หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 388 ข้าเป็นผู้สนับสนุนที่ดี

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 388 ข้าเป็นผู้สนับสนุนที่ดี

ลองคิดดูว่ายามที่ภาคใต้สภาพอากาศดีก็เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพียงสามร้อยกว่าชั่งต่อหมู่ แต่ในสถานที่แห้งแล้งและหนาวเหน็บของพวกนางกลับได้ผลผลิตต่อหมู่มากกว่าทางใต้หนึ่งเท่า น่าตกตะลึงมากใช่หรือไม่ ? ฮ่องเต้จะประสงค์กำจัดนางเพราะเห็นนางเป็นปิศาจหรือเปล่า ?

แค่ปลูกข้าวสาลีได้ผลผลิตมากกว่าสี่ร้อยชั่งและข้าวโพดกว่าหกเจ็ดร้อยชั่งก็ทำให้คนอื่นอิจฉาแล้ว โชคดีที่วิถีชีวิตของชาวฉือหลี่โกวค่อนข้างเรียบง่าย จึงไม่สงสัย…เฮ้อ ตอนนั้นน่าจะรดพืชผลด้วยน้ำในมิติน้ำพุวิญญาณน้อยลงหน่อย ช่างสะเพร่าเหลือเกิน !

ทันใดนั้นนางก็หันไปเห็นเจียงโม่หานกำลังมองมาด้วยสายตาแปลกประหลาด เป็นอะไรไปอีก ? หรือนางจะพูดอะไรผิด ? พอย้อนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของตนแล้ว นางก็หัวเราะออกมา “บัณฑิตน้อย พอเราแต่งงานกันแล้ว เจ้าก็คือสามีของข้า ไม่ใช่คนอื่น”

ใครจะนอนห้องเดียวกับเจ้า ? เด็กไร้ยางอาย ! เจียงโม่หานมีแววตาแห่งรอยยิ้มปรากฎขึ้นปราดหนึ่ง “เจ้าอยากพักผ่อนอยู่ในห้องหรือจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ? ”

หลินเว่ยเว่ยพลิกตัวอยู่บนเตียงเตา “ข้าอยากไปที่ห้องครัวของร้านขนมหวานหนิงจี้ อยากอบขนมสักหน่อย พรุ่งนี้จะได้เอาไปกินที่ ‘คฤหาสน์’ เผื่อจะได้พบคนที่เข้าตาหรือคนที่คุ้มค่าต่อการคบหา อีกอย่างพวกเจ้าก็สามารถชวนสหายใหม่มาเพลิดเพลินด้วยกันได้ นี่เรียกว่า ‘อาหารทางการทูต’ ! ”

เจียงโม่หานไม่อยากให้นางไปเยือนร้านหนิงจี้ ประการแรกเพราะกลัวนางทำขนมจนเหนื่อย ประการที่สองเพราะไม่อยากให้นางใกล้ชิดกับเจ้าแซ่หนิงซึ่งมีเจตนาแอบแฝง เขายอมรับว่าเป็นคนใจแคบ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนใจกว้างอยู่แล้ว พอเผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจก็ยิ่งเปิดใจให้กว้างไม่ได้เด็ดขาด !

“เจ้าเห็นคนอื่นเป็นเหมือนตนหมดหรือ ? ทำตัวเหมือนลูกแมวตะกละ ในสมองมีแต่ของกิน” เจียงโม่หานเคาะศีรษะนางแต่ไม่ได้ห้าม เพราะไม่อยากให้นางคิดว่าเขาอยากบงการชีวิต เดิมทีเด็กน้อยก็คิดไม่เหมือนคนทั่วไปอยู่แล้ว

หลินเว่ยเว่ยเอียงศีรษะ ก่อนจะมองเขาด้วยแววตาขี้เล่น “ข้าไม่เชื่อว่าจะมีคนต้านทานแรงเย้ายวนจากอาหารเลิศรสได้ หรือว่าเจ้าทนไหว ? ”

“ไปกันเถิด ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง ! ” เจียงโม่หานก็อยากรู้เหมือนกันว่านางจะทำขนมชนิดใหม่อันใด

หลินเว่ยเว่ยคิดไว้แล้วว่าจะทำเวเฟอร์ไส้ครีมและมูสเค้กบลูเบอร์รี่

เหล่าพ่อครัวสายขนมหวานที่ร้านหนิงจี้เห็นหลินเว่ยเว่ยเปรียบเสมือนปรมาจารย์ของตน แต่มันก็ไม่เกินจริงเพราะในสมัยโบราณนี้ผู้คนกราบไหว้และดูแลผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้แก่ตนเหมือนอาจารย์ท่านหนึ่ง

เวเฟอร์ไส้ครีมถูกตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม ก่อนจะถูกบรรจุลงในกล่องอันวิจิตร ด้านในมีขนมอยู่ประมาณ 20-30 ชิ้น

