หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 446 ตามใจคู่หมั้นจนเกินเหตุ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 446 ตามใจคู่หมั้นจนเกินเหตุ

โชคดีที่พอเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วก็มีฝนตกลงมาสองสามรอบ ข้าวโพดที่ปลูกในที่ดินเหล่านี้จึงเจริญงอกงามและอยู่รอดได้โดยไม่สะดุดตามากนัก

ที่ดิน 100 หมู่ สามารถหาเกษตรกรผู้เช่าได้ 5 ครอบครัว พวกเขาล้วนเป็นชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น บางครอบครัวก็เคยเช่าที่ดินบริเวณอื่นมาก่อน แต่ช่วงสองปีมานี้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดีจึงไม่มีเงินไปจ่ายค่าเช่า เจ้าของที่ดินจึงไม่ให้พวกเขาได้เช่าต่อ บางครอบครัวก็เป็นเพราะฐานะยากจนจึงต้องขายที่ดินแล้วกลายสภาพมาเป็นเกษตรกรผู้เช่าที่ดินของคนอื่นแทน

เดิมทีหลินเว่ยเว่ยตั้งใจจ้างพวกเขาเป็นเพียงคนงานชั่วคราวที่คอยไถหน้าดิน กำจัดวัชพืชและหว่านเมล็ดพันธุ์…แต่พอเห็นพวกเขาทำงานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หลินเว่ยเว่ยกับเจียงโม่หานก็คิดว่าครอบครัวเหล่านี้เป็นคนซื่อสัตย์และขยันหมั่นเพียร ทำงานไม่เคยมีเล่ห์เหลี่ยมใส่ สุดท้ายจึงรับพวกเขาเป็นเกษตรกรผู้เช่าคอยดูแลที่ดินผืนนี้

ทว่าปีนี้นางใช้ที่ดินปลูกข้าวโพดไปหมดแล้ว แผนการนี้จึงต้องเลื่อนออกไปเป็นปีหน้าแทน หลังจากทั้ง 5 ครอบครัวได้ยินแล้วก็ดีใจจนตัวลอยทันที…โชคดีที่พวกตนตัดสินใจทำงานอย่างซื่อสัตย์ ไม่หลอกลวงนายจ้างเพียงเพราะเห็นว่านายจ้างยังเยาว์วัย แน่นอนว่าก็เป็นเพราะพวกตนขี้ขลาดจนไม่กล้าทำ !

นายจ้างเป็นถึงบัณฑิตซิ่วไฉและยังมีชื่อเสียงเป็นเจียงอั้นโฉ่วแห่งเขตเริ่นอัน วันหน้าอาจสอบติดจู่เหรินและได้ขึ้นเป็นขุนนาง ต่อให้สามัญชนใจกล้าเพียงใดก็ไม่กล้าหลอกลวงชนชั้นขุนนาง !

แม้พวกนายจ้างจะดูเยาว์วัยแต่กลับเป็นคนใจกว้าง ให้ค่าแรงสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่วันละ 30 อีแปะ ส่วนตอนที่พวกผู้หญิงและเด็ก ๆ ในครอบครัวมาช่วยงานก็ยังได้รับค่าแรงเป็นเงินด้วยเช่นกัน

ในฐานะที่พวกตนเป็นชาวไร่ชาวนาจึงมักกลัวเจ้าของที่ดินซึ่งมีจิตใจคับแคบและชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมที่สุด หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าการทำงานหนักตลอดทั้งปีจะสูญเปล่า ถ้านายจ้างยังหาข้ออ้างต่าง ๆ นานามากดขี่อีก พวกตนก็คงไม่ได้กินอิ่มท้อง

นายจ้างที่ใจกว้างอย่างเจียงอั้นโฉ่ว พวกตนอยากพบเจอใจแทบขาด ! ด้วยเหตุนี้แม้ว่าวันหน้าพวกนายจ้างจะไม่จ้างงานอีก พวกตนก็ยังจะเดินมาดูที่ดินให้เป็นครั้งคราว ถ้าเห็นวัชพืชในไร่ก็จะถือโอกาสดึงออก ช่วยดูแลให้อย่างดีเลยก็ว่าได้

