ตอนที่ 453 พี่รองโกรธมากเท่าใด ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงเท่านั้น
หลินจื่อเหยียนอยากลองดูเหมือนกัน ทว่าจะให้เขาเดินทางไกลขนาดนั้นก็ทำให้รู้สึกกังวลจริง ๆ ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็กลับมาเปล่งประกายและพูดกับเจียงโม่หานว่า “พี่เขยรอง รอให้ท่านสอบเซียงซื่อผ่านและเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว จะให้ข้าไปเปิดหูเปิดตาด้วยคนได้หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานเหลือบมองอีกฝ่าย “เจ้าไม่อยากลองพยายามดูสักครั้ง ลองสอบเซียงซื่อให้ผ่านแล้วเดินทางไปสอบที่เมืองหลวงพร้อมข้าในปีหน้า ? ”
หลินจื่อเหยียนแค่นเสียงหัวเราะ ฮึฮึ แล้วพูดอย่างตระหนักรู้ตัวเอง “พี่เขยรอง ข้ามีความสามารถขั้นไหนย่อมรู้ดี แค่สอบติดซิ่วไฉก็ถือว่าโชคเข้าข้างแล้ว ข้าไม่หวังจะสอบติดจู่เหรินหรอก ท่านคิดดูสิ ท่านไปสอบที่เมืองหลวง แล้วข้างกายไม่มีเด็กรับใช้อยู่ด้วยเลย อย่างน้อยข้าตามไปก็พอจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง”
เจียงโม่หานกวาดตามองอีกฝ่าย เจ้าเนี่ยนะ ? ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง แต่กินเก่งกว่าใครเพื่อน พอถึงเวลานั้นยังไม่รู้เลยว่าใครจะดูแลใครกันแน่ !
“หากท่านป้าหวงอนุญาตให้เจ้าไป ก็ตามใจ ! ” เจียงโม่หานครุ่นคิด ไม่ว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นว่าที่น้องภรรยาของตน พาไปเปิดหูเปิดตาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
อาจารย์ฟ่านมองหลินจื่อเหยียน “จื่อเหยียนก็จะเข้าสอบเซียงซื่อในเดือนแปดด้วยหรือ ? ”
หลินจื่อเหยียนหันไปมองพี่เขยรองแวบหนึ่ง “ขอรับท่านอาจารย์ ศิษย์รู้ว่าโอกาสที่จะสอบติดช่างมีน้อย แต่พี่สาวคนรองบอกว่าไปลองสนามสอบเพื่อสั่งสมประสบการณ์ จะสามารถเป็นตัวช่วยสำหรับการสอบในอนาคตขอรับ”
อาจารย์ฟ่านพยักหน้า คาดไม่ถึงว่าคู่หมั้นของลูกศิษย์ที่ตนภาคภูมิใจ ไม่เพียงทำอาหารเก่งแล้วยังฉลาดในการใช้ชีวิตอีกด้วย ! เดิมทีอาจารย์ฟ่านยังไม่ค่อยพอใจต่อเรื่องการหมั้นหมายของศิษย์คนนี้สักเท่าไร
เจียงโม่หานมีรูปร่างหน้าตาดีมาก พรสวรรค์ยังเป็นเลิศ อายุก็น้อย ทว่าด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของเขา จึงมีโอกาสอย่างมากที่จะขึ้นไปอยู่อันดับสูงสุดของการสอบประจำฤดูใบไม้ผลิ (ฮุ่ยซื่อ) และเมื่อถึงเวลานั้นจะยังกังวลเรื่องภรรยาอีกหรือ ? แต่คาดไม่ถึงว่าลูกศิษย์คนนี้จะหมั้นหมายกับเด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่ง ทำให้ผู้คนตกตะลึงไปตามตามกัน !
ทว่าเมื่อลองนึกถึงนิสัยของลูกศิษย์คนนี้อีกครั้ง อืม หยิ่งยโสตั้งแต่กำเนิดและยังมีความคิดเป็นของตัวเองอย่างสุดโต่ง การที่เขาชื่นชอบเด็กสาวข้างบ้านได้ก็แสดงว่านางต้องมีสิ่งพิเศษบางอย่างแน่นอน
เฮ้อ ตนก็เป็นแค่อาจารย์ของอีกฝ่าย เหตุใดต้องกังวลเหมือนคนเป็นบิดาด้วยเล่า ? อาจารย์ฟ่านยกสุราผลไม้รสชาติกลมกล่อมขึ้นมาจิบ ทันใดนั้นก็อดเลิกคิ้วสูงไม่ได้ “นะ…นี่เหมือนจะไม่ใช่สุราองุ่น ? ”
หลินจื่อเหยียนรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาทันที “นี่คือสุราผลนมแพะขอรับ สุราองุ่นที่พี่รองหมักในปีก่อน พวกเราดื่มกันไปพอสมควรแล้ว นี่จึงเป็นสุราที่เพิ่งหมักขึ้นมาใหม่ หากท่านอาจารย์ชื่นชอบ อีกประเดี๋ยวเอากลับไปสักสองไหก็ได้ขอรับ…”
สุราองุ่นที่บ้านตระกูลหลินหมัก เจียงโม่หานก็เคยนำไปมอบให้อาจารย์ฟ่านอยู่บ่อยครั้ง อาจารย์ฟ่านดื่มตลอดฤดูหนาวที่ผ่านมา โรคปวดศีรษะจนนอนไม่ค่อยหลับก็เหมือนจะบรรเทาลงไม่น้อยเลย ช่วงนี้สุราองุ่นที่มีอยู่ก็ใกล้หมดแล้ว อาจารย์ฟ่านยังแอบบ่นในใจว่าเหตุใดเจียงโม่หานจึงไม่เอามาฝากเพิ่มสักที ที่แท้ก็ใจร้อนไปเอง !
“สุราผลไม้นี้ พี่รองของเจ้าเป็นคนหมักเองอย่างนั้นหรือ ? ” หลังจากอาจารย์ฟ่านได้รับคำตอบแล้วก็หันไปมองลูกศิษย์ที่แสนจะภาคภูมิใจทันที…โม่หานคงไม่โดนเอาชนะใจด้วยสุราเลิศรสกับอาหารแสนโอชะหรอกกระมัง ?
หลินจื่อเหยียนเริ่มพูดด้วยความกระตือรือร้นอีกครั้ง “อาจารย์ฟ่านขอรับ หากท่านนำสุราผลไม้นี้กลับไปแล้วควรเก็บไว้อีกสักสองเดือนแล้วค่อยนำออกมาดื่ม เพราะรสชาติจะกลมกล่อมยิ่งกว่าเดิมขอรับ”
เจียงโม่หานกวาดสายตามองน้องชายภรรยาปราดหนึ่ง ‘สุราหมักผลนมแพะนี้เกิดจากการที่ข้ากับเด็กน้อยขึ้นเขาครั้งก่อนแล้วเก็บผลนมแพะมาหมัก มีจำนวนทั้งหมด 3 ไห เจ้าช่างใจกล้าจริงๆ แค่ชั่วอึดใจก็มอบให้คนอื่นถึง 2 ไหแล้ว เจ้าเด็กนี่ อยากโดนสั่งสอนอีกแล้วสิท่า ! ’
อาจารย์ฟ่านจิบสุราไปพลางชิมอาหารเลิศรสไปด้วย พอปากว่างแล้วก็ชวนบัณฑิตเหล่านี้สนทนา “จื่อเหยียน บ้านเจ้ามีคนเข้าออกตลอด เห็นแล้วคึกคักน่าดู”
หลินจื่อเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่รองคิดจะทำแยมผลไม้และสุราหมักผลไม้ คนในหมู่บ้านก็ว่างกันอยู่ จึงขึ้นเขาไปเก็บสตรอเบอร์รี่ป่ากับผลนมแพะมาแลกเป็นเงินเล็กน้อยขอรับ”
