ตอนที่ 429 บัณฑิตน้อย ความเย็นชาและหยิ่งทะนงของเจ้าหายไปไหน ?
เจ้าหนูน้อยพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง “ถ้านิสัยไม่ผ่าน ข้าก็ไม่เล่นกับพวกเขาแน่นอน…พี่รอง ท่านมีสายตาแหลมคมที่สุด ต่อไปเวลาข้าคบใครก็จะพามาให้ท่านดูแน่นอน ! ”
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะ “พรุ่งนี้ข้าจะทำของอร่อยให้เจ้า ให้สหายร่วมห้องของเจ้าเห็นแล้วตาถลนออกมาเลย ! แต่ชวนสหายมาเล่นที่บ้านก็จะต้องค้างแรม ดังนั้นต้องขออนุญาตจากผู้ใหญ่ทางบ้านพวกเขาก่อน ไม่อย่างนั้นผู้ใหญ่จะเป็นห่วงเอาได้…”
เจ้าหนูน้อยพยักหน้า “พวกหลู่ซวนอาศัยอยู่ในเขตเริ่นอัน ทุกมื้อเที่ยงต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านอยู่แล้ว ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะบอกพวกเขา…”
วันรุ่งขึ้น เจ้าหนูน้อยนำของกินที่โปรดปรานที่สุด…เนื้อกระต่ายเส้น ไปที่สำนักศึกษาด้วย หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นว่าวันนี้ปริมาณขนมที่เขานำไปด้วยมากกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย ดูท่าเจ้าอ้วนหลู่ซวนจะได้รับการยอมรับจากเขาแล้ว !
“น้องรอง ! ตัวอ่อนหนอนไหมไม่กินใบไม้แล้ว มันไม่ขยับตัวด้วย…มันคงจะไม่ได้ป่วยใช่หรือไม่ ? ” ตอนที่พี่สาวคนโตนำใบโอ๊กมาเปลี่ยนและทำความสะอาดกระด้งไม้ไผ่ให้ตัวอ่อนหนอนไหม นางก็พบว่าใบโอ๊กของเมื่อวานนี้ไม่มีร่องรอยของการกัดกิน นางจึงรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาทันที
หลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามาดู ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ตัวอ่อนหนอนไหมอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ตอนนี้พวกมันกำลังหลับอยู่ พอตื่นและลอกคราบเสร็จแล้วก็จะตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องกังวล ! ”
พี่สาวได้ยินแบบนั้นก็สบายใจได้อีกครั้ง นางยังถามต่อ “ถ้าเช่นนั้น…ตัวอ่อนหนอนไหมจะหลับนานเท่าไร ? ” ไม่กินใบไม้แล้วจะโตได้อย่างไร?
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “น่าจะประมาณห้าหกชั่วยามกระมัง ? ”
หลินเว่ยเว่ยมองตัวอ่อนหนอนไหมสีดำในกระด้ง พบว่าพี่สาวดูแลเป็นอย่างดี ใบโอ๊กที่หนอนไหมกินก็จะล้างด้วยน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณจนสะอาด พวกตัวอ่อนหนอนไหมดูแข็งแรงดีและกินเก่งมากด้วย ขี้หนอนที่ได้ออกมาก็เป็นที่ต้องการของหมอเหลียง พูดกันว่ามันมีสรรพคุณทางยามากมาย !
น้องชายคนเล็กพาสหายมาเที่ยวบ้านเป็นครั้งแรกจึงเป็นธรรมดาที่จะต้องต้อนรับอย่างดี เด็กอายุเจ็ดแปดขวบไม่มีใครไม่ชอบขนมกรุบกรอบและขนมหวาน หลินเว่ยเว่ยตัดสินใจจะทำอาหารชนิดใหม่ นั่นก็คือ…ข้าวซอยตัด !
เดิมทีข้าวซอยตัดเป็นอาหารทานเล่นของเผ่าแมนจู ต่อมากองทัพราชวงศ์ชิงก็นำมันเข้ามายังเมืองหลวง จึงกลายเป็นหนึ่งในขนมเลื่องชื่อของเมืองหลวง ทว่าในช่วงเวลานี้จะมีชนเผ่าแมนจูอยู่หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ นางเคยถามบัณฑิตน้อยแล้วพบว่าขนมอย่างพวกข้าวซอยตัดยังไม่มีอยู่ !
