ตอนที่ 362 เทพเจ้าแห่งขุนเขาช่วยให้นางหนูรองรู้แจ้ง
หยวนเจี๋ยอยากพาอาจารย์ปู่กลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองหลวง แต่โดนผู้อาวุโสเซวียปฏิเสธโดยบอกว่าท่านคุ้นชินกับการอยู่ภาคเหนือแล้ว มีใจผูกพันและไม่อาจตัดใจจากไปได้ หยวนเจี๋ยรู้ว่าผู้อาวุโสกลัวจะทำให้พวกตนพลอยลำบากไปด้วย เดือนสามปีหน้าท่านพ่อจะมาเป็นผู้ตรวจการประจำการสอบฝู่ซื่อที่เมืองจงโจว เรื่องเกลี้ยกล่อมอาจารย์ปู่ก็ยกให้เป็นหน้าที่ของท่านพ่อแล้วกัน
หยวนเจี๋ยเช่าบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ในเขตเริ่นอัน พ่อบ้านหยางถูกเขาไล่กลับไปเพื่อรายงานข่าวของอาจารย์ปู่ให้ท่านพ่อรับทราบ ส่วนตนเองนอกจากนำอาหาร ผลิตภัณฑ์จากเมืองหลวงและของใช้ต่าง ๆ มอบเป็นของขวัญแด่ตระกูลหลินและตระกูลเจียง ส่วนที่เหลือก็เก็บของไว้ที่เขตเริ่นอัน ส่วนพวกบ่าวรับใช้นอกจากฉีเยี่ยนแล้วก็เก็บไว้แค่สองคนเท่านั้น
ทุกวันหลังฟ้าสาง เขาจะออกจากตัวเมืองไปที่กระท่อมของผู้อาวุโสเซวียเพื่อรับฟังคำสอน รินชา ฝนหมึกและคอยดูแลอาจารย์ปู่อยู่ข้าง ๆ พอตกเย็นก็กลับมายังบ้านในตัวเมืองและอ่านตำราต่อจนดึก
ราชวงศ์ใหม่เพิ่งสถาปนาได้ไม่นานจึงเป็นช่วงเวลาต้องการกำลังคนพอดี ฮ่องเต้จึงมีพระราชโองการให้เปิดสอบเคอจวี่ (สอบรับราชการ)…โอกาสมักมีไว้สำหรับคนที่พร้อมเสมอ ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเวลาใด เขาต้องเพิ่มพูนความรู้เอาไว้
หยวนเจี๋ยเคยสนทนากับเจียงโม่หานไม่กี่ประโยค แม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงบัณฑิตถงเซิง ทว่าความรู้ความสามารถไม่ธรรมดา มีมุมมองและความเข้าใจต่อสิ่งต่าง ๆ ในระดับสูง หรือแม้แต่ในบางครั้งหยวนเจี๋ยคิดว่าบิดายังเทียบไม่ติดด้วยซ้ำ…บัณฑิตเจียงเพิ่งอายุ 15 ปี ! พรสวรรค์ก็อยู่เหนือผู้อื่นแล้ว ตัวเขาจึงมีเพียงต้องขยันกว่าเดิมเท่านั้น !
ในขณะที่หยวนเจี๋ยกำลังรู้สึกกดดันและมุมานะต่อการเรียนจนแทบอยากมัดผมติดกับคานเพื่อให้ตนได้ศึกษาตำราชนิดไม่ได้หลับไม่ได้นอนอยู่นั้น เจียงโม่หานที่เป็นคู่ต่อสู้อันร้ายกาจที่สุดกลับถูกคู่หมั้นลากมาทำซาลาเปาไส้ถั่วด้วยความไม่เต็มใจ…ห่อไปห่อมา ! แต่แล้วก็เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ทำซาลาเปาไส้ถั่วเยอะแยะขนาดนี้จะกินหมดหรือไร ?
ชาติก่อน หลินเว่ยเว่ยเคยอยู่ในภาคเหนือเช่นกัน เวลาที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าฉลองปีใหม่ก็จะให้เด็กที่โตหน่อยมานั่งช่วยกันทำหมั่นโถว ซึ่งต้องทำอย่างน้อยให้มีกินถึงวันที่ 5 ของเดือนแรก นางไม่เคยกินซาลาเปาไส้ถั่วมาก่อนและไม่เคยทำด้วย นางหวงและนางเฝิงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในฉือหลี่โกวมากว่า 10 ปีก็ยังไม่เคยทำซาลาเปาไส้ถั่วให้ออกมาเหมือนคนท้องถิ่นเช่นกัน
ปีนี้ต่างออกไป หลังรู้ว่าบ้านตระกูลหลินทำซาลาเปาไส้ถั่วไม่ค่อยเป็น ป้ากุ้ยฮวา แม่ซัวถัวหรือแม้แต่แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์ก็รู้สึกว่ามันน่าขันสิ้นดีจึงพากันมาช่วยทำ
ถั่วแขกถูกแช่ไว้หนึ่งคืนเต็ม ๆ หลังต้มให้อ่อนแล้วก็นำมาบดจนละเอียด เพิ่มน้ำตาลขาวลงไปแล้วปั้นให้เป็นไส้กลม ๆ
ข้าวฟ่างถูกบดเป็นผงละเอียด เติมแป้งข้าวเหนียวลงไปและแป้งข้าวโพดอีกเล็กน้อย หลังนวดให้เข้ากันแล้วก็คลึงเป็นเส้นยาว ๆ ตัดเป็นก้อนขนาดเล็ก คลึงให้แบนด้วยฝ่ามือ ก่อนจะวางไส้ไว้ตรงกลางแล้วห่อปิด
หญิงสูงวัยสองสามคนที่มาช่วยล้วนมีฝีมือล้ำเลิศ แค่ขยับมือไม่กี่ครั้งก็ได้ซาลาเปาไส้ถั่วลูกเล็ก ๆ ออกมาแล้ว หลินเว่ยเว่ยคาดไม่ถึงว่าคนที่ทำซาลาเปาไส้ถั่วออกมาดีที่สุดจะเป็นแม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์ซึ่งห่อซาลาเปาไส้ถั่วได้สมดุลมาก เหมือนบัวลอยอวบอ้วนไม่มีผิด
จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็มีความคิดผุดขึ้นในสมอง นางจะปรับปรุงซาลาเปาไส้ถั่วนี้บ้าง ไส้ถั่วแดง ข้าวมันม่วง ( ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ) และยังมีเกาลัดกับเมล็ดสนอีกด้วย หลังต้มจนสุดแล้วก็นำมันไปคลุกแป้งข้าวเหนียวและน้ำตาล จากนั้นปั้นเป็นลูกขนาดเท่ากำมือเด็กแล้วนึ่งสักพักหนึ่ง ( 15 นาที )
พอนึ่งเสร็จแล้วก็นำออกมาชิม หวาน หอม นุ่มลิ้น รสชาติดีมาก ! ป้ากุ้ยฮวายืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ “ใส่วัตถุดิบไปเยอะขนาดนั้น น้ำตาลก็ใส่ไม่น้อย ไม่อร่อยสิถึงจะแปลก ! ”
หลินเว่ยเว่ยชอบการทดลองทำอาหารชนิดใหม่มาก นอกจากนี้นางยังทำไส้ถั่วกุ้ยฮวา ( หอมหมื่นลี้ ) ด้วย หลังถั่วแดงต้มสุกแล้วก็ใส่น้ำตาล น้ำมันพืช น้ำเชื่อมกุ้ยฮวาแล้วคนผสมให้เข้ากัน ส่วนด้านนอกทำจากแป้งข้าวฟ่างและข้าวเหนียว รสสัมผัสหอมนุ่ม เจ้าหนูน้อยและเสี่ยวร่างชอบกินเป็นพิเศษ !
หลินเว่ยเว่ยยังมีความคิดอื่น นางยังห่อเหมือนซาลาเปาแต่ไส้ด้านในเป็นไส้ถั่วและหมู กลายเป็นซาลาเปาไส้ถั่วรสเค็ม…
แน่นอนว่าของที่ทำมากสุดยังเป็นซาลาเปาแป้งข้าวฟ่างไส้ถั่วแบบดั้งเดิม ซาลาเปาไส้ถั่วต้องมีให้กินถึงต้นเดือนแรก ฐานะครอบครัวดีแล้วจึงเป็นธรรมดาที่จะยิ่งนุ่มยิ่งดี นางหวง นางเฝิงและป้าคนอื่นที่มาช่วยก็ห่อซาลาเปาไส้ถั่วไปพลางนึกถึงความหลังแสนขมขื่นไปด้วย
ป้ากุ้ยฮวาพูดพร้อมรอยยิ้ม “น้องสะใภ้หวง ดูวัตถุดิบที่บ้านเจ้าเตรียมไว้สิ อย่าว่าแต่ทำให้พอกินถึงต้นเดือนแรกเลย แม้จะกินจนถึงกลางเดือนสองก็ยังไม่หมด ! ”
ใบหน้าของนางหวงยังคงเปื้อนยิ้ม “ก็ไม่ใช่เพราะเจ้ารองหรอกหรือ ? นางลุกขึ้นมาคิดทำอะไรใหม่ ๆ เยอะแยะไปหมด ! ”
แม่ซัวถัวยิ้ม “บ้านพวกเจ้าฐานะดี ไม่ขาดแคลนเงิน ! เจ้าดูพวกเด็ก ๆ สิ มีความสุขกันจะตาย ! ที่พวกเราใช้ชีวิตกันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้อยากให้พวกเด็ก ๆ มีความสุขและครอบครัวอยู่กันอย่างอบอุ่นหรือไร ! ”
พอแม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์ได้ยินแบบนั้นก็พูดเอาใจโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน “พี่สะใภ้หลิน นางหนูรองของบ้านท่านเป็นเด็กเฉลียวฉลาดมาก ทำซาลาเปาไส้ถั่วก็ยังทำออกมาได้หลายไส้ขนาดนั้น ทั้งแปลกใหม่และรสชาติดี ! ส่วนขนมที่ทำเมื่อวาน แม้แต่ในเขตเริ่นอันก็ยังหาซื้อที่อร่อยขนาดนั้นไม่ได้เลย ใครก็บอกว่าเทพเจ้าแห่งขุนเขาช่วยให้นางหนูรองรู้แจ้ง ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอมาเห็นตอนนี้แล้ว แม้จะไม่เชื่อข้าก็ต้องเชื่อ ! ”
นางหวงส่ายหน้าพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เทพเจ้าแห่งขุนเขาทำให้รู้แจ้งอะไรเล่า นั่นเป็นเรื่องที่คนอื่นแต่งขึ้นมาเท่านั้น เจ้ารองเป็นเด็กตะกละ ในสมองเต็มไปด้วยของกิน ! ของกินพวกนี้ก็เกิดมาจากความตะกละของนางทั้งนั้น ! ”
แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์พูดต่อ “ในปีแห่งภัยพิบัติเช่นนี้ มีเด็กคนไหนไม่ตะกละบ้างล่ะ ? แต่เหตุใดจึงไม่มีคนอื่นคิดของแปลกใหม่ขึ้นมาได้เยอะแยะขนาดนี้ ? สุดท้ายก็เพราะหัวดี ! ฉลาด ! ”
นางหวงเพียงหัวเราะเท่านั้น สภาพชีวิตในเวลานี้เป็นสิ่งที่นางไม่กล้าเพ้อฝันมาก่อน ช่วงเวลานี้ของปีก่อน แม้แต่เงินซื้อข้าวฟ่างก็ยังไม่มีเลย นางต้องนำที่ประดับผมเงินชิ้นสุดท้ายไปขายถึงจะมีเงินซื้อข้าวฟ่าง 2 ชั่งและถั่วแขกอีก 1 ชั่ง
เพราะมีแป้งเยอะไส้น้อย รสชาติซาลาเปาไส้ถั่วที่ทำออกมาจึงไม่ค่อยอร่อย ! แม้จะเป็นซาลาเปาไส้ถั่วแบบนี้ก็ยังไม่กล้ากินอย่างจุใจ ในแต่ละวันได้แต่แจกให้พวกเด็ก ๆ กินกันคนละลูกเท่านั้น ยังไม่ทันถึงวันที่ 5 ซาลาเปาไส้ถั่วก็หมดแล้ว…
พูดถึงปีที่แล้ว ในหมู่บ้านจะมีสักกี่ครอบครัวที่สามารถกินซาลาเปาไส้ถั่วได้อย่างตามใจปาก ? แม้แต่ครอบครัวที่มีฐานะค่อนข้างดีอย่างผู้ใหญ่บ้านก็ยังยกซาลาเปาไส้ถั่วให้เด็ก ๆ กินก่อน ส่วนพวกผู้ใหญ่ได้กินคนละลูกสองลูกก็ถือว่าไม่เลวแล้ว !
พวกผู้หญิงคุยกันถึงชีวิตที่ดีในปีนี้ ป้ากุ้ยฮวาพูดว่า “วันส่งท้ายปีเก่าของปีก่อน อย่างมากสุดพวกเด็ก ๆ ก็ได้กินเนื้อคนละคำเท่านั้น ถู่โต้วยังเล็ก พี่ชายพี่สาวจึงแบ่งเนื้อให้เขาน้อยที่สุด เขาถึงขั้นร้องไห้ไปยกใหญ่เชียวล่ะ แม้จะปลอบอย่างไรก็ไม่กลับมาดีสักที ปีนี้ข้าให้พ่อของเขาไปซื้อเนื้อมา 10 ชั่ง แขวนตากให้แข็งไว้ข้างนอก พวกเด็ก ๆ จึงมีแรงทำงานขึ้นมา ! ”
แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์ยกมือปิดปาก “เนื้อสิบชั่ง ? ราคาเนื้อในตอนนี้ก็ขึ้นไปถึงชั่งละ 1 ตำลึงแล้ว ! ท่านทำใจได้หรือ ! ”
แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์มุ่ยปากในใจ ผู้ชายบ้านเจ้าช่วยขับเกวียนขับรถม้าให้บ้านตระกูลหลิน เจ้าเองก็เป็นคนดูแลโรงงานแปรรูปเมล็ดสนให้ตระกูลหลิน เงินเดือนรวมกันได้ถึง 2 ตำลึง รู้แล้วว่าเหตุใดจึงทำใจซื้อเนื้อมากมายขนาดนั้นได้ ! ส่วนผู้ชายของนางซื่อเกินไป เอาใจภรรยาไม่เป็นเลย !
แม่ซัวถัวยิ้ม “ปีนี้มีเงินเยอะหน่อย ฉลองปีใหม่ทั้งทีก็ต้องให้พวกเด็ก ๆ ได้กินดีหน่อยสิ คนเป็นพ่อแม่ล้วนมีความคิดแบบนี้ทั้งนั้น ปีก่อนเกี๊ยวที่กินในคืนส่งท้ายปีเก่าต้องแบ่งกันคนละตัวสองตัว ปีนี้ฉาวเอ๋อร์ซื้อแป้งอย่างละเอียดกลับมาเตรียมไว้เยอะหน่อย ห่อเกี๊ยวให้เยอะกว่าเดิมเพราะเขาบอกจะกินชามใหญ่ ๆ ไปเลย ! ”