ทั้งหมดนี้เจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยล้วนเห็นอยู่ในสายตาและจดจำไว้ในหัวใจ เมื่อใกล้ถึงวันเทศกาลตวนอู่ ( เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ) ทั้งสองจึงมอบธัญพืชหยาบให้ครอบครัวละ 20 ชั่ง เนื้อหมูครึ่งชั่งและขนมจ้าง ( บ๊ะจ่าง ) ไส้พุทราแดงอีกหนึ่งพวง !

หลังจากทุกครอบครัวได้รับของขวัญแล้วก็ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลออกมาทันที…นายจ้างที่มีจิตใจดีเช่นนี้ จะยังหาได้จากที่ไหนอีก ?

ลุงหวังก็เป็นหนึ่งในครอบครัวเหล่านั้น ทั้งบ้านรวมตัวเขาเองมีผู้ชายวัยทำงานได้ทั้งหมด 3 คน…ได้แก่ ลุงหวัง บุตรชายคนโตและบุตรชายคนเล็ก

บุตรชายทั้งสองคนแต่งงานหมดแล้ว บุตรชายคนโตมีลูกชายอีก 3 คน หลานคนโตสุดมีอายุ 10 ขวบ นับว่าเป็นลูกจ้างได้แล้วเช่นกัน ส่วนหลานอีกสองคนมีอายุ 8 ขวบและ 7 ขวบตามลำดับ พวกเขาก็มาช่วยงานในไร่ได้แล้ว ส่วนบุตรชายคนเล็กของลุงหวังมีลูก 2 คน คนหนึ่งอายุ 7 ขวบ ส่วนอีกคน 5 ขวบ ล้วนเป็นเด็กที่รู้ความสุด ๆ เวลาหว่านเมล็ดพันธุ์ก็จะเข้ามาช่วยงานทุกครั้งไป

บ้านพวกเขาทำงานให้นายจ้างทั้งหมด 10 วัน ค่าแรงคนละ 30 อีแปะ คนวัยทำงาน 3 คนทำงานครบ 10 วันก็ได้ค่าแรงรวมกันเป็นเงิน 900 อีแปะ จากราคาธัญพืชอย่างถูกสามารถซื้อธัญพืชหยาบได้หลายสิบชั่ง ทั้งครอบครัวกินอย่างประหยัดอดออม เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะอดอยากไปอีกไม่น้อยกว่า 2 เดือน…

ทว่าตอนเข้าไปรับเงิน บ้านของพวกเขากลับได้เงินมา 1 ตำลึงเงิน ( 1,000 อีแปะ ) ลุงหวังจึงเข้าไปหาเด็กสาวที่ฉีกยิ้มหวานหยดเพื่อสอบถามว่าคำนวณผิดหรือเปล่า เด็กสาวตัวน้อยทำตาเป็นเสี้ยวพระจันทร์และพูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ถูกแล้ว ! บ้านของท่าน นอกจากแรงงานผู้ใหญ่ 3 คน ผู้หญิงและเด็กก็ไม่ได้เกียจคร้าน อย่างไรก็จะให้ทำงานโดยไร้ค่าตอบแทนไม่ได้ ! เงินพวกนี้เป็นของที่พวกท่านสมควรได้รับ ! ”

ผู้หญิงและเด็กของบ้านอื่นไม่ได้มาทำงานด้วย แต่หลังจากเห็นเงินในมือตาเฒ่าหวังแล้ว พวกเขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที ถ้ารู้ว่าผู้หญิงและเด็กก็ทำงานแล้วได้เงินเหมือนกัน พวกเขาก็คงมาทำงานกันทั้งครอบครัว ! ตาเฒ่าหวังช่างโชคดีจริง ๆ !

