิ นางยังไม่เคยกินเนื้อเสือมาก่อนเลย ! ในชาติก่อนเสือเป็นสัตว์สงวน ดังนั้นการล่าเสือจึงมีโทษสถานหนัก !
หลังเนื้อชนิดต่าง ๆ แล่เสร็จแล้วก็ถูกหมักด้วยเครื่องปรุง กระทะเหล็กแบบใช้ย่างเนื้อถูกล้างจนสะอาดและวางบนเตาถ่าน ซอสบาร์บีคิวซึ่งสำคัญที่สุดในการทำของย่างก็ปรุงเรียบร้อย…หลินเว่ยเว่ยไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง แค่นั่งแล้วขยับปากอยู่กับที่เท่านั้น เฮ้อ ! สิ่งสำคัญที่สุดก็ยังเป็นปากของนาง !
หมูสามชั้นถูกแล่ให้บางเล็กน้อย เมื่อย่างออกมามีกลิ่นหอมฟุ้ง หลังจุ่มลงในซอสบาร์บีคิวก็ห่อด้วยผักกาดหอม ช่างให้รสอร่อยแต่ไม่เลี่ยน! ส่วนเนื้อเสือถูกแล่ให้หนา รสชาติที่ย่างออกมาให้ความรู้สึกเหมือนเนื้อวัว หลังโรยด้วยพริกไทยดำและเครื่องเทศแล้วเนื้อสัมผัสที่หนึบหนับก็ให้รสชาติเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง เนื้อกวางยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เนื้อนุ่มชุ่มฉ่ำ รสชาติสดใหม่มาก
ลู่เหวินจวินกินอย่างเอร็ดอร่อย เขาคิดว่าเนื้อย่างที่ตนอุตส่าห์ตั้งตารอคอยมาสองวันไม่ได้เสียแรงเปล่าเลย โชคดีที่หลินกู่เหนียงรั้งเขาไว้ ไม่อย่างนั้นเขาคงพลาดของอร่อยที่สุดในชีวิตนี้ไปแล้ว