ตอนที่ 389 สงสัยว่านางประพันธ์กวีไม่เป็นหรือไร ?
กลุ่มคนทั้งเจ็ดเดินทางมายัง ‘คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนง’ วันนี้มีการจัดงานแข่งขันกวีขึ้น บัณฑิตในเมืองและบริเวณใกล้เคียงที่ยังไม่กลับบ้านหลังจากสอบเซี่ยนซื่อเสร็จก็พากันมารวมตัวที่คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนง เพราะอยากสร้างชื่อเสียงให้ตนในกลุ่มบัณฑิตทั้งหลาย
มีคนเล่าลือกันอย่างลับๆ ว่าผู้อาวุโสเซวียหรือหนึ่งในปราชญ์ผู้นำแห่งลัทธิขงจื๊อจากราชวงศ์ก่อนพำนักอยู่ในแดนเหนือและอาจจะเป็นที่เมืองจงโจวด้วย ไม่อย่างนั้นฮ่องเต้ก็คงไม่ส่งบัณฑิตหยวนผู้เป็นลูกศิษย์ของอาวุโสเซวียมาคุมการสอบบัณฑิตถงเซิงที่เมืองจงโจว เพราะหากจะให้ความสำคัญแล้ว ฮ่องเต้ก็ควรให้ความสำคัญกับระดับเซียงซื่อหรือฮุ่ยซื่อมากกว่า แค่การสอบถงเซิงเล็ก ๆ ของเมืองจงโจวจะมีอะไรน่ากังวล ? แสดงว่าใจของปราชญ์ผู้ร่ำสุราไม่ได้อยู่ที่รสชาติสุรา แต่อยู่ที่ตัวขงจื๊อ !
ราชวงศ์ก่อน บรรดาลูกศิษย์ของผู้อาวุโสเซวียไม่ล้มตายก็หายสาบสูญ…หากสามารถสร้างชื่อในงานแข่งขันกวีครั้งนี้ได้ ความหวังที่จะได้กราบผู้อาวุโสเซวียเป็นอาจารย์ก็จะไม่มากกว่าเดิมหรือ ?
แม้ผู้อาวุโสเซวียจะไม่รับลูกศิษย์แล้วก็ตาม ทว่าก็ยังไปขอคำชี้แนะได้ สำหรับการสอบจงหงวนในวันหน้าก็ถือว่ามีประโยชน์ใหญ่หลวง ! ดังนั้นงานแข่งขันกวีในครั้งนี้จึงสามารถรวบรวมบัณฑิตในเมืองจงโจวได้กว่าครึ่ง แม้แต่ขุนนางหนุ่มที่มีชื่อกับทางราชสำนักแล้วก็ยังมาปรากฎตัวที่คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนง
บ่าวรับใช้ที่คอยต้อนรับอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงมีดวงตาที่เฉียบคมมากเป็นพิเศษ แค่มองปราดเดียวก็สามารถเดาฐานะของพวกเจียงโม่หานได้แล้ว เขาจึงไม่ได้เข้ามาขวางทาง แต่เมื่อบัณฑิตทั้งหกเดินเข้าไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เดินตามเข้าไปพร้อมกล่องอาหารสองกล่อง ทว่าบ่าวรับใช้หน้าประตูกลับมาขวางนางไว้ “คุณชายท่านนี้ ข้าน้อยต้องขอโทษด้วย เนื่องจากวันนี้ที่คฤหาสน์ต้อนรับเพียงปัญญาชนเท่านั้น หากท่านมาขี่ม้ายิงธนูก็ต้องมาใหม่วันหน้าขอรับ…”
หลินเว่ยเว่ยอธิบาย “ข้ามากับพวกเขา…”
“ต้องขออภัยจริง ๆ ขอรับ วันนี้ปัญญาชนและบัณฑิตที่มามีจำนวนมากเกินไป หากไม่ได้มาร่วมแข่งขันประพันธ์บทกวี พวกเราก็ไม่อาจต้อนรับได้ ต้องขอให้คุณชายอภัยด้วย…” บ่าวรับใช้หน้าประตูพูดอย่างมีมารยาท ส่วนท่าทางก็ดูเด็ดขาด
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้ว “หรือแค่ไม่ใส่ชุดเหมือนเป็นบัณฑิตก็ไม่ใช่ปัญญาชน ? หรือว่าคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงของพวกเจ้าตัดสินคนด้วยรูปลักษณ์ภายนอก ? ”
รอยยิ้มของบ่าวรับใช้หน้าประตูเริ่มเลือนหายและเผยสีหน้าเกรี้ยวกราดออกมา ก่อนที่เขากำลังจะพูดต่อว่าก็มีเสียงอันนุ่มนวลของคนผู้หนึ่งดังขัดจังหวะเสียก่อน “คุณชายท่านนี้ บ่าวของข้าเสียมารยาท ต้องขออภัยแทนเขาด้วย ทว่าวันนี้เป็นงานแข่งขันกวี ก่อนจะเข้างานจึงต้องท่องกวีสักบทเพื่อความสุนทรี”
หลินเว่ยเว่ยกลอกตา สุดท้ายก็ไม่ได้กำลังสงสัยว่านางประพันธ์กวีไม่เป็นหรือไร ? กวีในท้องข้า หากพ่นออกมาพวกเจ้าต้องตกใจตายแน่ !
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดสักพัก ที่จริงนางกำลังคิดว่าจะใช้กวีของใครดีและต้องไม่มีอยู่ในยุคสมัยนี้ พอคิดไปคิดมาแล้วสุดท้าย นางก็เลือกบทกวีของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งดูจะปลอดภัยที่สุด
“ลมแลฝนพาวสันต์หวนมาหา
ท้องนภาหิมะโปรยรับวสันต์
หุบเขาล้วนน้ำแข็งเกาะผาสูงชัน
กิ่งพืชพรรณบุปผาตระการตา
ความงามใดไม่อาจข่มยามวสันต์
มาเยือนพลันทำให้โลกหรรษา
รอจนทั่วเนินเขาแต้มบุปผา
ชมผกายลพืชผลนานาพรรณ”
กำลังหลงคิดว่าข้าละเมิดลิขสิทธิ์บทกวี ‘ซิ่นหยวนวสันต์บทชมหิมะ1’ อยู่ใช่หรือไม่ ? ต้องบอกว่าคิดผิดแล้วเพราะบทกวีของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่บทนี้เอ่ยถึงประเทศชาติและใช้ถ้อยคำที่ชัดเจนตรงไปตรงมา เด็กสาวชนบทคนหนึ่งจะคิดออกบ้างก็ไม่แปลก ?
นอกจากนี้เนื้อหาของบทกวีฉบับเต็มยังเอ่ยถึงบันทึกฉินหวางฮั่นอู่2 พูดถึงฮ่องเต้ถังไท่จง ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีบุคคลเหล่านั้นเลย แต่แม้จะมีแล้วพวกเขาจะลดตัวลงมาถือสาเด็กสาวบ้านนอกอย่างนางหรือ ? หากบังเอิญลอยไปถึงพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ นางก็จะไม่เอ่ยถึงกวีบทเต็มให้โดนจับผิดว่าทะเยอทะยานจนคิดก่อกบฏเอาหรอก
หลินเว่ยเว่ยลูบคอตนเองเพราะคิดว่ายังไม่แกร่งพอ อย่างไรก็ควรเจียมเนื้อเจียมตัว อย่าริอ่านจะเป็น ‘ผู้มีชื่อเสียง’ อะไรนั่นเลย ! สุดท้ายก็ท่องและดัดแปลงบทกวีของบุรุษผู้ยิ่งใหญ่และนักปราชญ์ชื่อดังอย่างรอบคอบกันเถิด !
ในยุคนี้การสามารถประพันธ์กวีได้ย่อมเป็นเรื่องยอดเยี่ยม เป็นไปตามคาดคือพอนางท่องกวีซินหยวนวสันต์บทชมหิมะฉบับปู่ซ่วนจื่อ (นักพยากรณ์) ผลงานของลู่โหยวออกมาแล้วก็กลายเป็นจุดสนใจทันที แม้แต่บัณฑิตน้อยก็ยังต้องหันมามองนาง…เป็นอย่างไรบ้าง ? คู่หมั้นของเจ้าไม่ทำให้ขายหน้าใช่หรือไม่ ? กวีที่นางต้องนั่งท่องจนหลังขดหลังแข็งในชาติก่อน อย่างไรก็ยังพอมีประโยชน์เอามาข่มคนอื่นได้บ้าง !
“กวีดี ! ท่อนแรกสื่อถึงกิ่งเหมยงามตระหง่านต้านลมหนาวกลางหิมะ ท่องล่างสื่อถึงดอกเหมยมีจิตใจอันสูงส่งไร้ความเห็นแก่ตัวและความงดงามของเกียรติยศศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่ สื่อออกมาโดยวิธีชั้นสูง” บุรุษวัยกลางคนผู้มีความหล่อเหลาและสง่างาม อายุประมาณสี่สิบปีได้ปรบมือพลางเอ่ยชมนางว่า “วิเศษมาก เป็นกวีที่ดีจริง ๆ ! ”
หลินเว่ยเว่ยพูดกับอีกฝ่ายด้วยความถ่อมตน “ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว ! ใช่ว่าข้ามีเจตนาจะโอ้อวด ทว่ามีคนตาต่ำเอาแต่เหยียดคนอื่นอยู่ หากการจะเข้าไปในคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงยังมีข้อกำหนดด้านรูปลักษณ์และประเมินคนจากเครื่องแต่งกาย เช่นนั้น…ไม่เข้ายังจะดีกว่า ! ” หลังจากพูดจบ มุมปากของนางก็ยกยิ้มอย่างเย็นชา
บุรุษวัยกลางคนรูปงามขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปต่อว่าบ่าวรับใช้หน้าประตูที่เข้ามาขวางนางไว้ทันที “ใครมอบอำนาจแก่เจ้าว่าสามารถไล่แขกที่มาร่วมงานแข่งขันกวีได้ ? ไปรับเงินเดือนที่ฝ่ายบัญชีแล้วไปหาที่อื่นอยู่เถิด คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงแห่งนี้เลี้ยงคนอย่างเจ้าไม่ไหว”
แท้จริงชายวัยกลางคนท่านนี้ก็คือเจ้าของคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนง หลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคักแล้วพูดกับชายผู้แสนอ่อนโยนที่เอ่ยปากขอให้นางประพันธ์กวีว่า “ตอนนี้ข้ามีสิทธิ์เข้าไปได้หรือยัง ? ”
บุรุษน้ำเสียงอบอุ่นคนนั้นรีบโค้งคารวะ “แน่นอน เชิญ…”
หลินเว่ยเว่ยหยิบมูสเค้กบลูเบอร์รี่ออกจากกล่องอาหารหนึ่งกล่องแล้วยื่นให้ชายวัยกลางคนที่รูปงาม “ขนมจากทางบ้านข้าเอง หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ…”
อีกฝ่ายรับขนมมาถือพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ถือกล่องอาหารเดินตามพวกบัณฑิตน้อยเข้าไปด้านในคฤหาสน์อย่างมีความสุข อารมณ์ของนางไม่เสียเพราะบ่าวรับใช้คนนั้นแต่อย่างใด
หลิ่วจงเทียนนึกถึงกวีซินหยวนวสันต์บทชมหิมะฉบับปู่ซ่วนจื่อที่หลินเว่ยเว่ยพูดออกมา เขาหันไปมองนางด้วยความชื่นชม “คาดไม่ถึงว่าหลินกู่เหนียงจะซุกซ่อนความสามารถไว้อีก ถึงขั้นประพันธ์บทกวีอันทรงพลังขนาดนี้ออกมาได้”
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะฮ่าฮ่า “ช่วยไม่ได้นี่นา เดิมทีอยากซ่อนความสามารถของตนเอาไว้ แต่ตอนนี้จะให้ข้าหลบอยู่ในมุมมืดไม่ได้แล้ว…”
ทว่าหลินจื่อเหยียนรู้ ‘ความสามารถ’ ของพี่รองดี แค่อักษรตัวเดียวยังจำไม่ได้ เขียนทีหนึ่งก็ขาด ๆ เกิน ๆ แล้วจะประพันธ์กวีที่ดีขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร เขาหันไปมองท่าทางภาคภูมิใจของพี่สาวแล้วมุ่ยปาก “ท่านเอาผลงานคนอื่นมาสร้างหน้าสร้างตาให้ตัวเอง จิตสำนึกของท่านไม่รู้สึกปวดร้าวบ้างหรือ ? ”
ตอนพูดว่า ‘ผลงานคนอื่น’ เขายังหันไปมองเจียงโม่หานเป็นพิเศษ
เจียงโม่หาน “…” มองข้าทำไม ? ไม่ใช่ผลงานของข้าสักหน่อย !
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะคิกคักจนเผยให้เห็นฟันขาวทั้งสองแถว “เจ้าก็เห็นแล้วว่าในสถานการณ์แบบนั้น ถ้าข้าไม่โอ้อวดความสามารถให้เห็นบ้าง ก็น่าอายไม่ใช่หรือ ? ”
“พี่รอง ท่านอย่าเอ่ยถึงความสามารถอะไรนั่นเลย ต่อหน้าคนกันเองจะไม่มีใครรู้จักใครบ้างเล่า ? ” หลินจื่อเหยียนบ่นอุบ
แม้มือทั้งสองข้างจะถือกล่องอาหารไว้ แต่ก็ใช่ว่าหลินเว่ยเว่ยจะสั่งสอนน้องชายไม่ได้ “เจ้าเด็กนี่ ! รู้ไหมว่าการมีคู่หมั้นที่โดดเด่นก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง ? เจ้าเชื่อไหมว่าคู่หมั้นของข้ามีความสามารถมากพอที่จะบดขยี้เจ้าได้ ! ”
“เชื่อ เชื่อสิ ! ” หลินจื่อเหยียนกลอกตาอย่างแรง…จริง ๆ เลยนะ เอะอะก็อวดคู่หมั้นของตน หลงกันเสียเหลือเกิน !
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หันไปถามคู่หมั้นหนุ่มด้วยรอยยิ้ม “บัณฑิตน้อย ท่านลุงคนเมื่อครู่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงใช่หรือไม่ ? ตอนเป็นหนุ่มจะต้องหล่อมาก ๆ แน่นอน บุคลิกก็ดีแถมยังมีกลิ่นอายของผู้ดี เหมือนว่า…เป็นชนชั้นสูงที่ตกยากอย่างไรอย่างนั้น เจ้าว่าเขาจะเป็นบุตรตระกูลสูงศักดิ์ในราชวงศ์ก่อนแล้วมาหลบซ่อนตัวในแดนเหนือตอนเกิดสงครามหรือเปล่า ? ”
[i]
1 ซิ่นหยวนวสันต์บทชมหิมะ ผลงานของเหมาเจ๋อตง แสดงถึงความทะเยอทะยานอย่างตรงไปตรงมาจนเกิดความปั่นป่วนในหมู่ปัญญาชนชาวจีนเลยทีเดียว
2 ฉินหวางฮั่นอู่ กล่าวถึงความสำเร็จทั้งหมดของฮ่องเต้ฮั่นอู่ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาและสร้างความมั่นคงแก่ราชวงศ์ฮั่นทั้งยังมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในประวัติศาสตร์จีนยุคต่อมา