พวกธัญพืชหยาบ เนื้อและขนมจ้างที่บ้านนายจ้างให้มาก็ล้วนยึดตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว บางคนทำใจกินเองไม่ลงจึงเอาไปขายแลกเป็นธัญพืชหยาบในตัวเมือง

เดิมทีบ้านของลุงหวังก็คิดจะทำแบบนั้น ทว่าตอนที่เห็นพวกเด็ก ๆ จ้องขนมจ้างตาปริบ ๆ ท่าทางที่ตื่นเต้น ประหลาดใจและไร้เดียงสาก็ทำให้เขาใจอ่อน อย่าว่าแต่พวกหลาน ๆ เลย แม้แต่พวกลูกชาย ลูกสะใภ้ก็ยังไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของขนมจ้าง แม้แต่ตัวเขาเองก็เคยได้กินตอนเด็กแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จนหลงลืมไปแล้วว่าขนมจ้างมีรสชาติอย่างไร

เขาโบกมือ “ขนมจ้างกับเนื้อพวกนี้ เราเก็บไว้กินเองก็แล้วกัน ! ”

เมื่อพวกเด็ก ๆ ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจเหมือนได้ฉลองวันปีใหม่ ลูกสะใภ้ทั้งสองก็เก็บซ่อนรอยยิ้มไม่อยู่ เย็นวันนั้นพวกเขาแกะห่อขนมจ้างออกมา สองคนต่อ 1 ลูกและแบ่งกันกินคำเล็ก ๆ

ขณะมองพวกเด็ก ๆ เคี้ยวขนมจ้างซึ่งทำมาจากข้าวเหนียวรสชาติหวานหอมอย่างดีใจ ลุงหวังก็ลูบศีรษะของพวกเขาแล้วพูดอย่างปลื้มปีติว่า “คราวนี้พวกเราได้เจอนายจ้างใจดีเข้าแล้ว ต้าเหมา เอ้อร์เหมา หากพวกเจ้าไม่มีอะไรทำก็เข้าไปเดินในไร่บ่อย ๆ แม้ว่าตอนนี้ที่ดินบริเวณนั้นจะไม่ได้เป็นของพวกเรา แต่เราต้องดูแลพืชไร่ให้บ้านนายจ้างดี ๆ ! ”

เด็กทั้งสองคนขานรับเสียงดังลั่น “ขอรับท่านปู่ ข้าเข้าใจแล้ว ! ”

ที่ดินซึ่งทั้งสองบ้านซื้อร่วมกันนั้นบังเอิญอยู่ใกล้กับหมู่บ้านที่ผู้อาวุโสเซวียพักอยู่พอดี ทุกครั้งที่เจียงโม่หานและหลินเว่ยเว่ยมาดูแลไร่ก็จะถือโอกาสนำอาหารรสเลิศซึ่งชายชราโปรดปรานมาให้ด้วย

เดิมทีบัณฑิตหยวนอยากรับท่านอาจารย์กลับเมืองหลวง แต่ตาเฒ่าคนนี้ทำตัวดื้อรั้น อย่างไรก็ไม่ยอมไปโดยบอกว่าอยู่ที่นี่จนชินแล้ว ไม่อยากย้ายไปไหนอีก บัณฑิตหยวนสองพ่อลูกจึงต้องคอยพูดเกลี้ยกล่อมกันอยู่อย่างนั้น แต่ท้ายที่สุดท่านอาจารย์ก็ไม่ยอมรับปาก ด้วยความท้อแท้จึงทำให้สองพ่อลูกต้องเดินทางกลับเมืองหลวงก่อน จากนั้นค่อยวางแผนใหม่กันต่อไป