ระหว่างทำข้าวซอยตัด หลินเว่ยเว่ยยังใส่พวกถั่วและผลไม้อบแห้งลงไปด้วย รสชาติหลากหลายและยังดีต่อสุขภาพ หลังทำเสร็จแล้วเจียงโม่หานที่ชอบกินของหวานก็เข้ามาชิม เขาไม่พอใจสุด ๆ…ขนมที่อร่อยถึงขนาดนี้ไม่ได้ทำไว้เพื่อเขา แต่ทำเพราะต้อนรับเด็กน้อยสองคน น่าโมโหนัก !
หลินเว่ยเว่ยคาดไม่ถึงว่าบัณฑิตน้อยจะขี้หวงถึงเพียงนี้…ความเย็นชาและหยิ่งทะนงของเจ้าหายไปไหน ? เทพเซียนในดวงใจที่นางเคยชื่นชมในอดีตกลายเป็นคนหวงของกิน…แต่ก็ดูน่ารักไม่หยอก
ช่วงหัวค่ำ กลุ่มควันลอยอยู่เหนือน่านฟ้าหมู่บ้านฉือหลี่โกว รถม้าสองคันค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าสู่หมู่บ้านเล็ก ๆ อันเงียบสงบแห่งนี้
บนรถม้าสกุลหลู่ เด็กน้อยตัวอ้วนลูบก้นที่เมื่อยชาของตนครั้งแล้วครั้งเล่าและถามซ้ำแบบเดิมว่า “หลินจื่อถิง อีกไกลหรือไม่กว่าจะถึงบ้านเจ้า ? ”
เจ้าหนูน้อยวางตำราในมือ ปากท่องเนื้อหาที่เพิ่งเรียนมาในวันนี้จนจบแล้วจึงจะหันมาตอบ “ใกล้ถึงแล้ว ! เจ้ายื่นหน้าออกไปดูข้างนอกสิ น่าจะเห็นต้นอวี๋ (ต้นเอล์ม) เก่าแก่ที่อยู่ตรงหน้าหมู่บ้านฉือหลี่โกวแล้ว ! ”
หลังได้ยินแบบนั้น หลู่ซวนก็รีบยื่นหน้าออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็กลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว “มีที่ไหนกัน ? ข้าเห็นแค่ภูเขาไกลสุดลูกหูลูกตา…หลินจื่อถิง ในภูเขาของพวกเจ้ามีเสืออยู่จริงหรือ ? แล้วยังฝูงหมาป่านั่นอีก ? ”
เจ้าหนูน้อยพยักหน้า “ข้าจะหลอกเจ้าทำไม ? ที่บ้านข้ายังมีหนังเสือทั้งผืนอยู่เลย ! นั่นเป็นของที่พี่รองล่าได้เชียวล่ะ ! ส่วนจ่าฝูงหมาป่าชื่อเจ้าเทา พี่รองเคยช่วยชีวิตมันไว้ มันจึงชอบพาฝูงหมาป่านำของขวัญมาให้บ้านเราบ่อย ๆ ! ”
“ฮ่าฮ่า ! ” หลู่ซวนกลั้นหัวเราะไม่ไหว “จ่าฝูงหมาป่าเอาของขวัญมาให้เจ้า ? เหตุใดไม่พูดว่าสัตว์ในหุบเขาเป็นสัตว์เลี้ยงของบ้านเจ้าหมดเลยล่ะ ? จะคุยโวก็ต้องมีขอบเขต…แล้วก็พี่รองของเจ้า ข้าไม่ใช่ไม่เคยเจอสักหน่อย ตัวผอมแห้งแล้วจะฆ่าเสือได้หรือ ? ยังไม่พอให้เสือแทะเล่นด้วยซ้ำ ! ”
เจ้าหนูน้อยโมโหขึ้นมาทันที! พี่รองคือที่สุดของความอดทน จะว่าอะไรเขาก็ได้ แต่ห้ามใช้คำว่า ‘ไม่ได้’ กับพี่รองเด็ดขาด ! เขาพับแขนเสื้อขึ้นแล้วหันไปมองหลู่ซวนด้วยความโมโห “เจ้าอ้วน ลงจากรถม้าแล้วมาดวลกับข้า ! ”
หลู่ซวนเป็นเหมือนแมวที่โดนเหยียบหาง “เจ้าเรียกข้าว่าอะไร ? ได้ ! ดวลก็ดวล ! คิดว่าข้าจะกลัวลิงผอมแห้งอย่างเจ้าหรือ ? ”
ฉิงจิ้งหยูรีบเข้ามาคว้าตัวเขาไว้ “หลู่ซวน เจ้าลืมความเจ็บปวดไปแล้วสิท่า ความรู้สึกตอนที่ก้นลาย เจ้ายังอยากลิ้มรสอีกรอบหรือไม่ ? ”
หลู่ซวนโมโหจนพ่นลมหายใจออกมา “เจ้ามาตัดสินว่าใครกันแน่ที่เริ่มหาเรื่องก่อน ? ”