พ่อครัวทำขนมที่ค่อนข้างมีฝีมือก็คอยเป็นลูกมืออยู่ข้างนางและตั้งใจฟังรายละเอียดที่นางพูดอย่างระมัดระวัง เวเฟอร์ไส้ครีมที่ทำเสร็จแล้วดูไม่มีอะไรพิเศษ ทว่าพอลองกัดกินจะมีรสสัมผัสบางกรอบและหอม แฝงด้วยกลิ่นหอมของนม ทำให้คนกินมีดวงตาเปล่งประกายทันที

มูสเค้กบลูเบอร์รี่ถูกบรรจุลงในกล่องไม้แกะสลัก ใช้จำนวนหนึ่งกล่องก็ใส่ได้ 1 ชิ้นพอดี มูสเค้กบลูเบอร์รี่ 20 ชิ้นทำให้กล่องอาหารสามชั้นแน่นขนัด ตอนนี้อุณหภูมิต่ำมาก แม้จะอยู่ข้ามคืนก็ไม่ส่งผลต่อรสชาติและความคงตัวของมูสเค้ก

หลงจู๊อวี้ที่อยู่ในร้านขนมก็เดินจากโถงด้านหน้ามายังห้องครัวหลังร้าน พอเห็นหลินเว่ยเว่ยแล้ว เขาก็ยิ้มหน้าบานทันที “ไอโยว หลินกู่เหนียงมาที่เมืองจงโจวแล้วเหตุใดไม่ส่งคนมาบอกข่าวบ้างเลยขอรับ ท่านมีโรงเตี๊ยมหรือยัง ? ถ้ายังไม่มีข้าจะสั่งให้คนไปหาโรงเตี๊ยมชั้นดี…”

หลังจากหลินเว่ยเว่ยใส่มูสเค้กบลูเบอร์รี่ลงในกล่องจนเต็มแล้วก็ยังเหลืออีกสิบกว่าชิ้น นางครุ่นคิดแล้วจึงห่อใส่กล่องอีกสองสามใบเพื่อจะได้เอาไปให้บัณฑิตในบ้านเช่าได้ชิมก่อนใคร หลงจู๊อวี้มองกล่องขนมใบนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย…ในเมืองมีลูกค้านักชิมอยู่สองสามคนแต่เป็นพวกเรื่องมาก จึงต้องเป็นฝีมือระดับหลินกู่เหนียงเท่านั้นถึงจะกิน !

แต่หลินกู่เหนียงก็เข้าเมืองไม่บ่อยเลย พ่อครัวไม่ได้เรื่องทั้งสองสามคนนั้นก็ไม่มีใครฝีมือเทียบเคียงหลินกู่เหนียงได้สักคนเดียว ต้องเสียเงินทุนไปตั้งเท่าไหร่ หัวใจของเขามีน้ำตาอาบไปหมดแล้ว…

คราวนี้พวกนักชิมไม่กี่คนที่มีชื่อเสียงในวงการอาหารได้มีลาภปากอีกแล้ว มูสเค้กบลูเบอร์รี่สามารถสร้างชื่อเสียงให้ร้านขนมหวานหนิงจี้ไม่น้อยแน่นอน !

นายท่านหนิงไปที่เมืองเหอโจว แต่เขาได้สั่งไว้แล้วว่าหากหลินกู่เหนียงมาก็ให้ปฏิบัติเหมือนเจ้านายมาเยือน จะต้อนรับดีเท่าไรก็ได้ หลังจากรู้ว่าพวกนางมีโรงเตี๊ยมแล้ว หลงจู๊อวี้ก็ยังพูดต่อ “หลินกู่เหนียงทำงานมาหนึ่งชั่วยามกว่า ๆ แล้ว มื้อเย็นจะงดไม่ได้ ใช่หรือไม่ขอรับ ? ที่หอจู้เซียนมีห้องอาหารส่วนตัวที่เก็บไว้รับรองเฉพาะนายท่านของเราเท่านั้น ท่านคิดว่า…”

“ไม่รบกวนหรอก พวกเราอยากไปหาของกินเล่นที่มีเฉพาะในเมืองจงโจวมากกว่า ! ” เจียงโม่หานปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่าย เจ้าแซ่หนิงไม่อยู่ในเมืองจงโจวก็ถือว่าเป็นอะไรที่ดีมาก ตอนกลางคืนในเมืองมีกฎให้กลับเข้าบ้านค่อนข้างช้า เขาจึงสามารถออกไปเดินชมตลาดกลางคืนกับเด็กน้อยได้

หลงจู๊อวี้เห็นทั้งสองคนจะออกไปแล้วจึงรีบพูดกับพ่อครัวทำขนมทั้งสองว่า “ขนมที่หลินกู่เหนียงทำก็จงห่อให้งดงามแล้วเอาไปมอบให้นายท่านฉินกับนายท่านหลิวคนละสองกล่อง ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้เป็นสินค้าพิเศษในร้าน”

หลังพูดจบเขาก็รีบตามออกมาเพื่อส่งหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานที่หน้าประตูร้านด้วยตนเอง

หลังออกจากร้านขนมหวานหนิงจี้แล้ว หลินเว่ยเว่ยกับเจียงโม่หานก็เอากล่องอาหารไปเก็บที่โรงเตี๊ยม ก่อนจะออกมาเดินเล่นและกินขนมกันจนพุงกาง บะหมี่เย็น ไก่เสียบไม้ย่าง หม้อไฟรสเผ็ด…ในเมืองจงโจวมีชนเผ่าปะปนอยู่จำนวนมาก พวกเขามาขายของกินเล่นอย่างพวกเค้กข้าวเหนียวและขนมขบเคี้ยว !

บัณฑิตที่เหลืออีก 5 คนก็ออกไปพบสหายและกลับมาพร้อมพุงที่โตเหมือนกัน กินอิ่มหนำ ดื่มจนสำราญใจ หลินเว่ยเว่ยถือกล่องมูสเค้กบลูเบอร์รี่ที่เตรียมไว้ให้พวกเขาออกมา นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “มองแล้วพวกเจ้าไม่มีท้องว่างจะกินขนมแล้ว เช่นนั้นมูสเค้กบลูเบอร์รี่เหล่านี้ก็เก็บไว้ให้บัณฑิตน้อยกับข้ากินเป็นของว่างยามดึกแล้วกัน…”

หลินจื่อเหยียนรู้ว่าพี่รองกำลังแกล้งพวกตนอยู่จึงร่วมเล่นกับนางแต่โดยดี “พี่รอง ช่วยประคองข้าขึ้นมาหน่อย ขนมที่ท่านทำ ถึงอย่างไรข้าก็ยังกินได้อีกหลายชิ้น ! ”

เมิ่งจิ่งหงก็รีบพยักหน้าตาม “ใช่ ใช่ ! แม้จะกินอิ่มแล้วก็มีที่ว่างให้ขนม จะปล่อยให้ขนมที่หลินกู่เหนียงทำต้องเสียเปล่าได้อย่างไร ! ” ขณะพูดก็เดินเข้ามาใกล้อย่างหน้าไม่อายแล้วหยิบกล่องมูสไปหนึ่งกล่อง

เดิมทีเขาคิดว่าจะเก็บไว้กินตอนอ่านตำรา แต่พอลองเปิดกล่องแล้ว ขนมด้านในมีทั้งสีสันและกลิ่นหอม ใครจะอดใจไหว ! สุดท้ายเขาก็กินมูสเค้กบลูเบอร์รี่หมดภายในไม่กี่คำและยังรู้สึกอยากกินอีกเหมือนเดิม คิดว่าขนมนี้มีขนาดเล็กเกินไป ไม่พอให้กินจนหายอยาก

หลินเว่ยเว่ยนำกล่องอาหารที่ใส่เวเฟอร์ไส้ครีมและมูสเค้กเข้าห้องส่วนตัว จากนั้นก็หันไปจ้องนักกินแสนตะกละตะกลามไม่กี่คน “ของพวกนี้ต้องเก็บไว้กินที่คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงวันพรุ่งนี้ เก็บความคิดชั่วช้าในสมองของพวกเจ้าไปเถิด อย่าฝันไปเลย ! ”

เมิ่งจิ่งหงคิดว่าแค่ใช้ขนมหวานจากร้านหนิงจี้ต้อนรับบัณฑิตกับนักปราชญ์ที่ไม่รู้จักเหล่านั้นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ส่วนขนมรสชาติใหม่นี้ก็เก็บไว้กินเองไม่ดีกว่าหรือ ?

เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเว่ยเว่ยเปลี่ยนมาใส่ชุดบุรุษ…อย่าถามว่าเหตุใดจึงพกชุดบุรุษไปด้วยทุกที่ สุดท้ายก็เพราะใส่ชุดบุรุษเวลาอยู่นอกบ้านแล้วสะดวกกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไปกับพวกบุรุษได้สบายอยู่แล้ว

เนื่องจากไม่มีใครมาสนว่าในห่อผ้าของนางมีอะไรอยู่บ้าง นางจะแอบขนเสื้อผ้าออกจากมิติน้ำพุวิญญาณสักสองชุดก็ยังทำได้

เสื้อผ้าบุรุษที่นางสวมใส่มาจากชุดที่ดัดแปลงจากเสื้อผ้าชาวหูที่มีแขนเสื้อทรงแคบ ปกคอเสื้อพับและขากางเกงลีบ แม้ว่าด้านในจะสวมเสื้อขนกระต่ายตัวหนาเอาไว้ รูปร่างก็ยังดูเรียวเล็กเหมือนเดิม สุดท้ายเด็กสาวตัวน้อยจึงกลายเป็นคุณชายในมาดสง่างาม

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท