ตอนที่ 372 ข่าวดี ! เป็นข่าวดี !
หลังจากหนิงตงเซิ่งพาแขกกลับไปส่งที่บ้านเช่าแล้วเขาก็เอ่ยลาทันที วันนี้หลินกู่เหนียงนั่งรถม้าตลอดทั้งเช้า นางคงจะเหนื่อยมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาถามแล้วกันว่าบ้านพอจะอยู่ได้ไหม ขาดแคลนอะไรหรือเปล่า…
พอเข้ามาในบ้านแล้วห้องทั้งสี่ก็ถูกจัดแบ่งทันที หลินเว่ยเว่ยอยู่ห้องหนึ่ง เจียงโม่หานอยู่ห้องหนึ่ง หลินจื่อเหยียนอีกห้อง ส่วนเผิงหยูเหยี่ยนกับหลานชายอยู่ด้วยกันอีกหนึ่งห้อง
คืนนี้หลินจื่อเหยียนย้ายมาอยู่กับเจียงโม่หานเพราะต้องสละห้องให้เหลยหยู่และคนขับรถม้าสกุลเผิง เขาชินต่อการอยู่ห้องเดียวกับศิษย์พี่เจียงแล้ว เนื่องจากที่บ้านชอบมีพวกแขกผู้ชายมาเยือน ศิษย์พี่เจียงจึงต้องสละห้องอันเป็นระเบียบให้คนอื่นแล้วย้ายมานอนกับเขาที่บ้านสกุลหลินแทน
ก่อนถึงวันสอบระดับเซี่ยนซื่อยังเหลืออีก 3 วัน เจียงโม่หานจึงพาบัณฑิตหน้าใหม่ไปเดินเล่นบนถนนและทำความคุ้นเคยกับบริเวณโดยรอบสนามสอบ
ระหว่างที่อยู่บริเวณใกล้สนามสอบ ชายหนุ่มทั้งสามคนก็ได้พบกับหลิ่วจงเทียนและเมิ่งจิ่งหงที่เป็นสหายร่วมห้องของเจียงโม่หาน แล้วก็ยังมีเพื่อนร่วมห้องอีกคนของหลินจื่อเหยียน เขาเองก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของหลิ่วจงเทียน นามว่า…หยางยี่หราน
ในการสอบระดับเซี่ยนซื่อ ผู้สอบต้องมีผู้ค้ำประกันร่วมกันห้าคนและหลิ่นเซิง ( บัณฑิตยุ้งฉาง ) ช่วยค้ำประกันเพิ่มอีกหนึ่งคน ผู้ค้ำประกันร่วมทั้งห้าคนมีครบแล้ว ขาดแค่หลิ่นเซิงอีกคนเดียว ทว่าอาจารย์ฟ่านให้ที่อยู่หลิ่นเซิงในตัวอำเภอกับพวกเขาแล้ว โดยบอกว่าควรไปคารวะอีกฝ่ายสักหน่อย พรุ่งนี้เจียงโม่หานจึงจะพาผู้ค้ำประกันทั้งห้าไปคารวะหลิ่นเซิงที่เรือน
พอหลิ่วจงเทียนและเมิ่งจิ่งหงได้ยินว่าหลินกู่เหนียงก็ตามมาด้วยและยังเช่าบ้านหลังหนึ่งเพื่อเอาไว้ทำอาหารให้น้องชายของนาง พวกเขาก็เดินตามติดกลุ่มของเจียงโม่หานทันที
เจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนถึงขั้นหมดคำพูด
“หืม ? เหตุใดหน้าสนามสอบจึงมีคนมุงกันเยอะขนาดนั้น ? ” เมิ่งจิ่งหงชี้ไปทางฝูงชนแล้วถามด้วยความสงสัย ก่อนจะรีบเบียดตัวเข้าไป ผ่านไปไม่นานก็ออกมาพร้อมสีหน้าดีใจ
“สหายเจียง ข่าวดี ! เป็นข่าวดี ! ” หมวกบัณฑิตบนศีรษะของเมิ่งจิ่งหงบิดเบี้ยว เสื้อผ้าก็ยับไปด้วยเพราะตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ตัวเขาแทบจะเต้นระบำกลางถนนอยู่แล้ว !
หลิ่วจงเทียนแกล้งหยอกเขา “เป็นอะไร ? ดูท่าทางตื่นเต้นของเจ้าสิ ทำราวกับมีคนสอบติดจอหงวนอย่างไรอย่างนั้น”
ในฝูงชนมีบัณฑิตที่มาเพื่อสอบไม่น้อย พวกเขากำลังส่งเสียงโห่ร้องและเดินไปแจ้งข่าวให้พวกพ้อง… “ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาประทานการสอบเคอจวี่ลงมาแล้ว ในปลายเดือนสี่ของปีนี้ หลังจากการสอบระดับฝู่ซื่อเสร็จสิ้นได้สิบวันก็จะมีการเปิดสอบเยวี่ยนซื่อตามมาเลย ! กล่าวอีกนัยคือปีนี้มีการสอบเยวี่ยนซื่อทั้งปลายเดือนสี่และเดือนแปด เราจะมีโอกาสสอบติดซิ่วไฉ ( สอบผ่านถงเซิงทั้งสามระดับ ) ถึงสองครั้ง ! ”
เมิ่งจิ่งหงหันไปมองบัณฑิตที่กำลังแหกปากด้วยความโกรธแค้น เจ้าหมอนี่แย่งหน้าที่เล่าเรื่องสนุกไปจากเขา น่ารังเกียจยิ่งนัก !
หลิ่วจงเทียนหัวเราะฮ่าฮ่า “สมน้ำหน้า ใครใช้ให้เจ้าไม่พูดทันที ? ต้องทำเป็นยักท่า สุดท้ายก็โดนคนอื่นแย่งพูด ! ”
“หืม ? หลังสอบฝู่ซื่อสิบวันก็จะมีการสอบเยวี่ยนซื่อต่อเลย ? ถ้าเช่นนั้นคนที่เข้าสอบเซี่ยนซื่ออย่างพวกเราจะร่วมสอบทันหรือ ? ” หลินจื่อเหยียนตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เขาคิดว่าหลังสอบเซี่ยนซื่อเสร็จแล้วหากว่าสอบผ่านก็ไปร่วมสอบฝู่ซื่อในเดือนสี่ แต่รายชื่อผู้สอบผ่านไม่สามารถประกาศออกมาได้ภายในสิบวันหรอก ตอนนี้ดูเหมือน…ความหวังในการเข้าสอบเซี่ยงซื่อ ( การสอบระดับมณฑล ) ของเขาจะพังทลายหมดแล้ว !
ทว่า… “พี่เขยรอง โอกาสของท่านมาถึงแล้ว ! หลังสอบเยวี่ยนซื่อในปลายเดือนสี่นี้แล้ว ท่านก็จะสามารถสอบเซียงซื่อในเดือนแปดได้เลย!”
ปกติการสอบเยวี่ยนซื่อจะถูกจัดสอบขึ้น 3 ปี สองครั้ง เดิมทีปีนี้มีสอบเยวี่ยนซื่อแค่ในเดือน 8 เท่านั้น แทบจะเป็นเวลาเดียวกันกับการสอบเซียงซื่อ ดังนั้นคนที่สอบติดซิ่วไฉ ( ผ่านทั้งเซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อและเยวี่ยนซื่อ) จึงไม่มีทางเข้าสอบเซียงซื่อได้เลย เมื่อเป็นแบบนี้จึงทำให้บัณฑิตผู้มีพรสวรรค์ต้องเสียเวลารอไปอีก 3 ปี
ชาติก่อน เรื่องอื้อฉาวในการโกงข้อสอบเยวี่ยนซื่อของเมืองจงโจวทำให้บัณฑิต 50 อันดับแรกถูกตัดทิ้งและเจียงโม่หานก็คือบัณฑิตหนึ่งในนั้น แต่ปีถัดมาเขาก็สอบติดซิ่วไฉ อีก 2 ปีถัดมาก็เข้าสอบเซียงซื่อ กว่าจะสอบได้บัณฑิตจิ้นซื่อ ( บัณฑิตชั้นสูง ) เขาก็เข้าพิธีสวมกวานแล้ว ( อายุ 20 ปี )
แต่ใครจะคาดคิดว่าหลังกลับชาติมาเกิดใหม่แล้วทุกอย่างจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ฮ่องเต้ยังคงเอาแต่พระทัย ถึงขั้นไม่สนเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนางและพระราชทานการจัดสอบเยวี่ยนซื่อในปลายเดือนสี่เพิ่มขึ้นมา ! ถ้าไม่ผิดไปจากที่คิดไว้คือหลังสอบเยวี่ยนซื่อเสร็จแล้ว เขาก็จะอยู่เตรียมตัวสอบเซียงซื่อต่อเลย หลังสอบเป็นจู่เหริน ( สอบเซียงซื่อผ่าน ) ได้แล้วก็ต้องนั่งรถม้าเข้าเมืองหลวง…
หลินเว่ยเว่ยใช้ข้อศอกสะกิดเขาพลางถามเบา ๆ ว่า “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพระเมตตาของฝ่าบาทในครั้งนี้…มีขึ้นเพื่อใครบางคน ? ”
เจียงโม่หานมองนาง “เจ้าก็คิดแบบนั้นหรือ ? ” เด็กน้อยมีสัญชาตญาณแม่นยำมาโดยตลอด หรือว่านางจะคิดไปเองว่าพระเมตตานี้…สร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ?
มุมปากของเจียงโม่หานกระตุก ไม่หรอกกระมัง เขาก็แค่สร้างกังหันน้ำกระดูกมังกรแล้วก็สร้างการเขียนบัญชีรูปแบบใหม่ขึ้นมา ฮ่องเต้คงไม่ได้เห็นความสำคัญของเขาเพราะเรื่องแค่นี้หรอกกระมัง ?
แต่คราวนี้เขาคิดผิดแล้ว ราชวงศ์ใหม่เพิ่งถูกสถาปนาได้ไม่นาน เรื่องความเสื่อมโทรมยังรอให้มีคนมาฟื้นฟูอีกมาก และสิ่งขาดแคลนที่สุดในเวลานี้คือคนมีความสามารถ ! โดยเฉพาะขุนนางที่ทำงานจริง ! ในสายพระเนตรของฮ่องเต้คือเจียงโม่หานชำนาญด้านบัญชีและระบบชลประทาน อีกทั้งเกิดในชนบทจึงเข้าใจเรื่องการเกษตร…นี่เป็นขุนนางต้นแบบที่ทางราชสำนักต้องการ หากปล่อยคนแบบนี้ให้หลุดมือไปก็คงสามารถสร้างประโยชน์ให้คนอื่นได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าเก็บไว้ในราชสำนักจะสามารถสร้างประโยชน์ให้บ้านเมืองได้เลย ฮ่องเต้จะปล่อยให้เขามาเสียเวลาอยู่ข้างนอกถึงสามสี่ปีได้อย่างไร ?
นอกจากนี้เจียงโม่หานยังมีอายุห่างจากองค์รัชทายาทไม่มากนัก ! ในอดีตฮ่องเต้ต้องทำศึกทั้งแดนเหนือและแดนใต้ พระพลานามัยจึงโดนโรคร้ายเล่นงานมาโดยตลอด ดังนั้นพระองค์ต้องวางแผนไว้สำหรับผู้ที่จะมาสืบทอดบัลลังก์ให้ดี ! คอยสังเกตและปลูกฝังเด็กคนนี้สักสองสามปี หากเป็นคนจิตใจดีก็เก็บไว้เป็นกำลังสำคัญของรัชทายาท !
ดังนั้นเมื่อเฝ้าดำริเรื่องการผลักดันให้จัดสอบเพิ่มเติม พระองค์ก็ไม่ได้บรรทมอย่างสนิทสักคืน ท้ายที่สุดพระองค์ก็หลุดพ้นจากความสับสนโดยใช้วันคล้ายวันประสูติของฮองเฮามาพระราชทานการสอบเยวี่ยนซื่อในปลายเดือนสี่เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มที่พระองค์รอคอยได้เข้ามาในราชสำนักและช่วยแก้ปัญหาหนักใจแก่พระองค์ !
เฮ้อ ! ฮ่องเต้ทรงเอาแต่พระทัยจริง ๆ นั่นแหละ ไม่กลัวว่าเจียงโม่หานจะขาดประสบการณ์หรือใช้กลโกงสร้างผลงานลวงตา สุดท้ายก็สอบไม่ติดบ้างหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะเพื่อขัดจังหวะความคิดของเจียงโม่หาน “ไม่ว่าทำเพื่อใครจริงหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็สร้างโอกาสให้พวกเรา ถ้าโชคดีล่ะก็ เดือนห้าและเดือนแปดหลังออกจากสนามสอบแล้ว บ้านเราอาจมีซิ่วไฉถึงสามคน ! ”
เจียงโม่หานยิ้มพร้อมดวงตาเป็นประกาย ก่อนจะหันไปมองนางปราดหนึ่ง “เจ้าช่างมั่นใจในตัวน้องชายเหลือเกิน ! ” เด็กคนนี้ฉวยโอกาสแกล้งน้องชายเก่งมาก แต่ก็รักน้องชายด้วยใจจริงเช่นกัน ไม่อย่างนั้นการมาสอบเซี่ยนซื่อก็ไม่ต้องเช่าบ้านที่ตัวอำเภอหรอก แถมยังตามมาดูแลเรื่องอาหารการกินด้วยตัวเองอีก !
“ข้ามั่นใจในตัวเจ้าต่างหาก ! ” หลินเว่ยเว่ยยิ้มจนตากลายเป็นเสี้ยวพระจันทร์และใบหน้ากลมเหมือนซาลาเปา ดูน่ารักมากเหลือเกิน
หลินจื่อเหยียนที่ต้องการเบียดเข้าไปให้ได้ก็ออกมาพร้อมดวงตาเป็นประกาย “เป็นข่าวดีสุด ๆ ไปเลย โอกาสสอบซิ่วไฉเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งครั้ง แม้ว่าปีนี้จะสอบไม่ผ่านก็ยังถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ พอคราวหน้าต้องมั่นใจกว่าเดิมแน่นอน ! ”
หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขา “ความมั่นใจนี้ ไม่ใช่ความรู้ที่ตัวเองเรียนมอบให้หรือไร ? บัณฑิตถงเซิงอายุ 80 ปี เจ้าคิดว่าเขาสอบมากี่ครั้ง สั่งสมประสบการณ์ได้เยอะขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ยังเป็นแค่บัณฑิตถงเซิงไม่ใช่หรือ ? หากตัวเองศึกษาได้ดีแล้ว อย่าว่าแต่ลงสอบหลายครั้งเลย ความมั่นใจควรจะมีเต็มร้อยตั้งแต่สนามแรก ! ”