ตอนที่ 422 ความสามารถของหลิวว่ายจื่อ
“อาว่ายจื่อ เมื่อก่อนพวกเราไล่นกในหุบเขาไม่ไหวก็จริง แต่ตอนนี้เรามีต้าจินไม่ใช่หรือ ! นกชนิดใดเห็นมันก็พากันบินหนีกระเจิงหมดแล้ว” ต้าจินคือชื่อของอินทรีทองที่เจ้าหนูน้อยตั้งให้ นับตั้งแต่ที่อินทรีทองเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านฉือหลี่โกว ฝูงนกทั้งหลายก็พากันย้ายถิ่นฐานหนีมัน แม้แต่แม่ไก่ที่บ้านตระกูลหลินเลี้ยงไว้ยังหวาดผวาจนไม่ยอมออกไข่
หลิวว่ายจื่อคลี่ยิ้มจนเห็นรอยย่นบนใบหน้า “เจ้าหมายถึงนกอินทรีทองตัวนั้นน่ะหรือ…เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ายังเห็นมันบินวนอยู่บนท้องฟ้าเหนือท่าเรือเขตเริ่นอันอยู่เลย ตอนแรกข้ายังนึกว่ามันคงจะบินมาหาเจ้ากระมัง ! ”
หลินเว่ยเว่ยถามด้วยความสงสัย “ต้าจินบินมาหรือ ? มันมาบ่อยหรือเปล่า ? มันไม่กลัวนายพรานยิงตกมาตายหรือไร…”
หลิวว่ายจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อินทรีทองบินสูงขนาดนั้นไม่มีปัญหาหรอก เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นผู้มีพละกำลังอย่างเจ้าง้างคันธนูยิงมัน เจ้าตัวนั้นถึงจะโดนยิงตกลงมา…”
หลังขนย้ายสินค้าชุดเก่าออกไปเสร็จแล้ว หลิวว่ายจื่อให้บรรดาลูกหาบอยู่ต่อเพื่อช่วยกันเก็บกวาดโกดังให้เรียบร้อย หลังจากเก็บกวาดเสร็จแล้วก็เริ่มย้ายสินค้าของผู้ดูแลหลี่เข้าไปด้านใน
ผู้ดูแลหลี่ทำธุรกิจค้าผ้า เขาส่งผ้าฝ้ายและผ้าไหมหายากจากภาคใต้ไปยังเมืองสำคัญอีกหลายเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ เวลาที่ท้องตลาดให้ราคาดี เขาก็จะได้กำไรเพิ่มเป็นเท่าตัว
ยามนี้แดนเหนือยังคงประสบปัญหาภัยแล้ง เวลาขนส่งสินค้าทางแม่น้ำจึงจำเป็นต้องลดทอนน้ำหนักสินค้าบนเรือลงเพื่อป้องกันไม่ให้เรือเกยตื้นขณะแล่นไปยังภาคตะวันตก แม้ว่าการเช่าโกดังเก็บสินค้าจะเสียเงินเพิ่ม แต่ช่วงนี้พ่อค้าของภาคเหนือมีจำนวนน้อยลง คู่แข่งจึงลดไปด้วย การจ่ายเงินเล็กน้อยเพื่อเช่าโกดังย่อมไม่ใช่ปัญหา และโกดังของนางจึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการเก็บสินค้า
เพราะผ้ากลัวความชื้นและสิ่งสกปรกมากที่สุด หลิวว่ายจื่อจึงต้องเข้ามาตรวจสอบโกดังด้วยตนเอง เขาคอยกำชับคนงานให้ขนย้ายสินค้าขึ้นชั้นวางอย่างระมัดระวัง อย่าให้มีรอยสะกิดของเส้นด้ายหรืออย่าทำให้ผ้ามีรอยเปื้อน…
ผู้ดูแลหลี่ลูบเคราอย่างพึงพอใจ “ผู้ดูแลหลิวจัดการได้อย่างมืออาชีพเหมือนที่ข้าคิดไว้จริง ๆ อีกทั้งยังเป็นคนละเอียดรอบคอบ ไม่ทราบว่ากู่เหนียงไปเฟ้นหามาได้อย่างไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ “อาว่ายจื่อเป็นผู้ละเอียดรอบคอบและมีความอดทนจริง ๆ ! ”
หลิวว่ายจื่อจัดการงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจึงเดินมาสนทนากับผู้ดูแลหลี่ “พี่ชายพูดถึงข้าอีกแล้วหรือ ? ข้ารู้สึกใบหูร้อนผ่าว คันยุบยิบอย่างบอกไม่ถูก ! ”
ผู้ดูแลหลี่กล่าวว่า “ก็ชมท่านไงเล่า ! น้องหลิวสนใจมาทำการค้าผ้ากับข้าหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้ว “ผู้ดูแลหลี่ไม่ควรทำเช่นนี้ ท่านมาชักชวนคนของข้าไปทำงานต่อหน้าต่อตาข้าแบบนี้ ช่างดูแคลนข้าเหลือเกิน”
หลิวว่ายจื่อหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณที่พี่ชายเห็นความสามารถของข้า ! แต่หลานสาวมีบุญคุณต่อข้ามาก ถ้าไม่มีนางแล้ว ข้าก็คงไม่มีชีวิตสุขสบายอย่างเช่นทุกวันนี้ ป่านนี้ข้าคงอดตายไปนานแล้ว หากไม่มีนาง ข้าก็ยังเป็นอันธพาลรวมกลุ่มกับพวกลูกน้องในหมู่บ้านซึ่งชอบเที่ยวลักขโมยหรือเล่นการพนันจนหมดตัว ! บุญคุณที่นางช่วยดึงข้าขึ้นมาจากความดำมืดนั้นยิ่งใหญ่ดุจเขาไท่ซาน ลึกล้ำกว่าใต้มหาสมุทร…ท่านลองคิดสิ หากข้าเนรคุณแล้วไปหาความสุขสบายที่อื่น ท่านยังอยากได้ข้าไปทำงานให้อยู่หรือ ? ”
ผู้ดูแลหลี่ได้ยินเช่นนั้นจึงยกนิ้วหัวแม่มือให้เขา “รู้จักคุณคน เป็นผู้มีสัจจะ ! ข้าอยากผูกมิตรในฐานะสหายกับท่าน ! ”
หลิวว่ายจื่อหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาแล้วเอ่ยอย่างตรงจุดว่า “พี่หลี่ ท่านมาส่งสินค้าบ่อยแค่ไหน ? หากสามารถจัดการเวลาได้ ข้าจะได้จองที่ว่างในโกดังไว้ให้ท่านโดยเฉพาะ ! ”
ผู้ดูแลหลี่ยื่นหน้ามาอ่านเนื้อความในสมุดเล่มเล็กนั้น พบว่าในนั้นได้บันทึกข้อมูลการจองโกดังของพ่อค้าหลายคนแล้ว หากไม่รีบจับจองโกดังให้ทันเวลาก็อาจพลาดโอกาส และเพราะครั้งนี้เขามาได้ประจวบเหมาะกับที่ผู้เช่าโกดังรายก่อนได้ยกเลิกสัญญาเช่าล่วงหน้าเพียงสองวัน ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องรออีกสองวันกว่าจะได้ขนสินค้าเข้าโกดัง
ตระกูลของเขาทำธุรกิจเกี่ยวกับผ้า ดังนั้นสิ่งที่กลัวที่สุดคือโกดังสกปรก ผู้ดูแลหลี่เคยไปดูโกดังของตระกูลอื่นมาแล้วพบว่าสภาพแวดล้อมแย่กว่าโกดังตระกูลหลินมาก มีบางที่ถึงขั้นหลังคาไม่มีด้วยซ้ำ เช่นนั้นถ้าฝนตกลงมาแล้ว สินค้าจะไม่เสียหายหรอกหรือ ?
ผู้ดูแลหลี่รีบลงเวลาจองโกดังกับหลิวว่ายจื่อสำหรับครั้งถัดไป พวกเขาส่งสินค้าจากใต้ขึ้นเหนือจึงต้องเดินทางมาปีละสองครั้ง ถือว่าค่อนข้างมีเวลาที่แน่นอน…
หลินเว่ยเว่ยเฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ หลิวว่ายจื่อผู้นี้มีความสามารถไม่เบา พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็สามารถดึงลูกค้าใหม่มาเป็นลูกค้าประจำได้แล้ว หลินเว่ยเว่ยเกิดความลังเลเล็กน้อยว่าหากย้ายคนที่มีความสามารถเช่นนี้มาดูแลร้านค้าเล็ก ๆ จะเป็นการดูถูกความสามารถของเขาเกินไปหรือไม่
หลิวว่ายจื่อจัดการขนย้ายสินค้าของผู้ดูแลหลี่เรียบร้อยก็มาหาหลินเว่ยเว่ย จากนั้นรายงานผลกำไรตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้และเมื่อฟังความคิดเห็นของหลินเว่ยเว่ยแล้ว เขาก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวเว่ย อีกนานหรือไม่กว่าเจ้าจะเปิดร้านเหล่านั้น ? หากผ่านไปอีกสักเดือน ข้าก็คงจัดการจองโกดังให้ลูกค้าได้จนถึงปีหน้า ตอนนี้เอ้อร์ล่ายเริ่มชำนาญงานแล้ว ให้เขาดูแลงานโกดังต่อได้เลย เขาไม่ได้แตกต่างจากข้าหรอก หากเจ้าไม่วางใจ…ก็รอให้ข้าจัดการร้านที่ฝูอันเสร็จแล้วค่อยให้ข้ากลับมา ! ”
เขาคือคลื่นลูกใหม่แห่งการปฏิวัติ หากเหมาะสมจะย้ายไปที่ใดก็ควรย้ายไปที่นั่น ! เขารู้ว่าเจ้านายเป็นคนใจกว้างต่อผู้อื่น ขอเพียงติดตามนางไป ไม่ว่าจะเป็นโกดังหรือร้านค้าก็ล้วนไม่โดนเอาเปรียบแน่นอน !
ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น หลิวเอ้อร์ล่ายก็เดินออกจากโกดังด้วยสภาพมีฝุ่นเปื้อนไปทั้งตัวและเมื่อเห็นหลินเว่ยเว่ยแล้ว เขาก็คลี่ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “นายหญิงมาตั้งแต่เมื่อใด ? ”
“มาสักพักแล้ว ว่าแต่ท่าน…ไปมุดรูที่ไหนมาหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยเห็นสภาพของเขาจึงอดถามไม่ได้
หลิวเอ้อร์ล่ายตบขากางเกงเพื่อไล่ฝุ่นออกไป ทำเอาหลิวว่ายจื่อถึงขั้นสำลักฝุ่นจนไอ เขาจึงพูดอย่างรังเกียจว่า “เจ้าถอยไปเลย ประเดี๋ยวก็ทำเสี่ยวเว่ยเปื้อนฝุ่นไปด้วยหรอก”
หลิวเอ้อร์ล่ายถอยออกไปหลายก้าว จากนั้นก็ตบฝุ่นบนเสื้อผ้าออกให้หมดแล้วเดินเข้ามาใหม่อีกครั้ง “นายหญิง ท่านพูดผิดแล้ว ข้าไม่ได้ไปมุดรูไหนมาหรอก แต่ไปอุดรูหนูต่างหาก ! ครั้งนี้เป็นสินค้าประเภทผ้าไม่ใช่หรือ ? เราจะให้หนูมากัดสินค้าไม่ได้เด็ดขาด ข้ากังวลว่าหนูพวกนั้นจะออกมาตอนกลางดึกและทำให้สินค้ามีปัญหา ข้าจึงกลบรูหนูทั้งหมด ! ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าอย่างพอใจแล้วถามว่า “หากให้ท่านดูแลโกดังคนเดียว ท่านจะทำไหวรึเปล่า ? ”
“ว่าอย่างไรนะ ? หมายความว่าอย่างไร ? ปกติพี่ว่ายจื่อก็ทำได้ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ? เขา…เขาทำอะไรผิด ? ไม่ใช่สิ…นายหญิง พี่ว่ายจื่อตั้งใจดูแลโกดังอย่างทุ่มเทมาโดยตลอด ไม่เคยแอบตักตวงผลประโยชน์ส่วนตัวสักครั้ง…คนผู้นี้จะทำผิดได้อย่างไร ? อย่าไล่เขาออกเพียงเพราะความผิดเล็กน้อยเลย”
หลิวเอ้อร์ล่ายหันไปส่งสายตาให้หลิวว่ายจื่อเหมือนอยากถามว่า…ท่านไปทำอะไรให้นายหญิงไม่พอใจ ? อย่าเอาแต่ยืนนิ่งเป็นท่อนไม้สิ รีบมาขอโทษนายหญิงเร็วเข้า !
หลิวว่ายจื่อตบศีรษะหลิวเอ้อร์ล่ายหนึ่งที “ใครทำความผิด ? เจ้าคงอยากให้ข้าโดนไล่ออกโดยเร็ว เพราะจะได้แย่งตำแหน่งผู้ดูแลหลิวไปจากข้าสิท่า ? ”
“ใช่ที่ไหนกันเล่า ! เราเป็นพี่น้องกันมาตั้งนานไม่ใช่หรือ ? แม้ข้ามีนิสัยอันธพาลก็ไม่เคยคิดทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมเช่นนั้น ! นายหญิง สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ข้าสับสนไปหมดแล้ว ! ” หลิวเอ้อร์ล่ายสังเกตจากสีหน้าของหลินเว่ยเว่ยและหลิวว่ายจื่อแล้วก็พอจะเดาออกว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแน่นอน แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรอยู่ดี
หลิวว่ายจื่อกล่าวพร้อมหัวเราะออกมา “เสี่ยวเว่ยกำลังจะเปิดร้านขายของขบเคี้ยวที่อำเภอฝูอัน นางจึงตั้งใจให้ข้าไปดูแลกิจการทางนั้น หากดำเนินกิจการได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร ข้าจึงจะกลับมาเป็นผู้ดูแลหลิวที่โกดังของท่าเรือแห่งนี้ ตอนนี้เจ้าก็ทำหน้าที่แทนข้าไปก่อน…แต่ขอเตือนไว้เลยว่าอย่าทำพัง ! ”
ที่ผ่านมาหลิวเอ้อร์ล่ายคอยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของหลิวว่ายจื่อมาโดยตลอด แต่ตอนนี้จะได้เป็นผู้ดูแลโกดังเพียงลำพังแล้ว ในใจของเขาจึงรู้สึกกดดันอยู่ไม่น้อย “ว่าอย่างไรนะ ? พี่ว่ายจื่อ แล้วท่านจะกลับมาอีกเมื่อใด ? ”