แต่สิ่งที่สองพ่อลูกนึกไม่ถึงก็คือเหตุผลสำคัญที่ท่านอาจารย์ (และอาจารย์ปู่) ไม่ยอมจากไปก็เพราะอาลัยอาวรณ์ในอาหารเลิศรสกับสุราองุ่นที่หลินเว่ยเว่ยเป็นคนหมัก แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือความรักใคร่ในพรสวรรค์ของเจียงโม่หาน ผู้อาวุโสเซวียอยากรู้ว่าสหายน้อยผู้น่าทึ่งคนนี้จะบินไปได้สูงถึงจุดไหน

วันเทศกาลตวนอู่ หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานก็นำขนมจ้างมาให้ผู้อาวุโสเซวียเช่นกันและยังเตรียมไข่เป็ดเค็มกับชิงถวน1 มาให้คนทางใต้ตั้งแต่กำเนิดด้วย ขณะลิ้มรสชาติที่ห่างหายมานานอย่างไข่แดงเค็มมัน ๆ เยิ้ม ๆ และชิงถวนที่หวานสดชื่นแล้ว ผู้อาวุโสเซวียก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในกูซู (เขตเมืองเก่าของซูโจว)

ชายชราจิบสุราองุ่นไปพลางกัดไข่เป็ดเค็มไปด้วย สัมผัสถึงรสชาติแสนอร่อย เซวียจื้อเฉียนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็เหลือบมองชาวไร่ชาวสวนที่กำลังทำงานกันอยู่ในพื้นที่ห่างออกไป…ในสภาพอากาศแบบนี้และในฤดูกาลแบบนี้ยังจะหว่านเมล็ดพันธุ์ลงดิน นอกจากเป็นที่ดินของเจียงอั้นโฉ่วและหลินกู่เหนียงซื้อแล้วก็ไม่มีที่ดินของใครอีก !

แม้เซวียจื้อเฉียนจะไม่ได้ทำไร่ไถนาอย่างจริงจังมาก่อน แต่ก็คอยรับใช้ผู้อาวุโสเซวียอยู่ในชนบทมานานหลายปี จึงรู้ช่วงเวลาทำการเกษตรของเหล่าเกษตรกร เขาอดไม่ได้ที่จะกังวล “ทำไร่ในเวลานี้จะเก็บเกี่ยวได้ทันก่อนเข้าฤดูหนาวหรือเปล่า ? ”

อย่ารอให้ถึงเวลานั้นแล้วไม่ได้ผลผลิตเลย แค่เมล็ดพันธุ์และปุ๋ยที่ใช้สำหรับที่ดิน 100 หมู่ก็เป็นค่าใช้จ่ายไม่น้อยแล้ว ถ้าเก็บเกี่ยวไม่ได้ผลผลิตก็สู้ปล่อยทิ้งร้างไว้อย่างนั้นเสียยังดีกว่า !

หลังเคี้ยวไข่เป็ดเค็มอันหอมมันเสร็จแล้ว ผู้อาวุโสเซวียก็ลูบเคราพลางเอ่ย “เลิกคิดมากเถิด แม้ว่านางหนูหลินจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถืออยู่บ้าง แต่สหายเจียงมีความรอบคอบ ย่อมรู้ดีว่าทำอะไรอยู่ ! ”

มุมปากของเซวียจื้อเฉียนบิดเบี้ยวขึ้นมา “อาจารย์ขอรับ ท่านแน่ใจหรือว่าเจียงอั้นโฉ่วจะปรามนางได้ ? ” ในสายตาของเขาเห็นว่าเจียงอั้นโฉ่วตามใจคู่หมั้นจนเกินเหตุ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับคำของนาง…นำเงินค่าเมล็ดพันธุ์และปุ๋ยออกมาเพื่อเอาใจคู่หมั้น หากเปลี่ยนเป็นตัวเขาคงทำไม่ลงจริง ๆ !

[i]

1 ชิงถวน คือ ขนมแป้งข้าวเหนียวปั้นสีเขียวหยก เนื้อเหนียบหนึบ มีไส้ นิยมรับประทานหรือซื้อเป็นของฝากในช่วงเทศกาล

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท