ตอนที่ 421 ครอบครัวเดียวสอบซิ่วไฉได้สามคน
เจียงโม่หานก็คิดว่าตัวเองบ้ามาก ! อาจารย์ใหญ่ซานอุตส่าห์แนะนำให้ได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาซานหลานทั้งที แต่ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของตนก็คือ…อาหารที่สำนักศึกษาซานหลานเป็นอย่างไร ? จะเทียบอาหารฝีมือของหลินเว่ยเว่ยได้หรือเปล่า ? จากนั้นเขาค่อยนึกได้ว่าระดับความรู้ของตนในยามนี้ไม่จำเป็นต้องเพิ่มพูนอีกแล้ว ดังนั้นเขาจะเสียเวลาเสียแรงไปกับการเข้าสำนักศึกษาอีกทำไม ?
เจียงโม่หานเหลือบมองหลินจื่อเหยียนด้วยแววตาเรียบเฉยแล้วกล่าวว่า “ความรู้และการอบรมสั่งสอนศิษย์ของอาจารย์ที่สำนักศึกษาซานหลานเทียบกับผู้อาวุโสเซวียได้หรือ ? ”
หลินจื่อเหยียนตีหน้าผากตนเองดัง ป้าบ ทันที ‘จริงสิ ! มีผู้มากความรู้และความสามารถเช่นหนึ่งในปราชญ์ผู้นำแห่งลัทธิขงจื๊ออยู่ในเขตเริ่นอันทั้งคน เหตุใดต้องลำบากไปร่ำเรียนยังที่ห่างไกลจากบ้านอีก ? ’
เขาหัวเราะพลางกล่าวว่า “พี่เขยรอง ท่านตั้งใจจะคำนับผู้อาวุโสเซวียเป็นอาจารย์อย่างนั้นหรือ ? ”
เจียงโม่หานส่ายหน้าพลางตอบว่า “ผู้อาวุโสเซวียบอกแล้วว่าจะไม่รับลูกศิษย์สายตรงอีก”
หลินจื่อเหยียนได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าเสียดาย แต่หลังจากนั้นเขาก็คิดได้ว่าแม้จะไม่ได้เป็นลูกศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสเซวีย แต่หากได้รับคำชี้แนะเล็ก ๆ น้อย ๆ จากท่านก็ถือเป็นกำไรชีวิต ! น่าเสียดายที่ตนมีความรู้น้อยนิด ข้อสงสัยเหล่านั้นของตนก็ให้ศิษย์พี่เจียงตอบได้ หากนำไปถามผู้อาวุโสเซวียก็เกรงว่ามีแต่จะทำให้โดนหัวเราะเยาะ !
จากนั้นเจียงโม่หานได้ไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ฟ่านที่เพิ่งกลับมาจากเมืองจงโจวเช่นกัน อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะมองของขวัญแทนคำขอบคุณที่เจียงโม่หานนำมาให้ หลังจากเชื้อเชิญให้เจียงโม่หานนั่งลงแล้ว ท่านก็เอ่ยชื่นชมเป็นอันดับแรก “อาจารย์ได้อ่านกระดาษคำตอบของเจ้าแล้ว แม้ว่าช่วงนี้เจ้าจะไม่ได้เรียนอยู่ในสำนักศึกษาแต่ก็ไม่เคยทำตัวเกียจคร้าน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนอักษร การเขียนบทความ ความรู้และทฤษฎีเชิงนโยบายล้วนก้าวหน้าอย่างมาก ! หรือว่าได้อาจารย์ที่มีชื่อเสียงคอยชี้แนะ ? ”
เจียงโม่หานรู้ว่าอาจารย์ฟ่านเคารพนับถือผู้อาวุโสเซวียมาก หลังจากที่ผู้อาวุโสเซวียหายตัวไปก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูก ทั้งเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้พบผู้อาวุโสเซวียสักครั้ง ทว่าหากผู้อาวุโสเซวียไม่อนุญาตแล้ว เจียงโม่หานก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนของ ‘สหาย’ ให้ผู้อื่นได้รับรู้
“ศิษย์ได้พบอาวุโสผู้รอบรู้ท่านหนึ่ง คำชี้แนะของเขาให้ประโยชน์แก่ศิษย์มากมายขอรับ” เจียงโม่หานทำได้เพียงตอบแบบอ้อม ๆ
แต่ภายในระยะเวลาครึ่งปีกว่ามานี้ เจียงโม่หานก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด ทำให้ในใจของอาจารย์ฟ่านเกิดความรู้สึกประหลาดต่อลูกศิษย์คนนี้ไม่น้อย แต่ก็รู้ว่าอาจารย์อาวุโสผู้มีความรู้ความสามารถมักจะมีนิสัยไม่ชอบเปิดเผยตัวตน ดังนั้นจึงไม่ได้เอ่ยถามให้มากความ
อาจารย์ฟ่านมองไปยังลูกศิษย์ที่ไม่ว่าจะเป็นด้านความสง่าหรือบุคลิกก็ล้วนแปลกไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เขาจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “การสอบระดับเซียงชื่อที่จะจัดขึ้นในเดือนแปดนี้ โม่หาน เจ้ามีความมั่นใจมากน้อยเพียงใด ? ”
เจียงโม่หานยิ้มเล็กน้อยและตอบด้วยแววตาแน่วแน่ “ศิษย์จะทำอย่างสุดความสามารถแน่นอนขอรับ ! ”
อาจารย์ฟ่านได้ยินเช่นนั้นก็ยกมือลูบเคราพลางคลี่ยิ้มอย่างชื่นชม…
…
ในยามที่เจียงโม่หานไปคารวะอาจารย์ หลินเว่ยเว่ยไม่ได้ทำตัวเปล่าประโยชน์เช่นกัน นางไปที่ท่าเรือเขตเริ่นอันและได้เห็นว่าโกดังของตนมีผู้คนเข้าออกเป็นจำนวนมาก หลิวว่ายจื่อถือสมุดบัญชีแยกประเภทไว้ในมือหลายเล่ม ปากก็พูดอย่างเฉียบขาดว่า “ระวังหน่อย หากทำของชำรุดก็ต้องจ่ายเงินชดใช้ ! ”
เรียกได้ว่าตอนนี้เขาเป็นเหมือนผู้คุมท่าเรือเลยก็ว่าได้ ! เพราะผู้ที่มาขอเช่าโกดังเก็บสินค้าล้วนเป็นคนจากต่างถิ่น พวกเขามักไม่ใส่ใจและอาจสร้างความเสียหายให้ท่าเรือได้ บางครั้งก็รวบรวมของที่ต้องการขนส่งไม่ครบหรือไม่เรียบร้อย ทำให้เวลาล่าช้าเป็นวันซึ่งเวลาที่ล่าช้าไปนี้ก็ล้วนเป็นเงินเป็นทองทั้งสิ้น !
หลิวว่ายจื่อเป็นคนสมองไว สามารถพูดคุยกับบุคคลได้ทุกประเภท เขาสนิทสนมกับกลุ่มลูกหาบ เวลาที่เหล่าพ่อค้าเผชิญปัญหา เขาก็จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้โดยใช้งานลูกหาบเหล่านั้น แล้วหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ เพิ่มเติมระหว่างช่วยแก้ปัญหา หากพวกพ่อค้าพอใจก็จะให้เงินเพิ่ม ทำให้กระเป๋าของหลิวว่ายจื่อตุงขึ้นไม่น้อย !
ลูกหาบคนนั้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “วางใจได้ ! ข้าไม่ทำให้พี่หลิวขายหน้าหรอก ! ”
หลิวว่ายจื่อหัวเราะพลางพยักหน้ารับ พอหันกลับมาก็เห็นหลินเว่ยเว่ย จากเดิมที่เขามีสีหน้าเหมือนเถ้าแก่จอมเฮี้ยบก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ไอหยา นายหญิงกลับมาจากตัวเมืองแล้วหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เรียกนายหญิงทำไมเล่า ? ข้าฟังแล้วไม่ชินเอาเสียเลย เรียกข้าว่าหลานสาวหรือไม่ก็เสี่ยวเว่ยดีกว่า”
หลิวว่ายจื่อหัวเราะร่า “ข้าทำงานให้ ขณะที่เจ้าจ่ายเงินเดือนแก่ข้า หากไม่เรียกนายหญิงแล้วจะให้เรียกอะไร ? หลานสาว ว่าแต่ต้าฮว๋าและบัณฑิตเจียงสอบเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
หลินเว่ยเว่ยยิ้มหวานจนตาเป็นเสี้ยวพระจันทร์สุดน่ารัก “ตอนนี้บัณฑิตเจียงกลายเป็นบัณฑิตหลิ่นเซิงแล้ว เขาสอบได้อันดับที่หนึ่ง หลายคนจึงเรียกเขาว่าเจียงอั้นโฉ่ว ส่วนต้าฮว๋าและคู่หมั้นของพี่ใหญ่ก็สอบได้บัณฑิตซิ่วไฉเช่นกัน…”
“ไอหยา ! นี่เป็นเรื่องดี ! ครอบครัวเดียวสอบซิ่วไฉได้สามคน เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมมาก…” หลิวว่ายจื่อยิ้มกว้างกว่าเดิม…หมู่บ้านฉือหลี่โกวของตนมีบัณทิตซิ่วไฉแล้ว ทั้งยังสอบได้ปีเดียวสามคนรวดอีกด้วย…ลูกเขยที่แต่งเข้าหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็ถือเป็นคนในหมู่บ้านครึ่งหนึ่งแล้ว !
