ตอนที่ 370 ผู้พลิกชะตาชีวิต
ส่วนร้านของหนิงตงเซิ่งยิ่งทำยอดขายได้อย่างถล่มทลายเมื่อวันปีใหม่มาเยือน ผู้นำตระกูลหลักจึงเรียกเขาไปชมเป็นกรณีพิเศษ แม้แต่หนิงตงหยูซึ่งเป็นที่รู้จักในนามอัจฉริยะทางธุรกิจและว่าที่ผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลก็อยากดึงเขามาเป็นพรรคพวก… เพราะเมื่อเหตุการณ์พลิกกลับเช่นนี้จึงทำให้พี่ชายล้มเลิกความคิดจะฮุบสูตรขนมจากร้านตระกูลหนิง เนื่องจากหนิงตงเซิ่งผู้ไร้ตัวตนในสายตาของตระกูลหลัก ได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสเสียแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อาจประมาทต่อกฎของตระกูลหนิงที่ว่าพี่น้องห้ามหักหลังกันเรื่องธุรกิจ ห้ามใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ หากใครฝ่าฝืนก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงหรือโดนไล่ออกจากตระกูล ! บิดาที่มักเมินเฉยต่อเขามาโดยตลอดก็เริ่มแสดงบทบาทความเป็นบิดาที่เปี่ยมด้วยความรัก น่าเสียดายที่เขาผ่านพ้นวัยที่ต้องการความรักจากบิดาไปนานแล้ว เนื่องจากมารดาถูกฮูหยินใหญ่บีบบังคับจนตาย พอพี่สาวออกเรือนไปเป็นคนของตระกูลอื่นแล้ว เขาจึงหมดสิ้นความรักที่มีต่อครอบครัวนั้นและมีเพียงความเกลียดชัง ! ยิ่งเขาประสบความสำเร็จมากเท่าใด หรือยิ่งทำให้เห็นว่าพี่ชายคนนั้นดูเป็นคนไม่เอาไหนเลย ฮูหยินใหญ่ก็จะยิ่งเป็นทุกข์…แม้เขาจะไม่สามารถแก้แค้นให้มารดาได้อย่างโจ่งแจ้ง แต่การค่อย ๆ ทำให้นางทุกข์ใจเพราะเห็นความสำเร็จของเขา มันจะทำให้คนอื่นเห็นว่าเขาเป็นคนใจกว้างมากเพียงใดด้วยจริงหรือไม่ ? สิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จก็คือกู่เหนียงน้อยตรงหน้าคนนี้ จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณอย่างให้เกียรติ บ้านหลังน้อยที่หนิงตงเซิ่งเช่าไว้มีห้องหลัก 2 ห้อง ห้องปีกทางซ้ายขวาอีกอย่างละห้อง ห้องครัว ห้องเก็บฟืนก็มีอุปกรณ์ครบครัน สิ่งที่ทำให้พวกหลินเว่ยเว่ยพอใจที่สุดคือบ้านหลังนี้เงียบสงบ เหมาะกับบัณฑิตที่กำลังเตรียมตัวสอบ ถ้าไม่ใช่หนิงตงเซิ่งลงมือได้อย่างรวดเร็ว บ้านหลังนี้ก็คงโดนคนอื่นเช่าตัดหน้าไปแล้ว ! บ้านหลังนี้ถูกหนิงตงเซิ่งสั่งให้คนทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เตียงเตาก็ถูกอุ่นรอไว้ พวกเขาจึงทำแค่จัดเก็บข้าวของอย่างง่าย ๆ ต่อจากนั้นประมาณครึ่งก้านธูป พวกเขาก็มานั่งอยู่ในห้องอาหารระดับสูงของหยวนเค่อหลายแล้ว หลงจู๊รู้จักกับหนิงตงเซิ่งเป็นอย่างดี จึงกำชับให้เสี่ยวเอ้อร์ไปรอรินชาและรับใช้ หืม ? เหตุใดคุณชายหนิงจึงให้ความสำคัญต่อกู่เหนียงน้อยคนนี้มากเป็นพิเศษ ? นางดูท่าทางเป็นคนใจดี…ไอหยา ! นี่ไม่ใช่คนที่ช่วยร้านของเราไว้หรือ ? เหตุใดจึงใส่ชุดสตรี ? หลงจู๊ฟางจดจำหลินเว่ยเว่ยได้ จึงรีบให้คนไปตามหุ้นส่วนคนที่สองมาทันที เพราะการเปิดตัวเมล็ดสนปากอ้าสามารถต่อลมหายใจให้หยวนเค่อหลายได้ ตอนนี้คำพูดของเจ้านายจึงมีน้ำหนักต่อตระกูลมาก หุ้นส่วนคนอื่นก็ไม่ทำมาเป็นสอนหลงจู๊อย่างเขาอีกต่อไป แม้แต่ร้านอาหารฝั่งตรงข้ามที่เชิญพ่อครัวมาจากเมืองหลวงก็ยังแย่งลูกค้าไปจากหยวนเค่อหลายไม่ได้ ชาเป็นชาชั้นดี สิ่งที่ถูกนำขึ้นโต๊ะพร้อมน้ำชามีถั่วลิสงห้าเครื่องเทศ 1 จาน เมล็ดสนปากอ้า 1 จาน เนื้อแผ่น 1 จานและขนมปังกรอบ 1 จาน พวกเขาใช้จานขนาดเล็ก ๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดู พวกมันยังมีขนาดไม่เท่าฝ่ามือเลยด้วยซ้ำ…คงกลัวว่าลูกค้าจะกินเยอะเกินไปแล้วสั่งอาหารหลักน้อยลงสิท่า ? หลินเว่ยเว่ยแกะเมล็ดสนเข้าปาก ขณะเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยก็พูดว่า “ของพวกนี้…ไม่ต้องจ่ายเงินหมดเลยหรือ ? ” “ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกขอรับ ในเวลาปกติเนื้อแผ่นจานแค่นี้ก็เป็นเงิน 200 อีแปะแล้ว ! ทว่าคุณชายหนิงเป็นหุ้นส่วนกับหยวนเค่อหลายของพวกเรา ไฉนเลยจะต้อนรับเหมือนลูกค้าทั่วไปได้ล่ะขอรับ ? ” หลงจู๊ฟางพูดด้วยรอยยิ้ม หลินเว่ยเว่ยก็คลี่ยิ้ม “หมายความว่าวันนี้พวกเราได้กินของอร่อยโดยไม่ต้องจ่ายเงินเพราะคุณชายหนิงสินะ ! ” หนิงตงเซิ่งยิ้ม “ในบ้านของหลินกู่เหนียง ยังขาดของกินเล่นพวกนี้อีกหรือ ? ” ใช่แล้ว ถั่วลิสงห้าเครื่องเทศชนิดนี้ ตั้งแต่เข้าสู่ฤดูหนาว บ้านตระกูลหลินก็หยุดขายแยมและผลไม้อบแห้ง หลินเว่ยเว่ยนึกเสียดายที่ในบ้านมีกระทะว่างงานเยอะขนาดนั้นจึงเกิดความคิดจะทำถั่วลิสงห้าเครื่องเทศ ถั่วลิสงอบกรอบและของกินเล่นอื่น ๆ ออกมา ถั่วลิสงเป็นของที่หนิงตงเซิ่งจัดหามา เดิมทีร้านของเขาก็ต้องซื้อถั่วลิสงและเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ อยู่แล้ว เขาจึงซื้อวัตถุดิบมาเยอะกว่าเดิมหน่อยแล้วขายให้ตระกูลหลินในราคาต้นทุน เดิมทีพวกผู้หญิงสองสามคนที่ทำแยมก็ยังกังวลอยู่ว่าหลังจากผลไม้บนเขาหมดแล้ว พวกนางจะตกงาน คาดไม่ถึงว่าการค้าเกี่ยวกับเจ้าถั่วลิสงจะดียิ่งว่าการค้าขายแยมเสียอีก ในแต่ละวันแค่ถั่วลิสงห้าเครื่องเทศอย่างเดียวก็ต้องทำถึง 800 ชั่งและยังต้องทำถั่วลิสงอบกรอบอีก 500 ชั่ง พวกนางจึงงานยุ่งยิ่งกว่าตอนทำแยม แต่ยิ่งยุ่งก็ยิ่งมีความสุข…เพราะไม่ต้องกังวลว่าจะตกงานแล้ว ! ราคาถั่วลิสงอยู่ที่ 15 อีแปะต่อชั่ง เมื่อทำเป็นถั่วลิสงห้าเครื่องเทศแล้ว ร้านตระกูลหนิงจะรับซื้อในราคา 50 อีแปะต่อชั่ง ส่วนถั่วลิสงอบกรอบเป็นเพราะวัตถุดิบที่ใช้ทำมีแป้งกับน้ำตาลแดงอยู่ด้วย ราคาจึงแพงกว่าเล็กน้อย ขายให้คุณชายหนิงในราคาชั่งละ 100 อีแปะ หลังหักค่าวัตถุดิบและค่าจ้างคนงานแล้วอย่างน้อยก็ยังได้กำไรครึ่งหนึ่ง พอลองคำนวณแล้ววันหนึ่งก็จะได้เงินเข้ากระเป๋ามากถึง 40 กว่าตำลึง ได้กำไรดีกว่าทำแยมอยู่เล็กน้อย ! นางเฝิงแอบคุยกับเจียงโม่หานว่า “เจ้าคิดว่าเหตุใดสมองของเสี่ยวเว่ยถึงดีขนาดนี้ ? วิธีหาเงินมีมาไม่ขาดสาย เจ้าถั่วลิสงนี้เมื่อก่อนก็เป็นแค่ของที่ทำกินเองเท่านั้น ใครจะคิดว่ามันสามารถทำเงินได้มากขนาดนี้ ถั่วลิสงห้าเครื่องเทศหากนำไปจัดใส่จานก็ถือเป็นอาหารชั้นเลิศจานหนึ่ง