ฉิงจิ้งหยูพูดด้วยความใจเย็น “หลินจื่อถิงไม่เคยพูดโอ้อวด เมื่อครู่เจ้าไม่เพียงว่าเขาคุยโวและยังใช้น้ำเสียงดูถูกพูดถึงพี่รองของเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า…ข้าก็โมโหเช่นกัน ! ”
หลู่ซวนไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที “เจ้าแซ่ฉิง เจ้าคิดให้ดีว่าใครกันแน่ที่เป็นสหายกับเจ้ามาตั้งแต่เด็กจนโต เหตุใดจึงไปเข้าข้างคนนอก ? เจ้าคิดว่าคำพูดของหลินจื่อถิงน่าเชื่อถือหรือไร ? ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องฝูงหมาป่าเอาของขวัญมาให้บ้านเขาหรอก พูดแค่พี่รองของเขา เด็กผู้หญิงอายุสิบกว่าขวบคนหนึ่งแค่เจอเสือก็วิ่งหนีแทบไม่ทันแล้ว แต่นางยังฆ่าเสือจนตาย…เจ้าเชื่อลงหรือ ? ”
“ข้าเชื่อ ! ” ฉิงจิ้งหยูตอบกลับอย่างไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป “ไม่แน่ว่านั่นอาจเป็นเสือที่ป่วยตัวหนึ่งก็ได้ หรือไม่ก็เป็นเสือที่บาดเจ็บเจียนตาย ? เจ้าไม่ทันแยกแยะถูกผิดก็ตำหนิคนอื่นแล้ว มันเหมาะสมหรืออย่างไร ? ”
วังตงเฉียงพูดอย่างหมดความอดทน “พี่รองหลินมีพละกำลังมหาศาล สามารถยกเครื่องโม่หินในหมู่บ้านด้วยมือข้างเดียว เสือที่นางฆ่าตายก็ไม่ได้ป่วยแล้วก็ไม่ได้บาดเจ็บ…นางยังช่วยไล่หมีควายให้อาว่ายจื่อด้วย ! ”
“จริงหรือ ? ” หลู่ซวนเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หลินจื่อถิงพูดเองอาจเป็นคำโอ้อวด แต่วังตงเฉียงที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันก็พูดถึงขนาดนี้แล้ว จึงอดทำให้เขาเริ่มคิดว่าจริงไม่ได้
เจ้าหนูน้อยสะบัดหน้าไปด้านข้าง เขาไม่อยากสนใจเจ้าหมอนี่แล้ว แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังมาจากด้านนอก “เจ้าหนูน้อยกลับมาแล้ว ! เจ้าหนูน้อยกลับมาแล้ว ! ได้กินแล้ว ! ได้กินแล้ว ! ”
หลู่ซวนรีบยื่นศีรษะออกไปทางหน้าต่าง พบเพียงเส้นทางในหุบเขาที่เริ่มมืดมิดร้างไร้ผู้คน เขาจึงขนหัวลุกขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปมองเจ้าหนูน้อยด้วยความหวาดกลัว “คะ…ใครกำลังพูด ? ”
“ข้าพูด ! ข้าพูด ! เจ้าตาบอดหรือไร ! ” เสียงนั้นดังขึ้นเหนือรถม้า ฉิงจิ้งหยูเปิดม่านดูด้วยความสงสัย ทันใดนั้นนกแก้วห้าสีก็บินลอดเข้ามา มันบินวนในตัวรถม้าสองรอบ ก่อนจะบินมาเกาะบนหลังมือของเจ้าหนูน้อย
“เจ้าหนูน้อยเลิกเรียนแล้ว ! เจ้าหนูน้อยเลิกเรียนแล้ว ! ” หงส์แดงตะโกนออกมาสองรอบ ขณะเหลือบมองหลู่ซวน มันก็ทำหน้าคล้ายกำลังพูดว่า ‘เห็นหรือยัง ? นายของเจ้ากำลังพูดอยู่ ! ’
หลู่ซวนมีดวงตาเป็นประกายแล้วเอื้อมมือเข้าไปใกล้ด้วยความดีใจ “ว้าว ! นกแก้วพูดได้ ! หลินจื่อถิง นี่คือสัตว์เลี้ยงของบ้านเจ้าหรือ ? ”