ตอนที่ 415 หยานจิงหยูเท่ากับปลาพระจันทร์?
หลินจื่อเหยียนพับแขนเสื้อขึ้น “พี่รอง ยังมีของอะไรต้องเตรียมอีกหรือไม่ ? ยกให้เป็นหน้าที่พวกเราเถิด ! ”
เมิ่งจิ่งหงพยักหน้า “ใช่ ใช่ ! อยากให้ช่วยอะไร หลินกู่เหนียงพูดได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ! ”
หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างไม่เกรงใจจริง ๆ “ถ้าเช่นนั้นในบรรดาพวกท่านมีใครจะสับกระเทียม ยังมีผักเหล่านั้นอีก ต้องล้างให้สะอาด มันฝรั่งต้องปอกเปลือก…หลินต้าฮว๋า เจ้าเอาเนื้อปลาที่ข้าเตรียมไว้ไปกวน ข้าจะทำลูกชิ้นปลา…”
หยานจิงหยูมองเหตุการณ์ตรงหน้า อืม นางไม่เกรงใจจริง ๆ แต่ละคนแทบจะมีหน้าที่ของตนหมดแล้ว เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าจะว่างอยู่อย่างนี้คงไม่ค่อยเหมาะสม “แล้วข้าล่ะ ? ข้าต้องทำอะไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด ก่อนจะนำมีดในมือยัดใส่มือเขา “สับหมูเป็นหรือเปล่า ? พอสับหมูพวกนี้เสร็จแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะเอาไปทำลูกชิ้นหมูผักชีและเกี๊ยวไข่ ! ”
หลินจื่อเหยียนถืออ่างไว้ในอ้อมแขนแล้วกวนเนื้อปลาไปในทิศทางเดียวกัน หลังได้ยินแบบนั้นเขาก็ฉีกยิ้มทันที “วันนี้มีทั้งลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นหมูแล้วยังมีเกี๊ยวไข่อีก อลังการสุด ๆ ไปเลย พี่หยาน ท่านมีลาภปากแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยนำเนื้อแกะและเนื้อกวางกึ่งแช่แข็งออกมา จากนั้นก็เริ่มแล่เป็นชิ้นบาง ๆ อย่างรวดเร็ว เพราะเด็กพวกนี้กินจุ นางจึงต้องเตรียมเนื้อไว้ให้มากพอ แต่ละเนื้อถูกแล่เตรียมไว้ประมาณ 5 ชั่ง…การกินหม้อไฟแบบไม่กังวลเรื่องปริมาณเนื้อ เป็นอะไรที่สุขสุดยอด !
เจียงโม่หานเข้ามาพร้อมน้ำมันงาและซอสงา หลินจื่อเหยียนรีบเข้าไปหาเขาด้วยความดีใจและรายงานผลสอบ เจียงโม่หานพยักหน้าแล้วตอบสั้น ๆ ว่า “อืม ไม่เลว ! ”
หลินจื่อเหยียนดูตื่นเต้นกว่าเดิม “เวลานี้ของปีก่อน ข้ายังไม่กล้าคิดเลยว่าหนึ่งปีต่อมาจะสอบบัณฑิตถงเซิงได้ ! ตอนนี้รู้สึกราวกับฝันไป ! ”
เจียงโม่หานเหลือบมองเขา “สอบถงเซิงติดก็พอใจแล้วหรือ ? ไม่ได้เรื่อง ! ”
หลินจื่อเหยียนทำตัวเหมือนลูกสุนัขขี้อ้อนขึ้นมาทันที “พี่เขยรอง ท่านหมายความว่า…ข้ายังมีหวังที่จะสอบซิ่วไฉได้ด้วยหรือ ? ”
เจียงโม่หานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “มั่นใจในตัวเองหน่อย ! ”
หลินจื่อเหยียนมีแรงกวนเนื้อปลาขึ้นมาทันที “พี่เขยรองเชื่อมั่นในตัวข้า เช่นนั้นข้าก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถ ! ” การสอบซิ่วไฉเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยกล้านึกฝันมาก่อน ในเมื่อพี่เขยรองพูดถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็จะลองพยายามดูสักครั้ง !
เจียงโม่หานวางของในมือลงแล้วเดินเข้าไปหาหยานจิงหยูที่กำลังกัดฟันสับหมูประหนึ่งว่ามีความแค้นต่อกัน “มา ! ข้าทำเอง ! ”
เมื่อรับมีดมาจากหยานจิงหยูแล้ว เขาก็เริ่มแสดงฝีมือสับหมูอันแสนช่ำชอง…ด้วยวิธีสับหมูของเจ้าปลาพระจันทร์ ( มูนฟิช ) คืนนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้กินลูกชิ้นหมูผักชี !