ถั่วลิสงอบกรอบแฝงด้วยรสหวานมีความกรุบกรอบเคี้ยวเพลิน เป็นของกินเล่นที่ดียิ่ง…” ที่จริงเจียงโม่หานรู้ว่าตอนนี้เด็กน้อยไม่ได้ขาดแคลนเงินแต่อย่างใด ทว่าที่ทำถั่วลิสงห้าเครื่องเทศและถั่วลิสงอบกรอบขึ้นมาก็เพราะไม่อยากทำให้ครอบครัวยากจนที่ทำงานกับสกุลหลินต้องขาดรายได้ในฤดูหนาว ในบ้านสองสามหลังนั้นมีคนป่วยที่ต้องกินยาในระยะยาว หากไม่มีรายได้ ยาก็ต้องหยุดกิน…เด็กคนนี้จิตใจดีงามเหลือเกิน ! หลิน (ใจดี) เว่ยเว่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ขาดหรือไม่ขาดของเหล่านี้ก็เรื่องหนึ่ง แต่การได้ประโยชน์เพราะคุณชายหนิงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ! ” หลงจู๊ฟางรีบพูด “หากหลินกู่เหนียงแวะมาที่ร้านก็จะได้เพลิดเพลินกับการบริการระดับเดียวกับตอนมาพร้อมคุณชายหนิงขอรับ ! ” มุมปากหนิงตงเซิ่งยกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน “ดูสิ ! ตอนนี้ไม่ต้องพูดว่าใครได้ประโยชน์จากใครแล้วกระมัง ? หลงจู๊ฟางมีสายตาแหลมคมจริง ๆ ! ” คราวก่อนหลินเว่ยเว่ยแต่งกายด้วยชุดของเด็กชายชาวบ้านผู้ยากจน แต่วันนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสตรีสีสดใสชนิดเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่ก็ยังคาดไม่ถึงว่าหลงจู๊ฟางจะสามารถจดจำได้ในทันที หลงจู๊ฟางพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่คือคุณสมบัติของหลงจู๊ขอรับ ! ” ในฐานะผู้จัดการร้านอาหาร สายตาจะต้องเฉียบคม ไม่อย่างนั้นอาจไปผิดใจกับผู้สูงศักดิ์ท่านใดเอาได้ ตนเองตกงานเป็นเรื่องเล็ก แต่การสร้างปัญหาให้เจ้านายด้วยคือเรื่องใหญ่ คนแบบนี้ใครจะกล้ารับไปใช้งานต่อหรือ ? ทันใดนั้นก็มีเสียงท้องร้องของใครบางคนดังขึ้นมา หนิงตงเซิ่งรีบพูด “พวกท่านเดินทางกันมาเหนื่อย ๆ คงหิวแล้วกระมัง ? มาสั่งอาหารก่อนเถิด…หลินกู่เหนียง ท่านดูสิว่าอยากกินอะไร ? ” “เอาปลากระรอกทอด ไก่ป่าตัวเล็กตุ๋นใส่เห็ด ซี่โครงน้ำแดง ผัดสามเซียน…ข้าสั่งเยอะแล้ว พวกเจ้าลองดูว่ายังอยากกินอะไรอีก ? วันนี้คุณชายหนิงเป็นเจ้ามือ อย่าเกรงใจเด็ดขาด ต้องกินให้เต็มที่…” เจียงโม่หานเหลือบมองนาง…คนที่เขาไม่รู้ก็คงคิดว่าเจ้าเป็นคนเลี้ยง ! เป็นธรรมดาที่นอกจากนางแล้วคนอื่นจะมีความเกรงใจ ท้ายที่สุดหนิงตงเซิ่งจึงสั่งไส้กรอกเลือดตุ๋นผักดองและดักแด้ทอดเพิ่มอีกสองอย่าง รวมเป็นอาหาร 6 ชนิด อาหารทางเหนือได้ปริมาณค่อนข้างมาก อาหารแต่ละจานรวมกันแล้วพวกเขาจะกินหมดหรือ ? พอดักแด้ทอดขึ้นโต๊ะแล้ว หนิงตงเซิ่งก็บอกทุกคนว่าไม่ต้องเกรงใจ หลินเว่ยเว่ยทำสีหน้าประหลาด ไอหยา ! นางกลืนเจ้านี่ไม่ลงจริง ๆ ! เจียงโม่หานยื่นตะเกียบไปคีบดักแด้มาให้นางหนึ่งตัว หลินเว่ยเว่ยมองเขาด้วยสายตาตัดพ้อ เขาหัวเราะเบา ๆ พลางกล่าว “หลังนำไปทอดแล้วเจ้านี่จะหอมและกรอบ รสชาติเหมือน…จักจั่นที่เจ้าจับมาจากต้นไม้ในฤดูร้อน” “จริงหรือ ? มัน…จะไม่ระเบิดในปากใช่หรือไม่ ? มันจะกรอบใช่ไหม ? เอาเถิด ข้าลองก็ได้…” หลินเว่ยเว่ยคีบดักแด้ขึ้นมากัดชิมคำเล็ก ๆ