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะ “ ‘แผนการ’อะไรกัน ? ดูท่าช่วงนี้อาว่ายจื่อไปฟังนิทานที่โรงน้ำชาบ่อย ๆ ใช่หรือไม่ ? ”
หลิวว่ายจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้ไปบ่อยหรอก แค่ไปฟังยามว่างเป็นครั้งคราวเท่านั้น…จริงสิ ช่วงนี้กิจการโกดังสินค้าของเรากำลังไปได้สวย เสี่ยวเว่ย เจ้าดูสิ ยังไม่ทันส่งสินค้าชุดเก่าออกไป เจ้าใหม่ก็เอาของมาวางรอไว้แล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริง ข้างโกดังมีชายวัยกลางคนที่ดูคล้ายผู้ดูแลกำลังมองพวกลูกน้องขนย้ายสินค้าเข้ามาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเดินเข้ามาพลางเอ่ยกับหลิวว่ายจื่อว่า “ผู้ดูแลหลิว ประเดี๋ยวข้าต้องรบกวนให้ท่านหาลูกหาบมาช่วยขนย้ายสินค้า รับรองว่าข้าไม่ลืมแบ่งผลประโยชน์ให้ท่านแน่นอน…”
“ฟังผู้ดูแลหลี่พูดเข้าสิ…ท่านนี้คือกู่เหนียงผู้เป็นเจ้าของโกดังแห่งนี้ หากมีนางมาคอยสอดส่องดูแลด้วยตนเอง พวกข้าพี่น้องจะไม่ช่วยเหลือท่านได้อย่างไร ? นายหญิงของพวกข้าบอกไว้แล้วว่าลูกค้าคือพระเจ้า พวกข้าต้องจัดหาและอำนวยความสะดวกให้พวกท่านอย่างเต็มที่ ! ”
ผู้ดูแลหลี่หันไปคำนับหลินเว่ยเว่ยแล้วกล่าวว่า “กู่เหนียงจ้างผู้ดูแลได้ถูกคนแล้ว ! เขาเป็นผู้มีความสามารถ ทำให้ผู้เช่าโกดังเช่นพวกข้าสามารถส่งสินค้าไปต่างเมืองได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ! ”
“ไอหยา ขอบคุณพี่ชายที่ชื่นชมข้า หากนายหญิงเพิ่มเงินเดือนให้ ข้าก็จะเชิญท่านไปเลี้ยงอาหารที่โรงเตี๊ยมแน่นอน ! ” หลิวว่ายจื่อฉีกยิ้ม
จากประสบการณ์ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เขาพบเจอพ่อค้าหลากหลายรูปแบบจึงสามารถรับมือได้อย่างลื่นไหลมากขึ้นเรื่อย ๆ และด้วยนิสัยของเขาเองก็เรียกได้ว่างานประเภทนี้เป็นเรื่องง่ายดายราวกับปลาได้น้ำ
หลินเว่ยเว่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทำงานดีย่อมได้รับการขึ้นเงินเดือน ! พอผ่านไปสักระยะ รอให้เราไปเปิดร้านค้าที่อำเภอฝูอันก่อน ข้าคงต้องรบกวนอาว่ายจื่อช่วยสอนคนงานใหม่…”
“โอ้ ! หลานสาวเตรียมจะไปเปิดกิจการที่ฝูอันหรือ ? จะเปิดร้านอะไรเล่า ? ” เขาใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการดูแลโกดังที่ท่าเรือเขตเริ่นอัน ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนจะมีเวลาว่างถึงครึ่งเดือนเลยทีเดียว จึงเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับหลิวว่ายจื่อไม่น้อย หากได้ไปดูแลร้านค้าสักร้านจริง ๆ เขาก็เชื่อว่าคงไม่ได้ทำบัญชีอย่างเดียวแน่นอน มันต้องเป็นอะไรที่พิเศษกว่านั้น…หลิวว่ายจื่อจึงอยากลองดูสักตั้ง
หลินเว่ยเว่ยคิดแล้วจึงตอบว่า “เราจะขายพวกของขบเคี้ยว ! ข้าไปดูทำเลที่ตั้งร้านทางนั้นมาบ้างแล้ว ด้านหน้าเป็นร้านค้า ด้านหลังเป็นลานกว้าง สามารถใช้แปรรูปผลิตภัณฑ์ได้ทุกชนิด นอกจากเมล็ดสนปากอ้าที่ทำโดยหมู่บ้านฉือหลี่โกวของเราแล้ว ข้าจะเพิ่มเมล็ดทานตะวันรสห้าเครื่องเทศ เมล็ดทานตะวันรสถั่วสมอง เมล็ดทานตะวันรสครีมและเมล็ดทานตะวันรสคาราเมล…จริงสิ พอกลับไปแล้วต้องให้คนในหมู่บ้านปลูกดอกทานตะวันในแปลงนาแล้วล่ะ…”
หลิวว่ายจื่อตบต้นขาตัวเองแล้วกล่าวว่า “ดอกทานตะวัน ? คือดอกไม้ที่จะบานแล้วหันเข้าหาดวงอาทิตย์ใช่หรือเปล่า ? ดอกไม้ประเภทนั้นปลูกง่ายมากขอแค่มีผืนดิน จะปลูกข้างแปลงผักและบริเวณเนินเขาก็ได้ ทว่าก็ติดอยู่อย่างเดียว…คือหุบเขาของเรามีนกเยอะไปหน่อย เกรงว่านกจะมาจิกกินเสียหมดน่ะสิ ! ”