หยานจิงหยูยืนดูอยู่ด้านข้างและพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมว่า “น้องเจียงไม่เพียงมีทักษะการเรียนเป็นเลิศ แต่ทักษะการใช้มีดก็ยังดูชำนาญมากด้วย ! ”
“…” มีอะไรให้น่าชื่นชม ? ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากมีบ่าวรับใช้รายล้อมและโยนทุกอย่างให้ทำ…แต่สภาพชีวิตไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้น !
เนื้อหมูถูกสับเรียบร้อยแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็แบ่งออกไปส่วนหนึ่ง นางใช้กระทะก้นแบนมาทำแผ่นเกี๊ยวไข่ ท่วงท่าการเคลื่อนไหวว่องไว ทุกอย่างเป็นจังหวะสอดคล้องพร้อมเกี๊ยวไข่สีเหลืองทองที่ค่อย ๆ ถูกวางในจาน แค่เกี๊ยวไข่นางก็ทำมากถึง 3 จาน ! อารมณ์ประมาณว่ากองเป็นเนินเขาขนาดเล็ก !
หม้อทองแดงขนาดใหญ่พิเศษถูกยกมาวางบนโต๊ะ ด้านล่างใส่ถ่านเข้าไป ส่วนด้านบนก็เทน้ำแกงใสและน้ำแกงหม่าล่าอย่างละช่อง ยังไม่ทันได้กินก็แทบหลงมัวเมาไปกับกลิ่นหอมอยู่แล้ว !
“มีน้ำจิ้มน้ำมันงากระเทียมสับกับน้ำจิ้มงาธรรมดาอยู่ ชอบอันไหนก็เลือกอันนั้น” ถือว่าหลินเว่ยเว่ยใส่ใจมาก เพราะเตรียมน้ำจิ้มไว้ให้เรียบร้อย
หยานจิงหยูเพิ่งเคยกินหม้อไฟแบบนี้ครั้งแรกจึงไม่รู้ว่าควรเลือกอะไรดี พอเห็นหลินเว่ยเว่ยเลือกน้ำจิ้มน้ำมันงากระเทียมสับ เขาจึงหยิบมาบ้าง เนื้อหนึ่งจานน้ำหนัก 2 ชั่งถูกใส่ลงในหม้อ มันต้องใช้เวลาต้มประมาณ 2 เฟินจง ( นาที ) หลินเว่ยเว่ยส่งตะเกียบให้เจียงโม่หาน ก่อนจะหันไปยื่นตะเกียบให้หยานจิงหยูที่ไม่เคยกินมาก่อน “คุณชายหยาน เนื้อกินได้แล้ว ไม่ต้องเกรงใจ เพราะไม่อย่างนั้นเนื้อจะโดนหมาป่าหิวโซฝูงนี้แย่งกินหมด ! ”
หยานจิงหยูแอบหันไปมอง ใช่ ! เจ้าเด็กไม่กี่คนนี้พยายามค้นหาเนื้อในหม้อสุดชีวิต สภาพเหมือนกำลังแย่งกันไม่ผิดเพี้ยน เพียงชั่วพริบตาเดียวเนื้อในหม้อก็…ไม่เหลือแล้ว ! หมดแล้วหรือ ? เพิ่งผ่านไปเท่าไรเอง เนื้อ 2 ชั่งก็ไม่เหลือสักชิ้นแล้ว ?
หลินจื่อเหยียนใส่ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นหมูผักชีและเนื้อลงไปอีกจาน จากนั้นก็กลับมานั่งกินเนื้อในชามของตนอย่างใจเย็น เขาเริ่มสอนประสบการณ์การกินหม้อไฟให้หยานจิงหยู “ตาต้องแม่น มือต้องไว อย่าลังเลเด็ดขาด ! ”
พอเนื้อจานนี้สุกแล้ว หยานจิงหยูก็ไม่แสร้งทำเป็นคุณชายผู้แสนสุภาพอีกต่อไป เขาพับแขนเสื้อขึ้นแล้วคีบเนื้อขึ้นมาตะเกียบใหญ่ ๆ ก่อนจะวางลงในชามตรงหน้าแล้วใช้ช้อนตักลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นหมูผักชีมาอีกหลายลูกจนแทบจะไม่มีที่ว่างในชาม เขาจึงเริ่มก้มหน้าก้มตากิน
“แค่ก แค่ก ! ” รสชาติเผ็ดชาพุ่งเข้าสู่ลำคอ หยานจิงหยูไม่ค่อยชินจึงสำลักอยู่พักหนึ่ง หลินจื่อเหยียนรีบรินน้ำเย็นมาวางข้างมือเขา พอดื่มน้ำเย็นไปสองสามอึกเพื่อกลบความแสบร้อนในลำคอแล้วก็เริ่มลิ้มรสชาติอย่างไม่เกรงกลัว…หลังจากความรู้สึกเผ็ดร้อนหายไปแล้วก็เหลือเพียงกลิ่นหอมที่หาตัวจับได้ยาก ขอใช้แปดตัวอักษรมาอธิบายว่า…ชาเผ็ดร้อนหอม สดใหม่ซับซ้อน !
