ตอนที่ 400 บาปกรรม บาปกรรม
เจียงโม่หานพูดขึ้นมาเบา ๆ “ใครบอกว่าสตรีจะได้รับการเชิดชูวีรกรรมไม่ได้ ? นึกถึงหมินหวางเฟยและองค์ฮองเฮาในเวลานั้นก็เป็นวีรสตรีผู้อาจหาญที่ช่วยเหลือองค์ฮ่องเต้ให้เอาชนะศัตรูได้ตั้งมากมาย หมินหวางเฟยได้รับสมญานามว่า ‘เทพสงครามแห่งอู๋โจว’ ไปครอง แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องยกย่องนางว่าเป็น ‘แม่ทัพหญิงเอ๋อร์เหมย’ ในฐานะบุตรชายของนางแล้ว หมินอ๋องซื่อจื่อไม่ควรดูถูกสตรีขอรับ”
รอยยิ้มตรงมุมปากของหมินอ๋องซื่อจื่อจางหายไปโดยพลัน เขาพูดพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน “ข้าไม่ได้ดูถูกสตรี เจ้าได้เห็นแค่ความสำเร็จของหมินหวางเฟยใน ‘สงครามแห่งอู๋โจว’ ไม่ได้เห็นสิ่งที่นางต้องสูญเสียไป…ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์คับขัน ก็ไม่มีใครอยากให้ลูกเมียตัวเองไปเผชิญหน้ากับคมดาบหรอก ! ”
เพราะได้เห็นร่างกายของหมู่เฟยเต็มไปด้วยบาดแผลและความร้ายแรงของการสูญเสียบุตร เขาจึงไม่อยากให้สตรีคนอื่นเป็นเหมือนหมู่เฟยที่ต้องใช้ร่างกายอ่อนแอดิ้นรนภายใต้ห่าฝนธนู…
หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นบรรยากาศที่ผิดปกติของทั้งสองคน นางไม่เข้าใจสักเท่าไรว่าเหตุใดบัณฑิตน้อยถึงไม่ค่อยชอบหมินอ๋องซื่อจื่อและชอบหาเรื่องอยู่เรื่อย หรือกลัวว่านางจะได้รับคำชมแล้วฮึกเหิมจนวิ่งออกไปร่วมต่อสู้กับพวกทหาร ?
ล้อเล่นน่า ! จะเป็นไปได้อย่างไร ! นางไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนสักหน่อย นางก็แค่เด็กสาวบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่งที่อยากใช้ความสามารถสร้างพืชผลจนให้ผลผลิตสูงและในเวลาเดียวกันก็ทำให้มีโชคลาภเข้ามามากกว่าเดิม นี่ต่างหากถึงจะเป็นเป้าหมายของนาง
เมื่อครู่ก็แค่ทนเห็นโจรโฉดตงหูเข่นฆ่าเพื่อนร่วมแผ่นดินไม่ไหวเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าฝีมือพุ่งแหลนในชาติที่แล้วของนางจะไม่ตกเลย !
“บัณฑิตน้อย เมื่อครู่ข้าร้ายกาจหรือไม่ ! ซัดออกไปโดนทุกดอก ! ” จู่ ๆ หลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมา ฮ่าฮ่า ! นี่ไม่ต่างจากการยิงธนูแบบไร้คันศร ไม่ต่างอะไรจากนักแม่นปืน ! หากนางเป็นนายพรานก็ต้องเป็นนายพรานฝีมือร้ายกาจที่สุดของที่สุด !
“ร้ายกาจ ! ” คราวนี้เจียงโม่หานไม่ได้ใช้น้ำเสียงแบบขอไปที แต่ชมนางอย่างให้เกียรติ “หากเจ้าเรียนยิงธนูก็จะต้องเป็นนักธนูที่เก่งกาจแน่นอน ! ”
พอหมินอ๋องซื่อจื่อได้ยินแบบนั้นก็โยนคันธนูที่อยู่ด้านหลังมาทางนี้ “ยกให้เจ้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยรับไว้ เมื่อลองดึงสายธนูเบา ๆ แล้วก็โยนกลับไปอีกครั้ง “เบาเกินไปเจ้าค่ะ ข้ากลัวว่าจะควบคุมแรงไม่ดีแล้วทำคันธนูของท่านหัก ! อีกอย่างคือคันธนูนี้ยังต้องเสียเวลาดึงสายอีก ข้าใช้มือเร็วกว่าและง่ายกว่าเจ้าค่ะ”
ขณะพูด นางก็หยิบลูกธนูของหมินอ๋องซื่อจื่อแล้วโยนมันขึ้นฟ้า ผ่านไปไม่นานอินทรีทองตัวหนึ่งก็หล่นลงมาตกที่ข้างเท้าของพวกเขา อินทรีทองมีดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง มันดิ้นไปมาที่พื้นสองสามหน
หลินเว่ยเว่ยยกมือปิดปากอย่างตกใจ นี่คือสัตว์สงวนอันดับหนึ่งของชาติที่แล้วเชียวนะ หากล่ามาก็จะต้องมีโทษจำคุกสามปีอะไรทำนองนั้น…บาปกรรม บาปกรรม
“ขอโทษด้วย ข้าโง่เง่าเอง ข้าแค่ลองซัดลูกศรเล่น ๆ ก็ทำให้เจ้าบาดเจ็บเสียได้ ถ้าอย่างไร…ข้าช่วยรักษาให้เจ้าดีหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยก้มตัวอุ้มอินทรีทองที่กำลังบาดเจ็บขึ้นมา
พี่หลี่อดไม่ได้ที่จะเตือน “หลินกู่เหนียง เจ้าอินทรีทองพวกนี้ดุร้ายมาก ระวังจะโดนมันจิก…”
หลินเว่ยเว่ยจับอุ้งเท้าทั้งสองของอินทรีทองด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็จับคอมันไว้เหมือนการสกัดจุดนั่นเอง ไม่ว่ามันพยายามกระพือปีกแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
“อ้วนมากด้วย ไม่รู้ว่าเนื้ออินทรีทองจะอร่อยหรือเปล่า…” หลินเว่ยเว่ยพึมพำ
ทันใดนั้นหลินจื่อเหยียนก็เข้ามาร่วมวงทันที “เที่ยงนี้กินอินทรีทองย่างดีหรือไม่ ? ” เมื่อครู่เพิ่งเผชิญการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวมา มีเพียงอาหารเลิศรสเท่านั้นถึงจะปลอบใจเยาวชนอย่างเขาได้ การเดินทางมาชายแดนครั้งนี้ทำให้เขาจดจำไปอีกนานว่านอกจากชีวิตคนเราจะมีการสอบจอหงวนและอาหารเลิศรสแล้วยังมีการปล้นสะดม การฆ่าฟันกันอยู่อีก…
ท้ายที่สุดมื้อเที่ยงก็ไม่ได้ย่างอินทรีทอง ปีกนกถูกห่อเหมือนมัมมี่ กรงเล็บทั้งสองข้างก็ถูกมัดไว้และตัวนกก็นอนอยู่ในมือหลินเว่ยเว่ยด้วยความไม่เต็มใจ
ตอนแรกอินทรีทองที่บาดเจ็บยังคิดจะดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้ายโดยการใช้จะงอยปากงับหลินเว่ยเว่ย แต่หลังจากโดนนางจับปากให้เบี่ยงออกไปแล้วมันก็รู้ว่าทุกอย่างที่ทำล้วนเสียแรงเปล่า มันจึงค่อยทำตัวดีขึ้นให้ตายใจแล้วเริ่มต่อต้านใหม่
ทว่าพอหลินเว่ยเว่ยป้อนเนื้อกระต่ายสองสามชิ้นและน้ำแร่วิญญาณสองสามอึกให้มันแล้ว เจ้าอินทรีทองก็ยอมแพ้ที่จะต่อต้าน มันอ้าปากเพื่อตั้งหน้าตั้งตารอรับอาหารอย่างเดียว
หลินเว่ยเว่ยเห็นมันเชื่องขึ้นแล้ว จึงปล่อยกรงเล็บทั้งสองของมันแล้ววางมันไว้บนไหล่ของตน…ฮะ ฮ่า ฮ่า ถ้าปล่อยเจ้าดำของบ้านนางออกมา ก็จะไม่ได้เป็น ‘ซ้ายสุนัข ขวาอินทรี สวมหมวกหลากสี เสื้อคลุมเตียวผี (ขนมิงค์) พุ่งทะยานออกไปท่ามกลางสายลม’ หรอกหรือ ทั้งน่าเกรงขามและสง่างาม ! แม้ว่า…ปีกของเจ้าอินทรีทองจะถูกห่อเป็นเกี๊ยว แต่มันก็ไม่ได้ลดบารมีของนางลงแม้แต่น้อย
“เถ้าแก่ เตียวผีผืนนี้ขายอย่างไร ? ” แม้แต่เสียงของนางก็ยังฟังแล้วแข็งกระด้างขึ้นเล็กน้อย
“ไอหยา หลินกู่เหนียง เป็นท่านเองหรือ ! ชอบผืนไหนก็หยิบไปได้เลย ไม่ต้องจ่ายเงิน ! ” คนขายหนังสัตว์เป็นนายพรานที่นางช่วยชีวิตเอาไว้ บนแผงของเขามีหนังสัตว์คุณภาพระดับต่ำ กลางและสูงครบครัน หลินเว่ยเว่ยชอบขนมิงค์ชั้นดีที่มีสีขาวราวหิมะ
หลินเว่ยเว่ยวางขนมิงค์ลงด้วยความเกรงใจ “แบบนั้น…จะได้อย่างไร ? ขนสัตว์ที่ข้าชอบไม่ได้ราคาถูกหรอกนะ…”
นายพรานคลี่ยิ้มแล้วยัดเตียวผีสีขาวราวหิมะนั้นใส่มือนาง “มีอะไรต้องเกรงใจ ? ถ้าไม่ได้ท่านซัดลูกศรไม้ไผ่ดอกนั้นมา ข้าก็กลายเป็นซากศพในมือโจรตงหูไปนานแล้ว เจ้าเตียวผีพวกนี้ก็ไม่รู้ว่าจะตกไปเป็นของใคร บ้านข้าก็มีข้าคนเดียวที่หาเลี้ยง ท่านไม่ได้ช่วยแค่ข้าเอาไว้แต่ยังช่วยครอบครัวข้าทั้งหมด หรือชีวิตทั้งครอบครัวข้าจะมีราคาไม่เท่าเตียวผีผืนเดียว ? ”
ทันใดนั้นหลังมือของนายพรานก็ถูกอินทรีทองบนไหล่ของหลินเว่ยเว่ยจิก โชคดีที่เขามีประสบการณ์ล่าสัตว์มานานหลายปีจึงตอบสนองเร็วและหดมือกลับทันเวลา ไม่อย่างนั้นได้ถูกจิกเป็นรูแน่
“โยว ! นกอินทรีที่หลินกู่เหนียงเลี้ยงไว้ไม่เลวเลยทีเดียว ! ” นายพรานอดเอ่ยชมไม่ได้
หลินเว่ยเว่ยจิ้มหัวอินทรีทอง ก่อนจะดุมันว่า “ห้ามขยับปากมั่วซั่ว ! วันนี้อดปลาแห้งไปเลย ! ” เฮอะ…เจ้าไม่ได้กำลังเลี้ยงแมวอยู่นะ ใช้ปลาแห้งมาล่ออินทรีทองตัวหนึ่ง ไม่มีสมองไปหน่อยกระมัง ?
นางพูดกับนายพรานต่อ “ต้องขอโทษด้วย ข้าเพิ่งได้มา ยังฝึกมันไม่เชื่อง ทำให้ท่านบาดเจ็บหรือเปล่า ? ”
นายพรานพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ ! เลี้ยงอินทรีทองไม่เหมือนเลี้ยงสัตว์ทั่วไป ต้องหลงเหลือความดุร้ายไว้บ้างเพราะในทุ่งหญ้ามีอินทรีทองที่สามารถล่าละมั่งกับกระต่ายหิมะได้ดีเชียวล่ะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยหยิบตั๋วเงินออกมาแล้วแอบวางไว้ที่แผงนายพรานคนนี้เงียบ ๆ นางถามราคาขนสัตว์ของตลาดนี้มาหมดแล้วจึงจ่ายเป็นตั๋วแลกเงินที่ให้ราคายุติธรรมมากแก่เขา
เมื่อรอให้นางเดินออกไปไกลแล้ว นายพรานกำลังจัดระเบียบแผงขนสัตว์ เขาถึงได้พบตั๋วเงินใบนั้น ผู้มีพระคุณนี่ก็จริง ๆ เลย…
หลินเว่ยเว่ยเดินเล่นมาจนถึงแผงของชายโง่สองคน โสมและเขากวางที่พวกเขานำมามีคุณภาพไม่เลว แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย ในห้วงมิติน้ำพุวิญญาณนั้น หลินเว่ยเว่ยเลี้ยงกวางไว้สองสามตัวและนางจะเข้าไปตัดเขามันเป็นระยะ ดังนั้นจึงไม่ขาดแคลนสิ่งนี้ โสมอายุมากกว่าร้อยปีสองต้นที่ขุดได้ในหุบเขาก็ยังพอมีใช้อยู่ นางจึงไม่ได้หยุดอยู่ที่แผงนาน
“ฉาก่อน กู่เหนียง ! ” แผงของหรูเอ่อร์ฉามีคนค่อนข้างหนาตา เนื่องจากพวกสมุนไพรล้ำค่าเป็นที่นิยมของทุกท้องถิ่น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงไข่มุกน้ำจืดอันเป็นที่โปรดปรานของเหล่าสตรีชั้นสูงเลย แต่น่าเสียดายที่ใบชา เกลือและธัญพืชที่เขาต้องการแลกกลับมีปริมาณจำกัดในตลาดการค้าข้ามแขตแดน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นการค้าของเขาก็ค่อนข้างรุ่งเรืองในตลาดใหญ่ประจำปีแห่งนี้