หลินจื่อเหยียนแนะนำเขาอีก “พี่หยาน หากท่านกินเผ็ดไม่ได้ก็กินแบบน้ำแกงใสที่เคี่ยวมาจากเนื้อไก่ติดกระดูกและส่วนซี่โครงไก่ เคี่ยวไฟอ่อนและคอยตักฟองออกจึงได้น้ำแกงที่ใสแบบนี้ กินไปแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นมากเลย ! ”
หยานจิงหยูกินเผ็ดไม่ค่อยได้จริง ๆ หลังจากกินเนื้อและลูกชิ้นในชามหมดแล้ว เขาก็ลองกินแบบต้มในช่องน้ำแกงใสบ้าง รสชาติดีมาก พิเศษไม่เหมือนใคร !
หลินจื่อเหยียนยังแนะนำเขาต่อ “ท่านลองชิมผ้าขี้ริ้ว แค่จุ่ม ‘ขึ้นลงเจ็ดแปดครั้ง’ ก็กินได้แล้ว รสชาติกรุบกรอบอร่อยมาก แล้วก็ยังมีหลอดเลือดใหญ่ กระเพาะ…เมื่อก่อนพี่หยานคงไม่เคยกินใช่หรือเปล่า ? ”
ใช่ ! ในบ้านของชนชั้นสูงจะมีการใช้เครื่องในสัตว์มาทำอาหารน้อยมาก หยานจิงหยูเห็นทุกคนกินอย่างเอร็ดอร่อยจึงทำใจคีบมาลองบ้าง ทันใดนั้นเขาก็หลงรักในรสชาตินี้…แท้จริงวัตถุดิบที่โดนมองข้ามก็สร้างรสสัมผัสสุดแสนอร่อยได้เช่นกัน !
หยานจิงหยูเริ่มกินเป็นแล้ว ! สองครั้งที่มากินอาหารในบ้านเช่าหลังเล็ก ๆ แห่งนี้ เขาจะกินได้อย่างมีความสุขเสมอ หากท่านพ่อรู้เข้าล่ะก็ จะบ่นเขาว่าอย่างไรบ้าง ! ‘ยับยั้งชั่งใจ’ คำนี้สลักอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ แต่เมื่อเจอสหายกลุ่มนี้และฝีมือทำอาหารของหลินกู่เหนียงแล้ว เขาก็โยนมันทิ้ง ในบรรยากาศแบบนี้ ช่างยากที่จะไม่ทำตัวให้กลมกลืน…
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือหลังกินหม้อไฟเสร็จแล้ว ผู้ชายไม่กี่คนนี้ก็เริ่มทำงานกันอย่างหัวหมุน ต้มน้ำร้อน ล้างจาน เก็บโต๊ะและกวาดพื้น…ท่าทางชำนาญเหมือนว่าทำมาแล้วหลายครั้ง ส่วนแม่ครัวในวันนี้…หลินกู่เหนียงกลับกลายเป็นเจ้านายที่นั่งจิบชาอย่างว่างงานอยู่ในห้อง
หยานจิงหยูถามเสียงอ่อน “เอ่อ คือ…มีสิ่งใดให้ข้าทำหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยยิ้มก่อนจะรินชาให้เขา “ไม่ต้องหรอก ท่านเป็นแขก จะให้มาทำงานได้อย่างไร ? ”
หยานจิงหยูหันไปมองเมิ่งจิ่งหงกับหลิ่วจงเทียน เมิ่งจิ่งหงเข้าใจความหมายของเขาจึงเข้ามาพูดพร้อมรอยยิ้ม “พวกเราเป็นเสมือนคนบ้านเดียวกันแล้ว ไม่แบ่งข้าแบ่งเจ้า พี่หยาน พอนานวันเข้า ท่านก็จะเข้ากับพวกเราได้เอง ! ”
“เอ่อ คือ…อย่างไรข้าไปช่วยดีกว่า ! ” หยานจิงหยูไม่อยากนั่งอยู่เฉย ๆ เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ลานบ้าน จากนั้นย่อตัวนั่งยอง ๆ ข้างอ่าง แล้วรับฟองน้ำล้างจานมาจากหลินจื่อเหยียน หลังจากนั้นก็รับหน้าที่ล้างคราบมันเยิ้มออกจากตะเกียบและจานชาม