บัดนี้ฉือหลี่โกวถือเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงในเขตเริ่นอัน จึงเป็นธรรมดาที่อาจารย์ฟ่านก็จะเคยได้ยินมาบ้าง เขารู้ว่าการเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านฉือหลี่โกวล้วนเกิดจากคู่หมั้นของศิษย์ที่ภาคภูมิใจคนนี้ อาศัยกำลังของตัวนางเองพาคนในหมู่บ้านขึ้นเขาไปเก็บของป่ากับเมล็ดสนแล้วชักชวนคนในหมู่บ้านให้สร้างโรงงานแปรรูปเมล็ดสนขึ้นมา นอกจากนี้ยังรับซื้อผลไม้ป่าที่พวกชาวบ้านหามาได้ในราคาสูงเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ทุกคน พูดกันว่าแม้แต่หมู่บ้านข้าง ๆ ก็ยังพลอยได้รับผลประโยชน์ไปด้วย…
พอลองคิดให้ดีแล้วก็เริ่มเข้าใจเรื่องการตัดสินใจของลูกศิษย์ หลินเว่ยเว่ยทั้งจิตใจดี น้ำใจกว้างขวางและเก่งกาจ ถือเป็นสตรีที่หาตัวจับได้ยาก ! แต่ไม่รู้ว่าหลังจากลูกศิษย์คนนี้สอบติดจิ้นซื่อกลายเป็นขุนนางหลักของราชสำนักแล้ว ภรรยาของเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง เขาจะนึกเสียใจที่เลือกนางในภายหลังหรือเปล่า ?
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว อาจารย์ฟ่านก็เดินทางกลับ บนรถม้ามีสุราผลนมแพะ 2 ไห เนื้อแผ่น 1 กล่องและยังมีขนมเด็กน้อยที่เก็บรักษาง่ายอีก 1 โถกระเบื้องเคลือบ…อาจารย์ฟ่านคิดภาพออกเลยว่าหลานชายวัย 4 ขวบของตนจะดีใจมากขนาดไหน…คู่หมั้นคนนี้ของโม่หานก็ถือว่าเก่งพอตัว !
…
เช้านี้หลินเว่ยเว่ยที่เก่งไปเสียทุกอย่างกำลังโมโหขั้นสุด ! นางควบคุมแรงตัวเองไม่อยู่จนชกต้นพลับในบ้านสกุลเจียงหักเป็นสองท่อนภายในหมัดเดียว หลินจื่อเหยียนและเผิงหยูเหยี่ยนมีสีหน้าตกตะลึง พวกเขาอดถอยออกมาสองก้าวไม่ได้ และก็อีกสองก้าว…
นางเฝิงที่ช่วยล้างผลไม้ป่าอยู่ในบ้านสกุลหลินก็ได้ยินเสียงดังจึงเดินเข้ามาดู เมื่อเห็นต้นพลับที่หักกองอยู่บนพื้นแล้ว นางก็ถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้น ? ต้นพลับนี้ขวางหูขวางตาเสี่ยวเว่ยของเรามากหรือ ? ข้าเองก็ไม่ชอบเจ้าต้นพลับนี้มานานแล้ว มันบดบังแสงในลานบ้าน เสี่ยวเว่ย เจ้าทำได้ดีมาก ! ”
มุมปากของหลินจื่อเหยียนกระตุก ‘น้าเฝิง เหตุใดท่านใจกล้าขนาดนี้ ? พริบตาเดียวก็พูดบ้าบออะไรไม่รู้ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีก่อน ท่านยังบอกว่าลูกพลับในบ้านเอามาทำขนมได้มีรสชาติหวานกำลังดีอยู่เลย ! ’
นางหวงก็เดินตามนางเฝิงเข้ามาในลานบ้านสกุลเจียง เมื่อเห็นฉากนี้แล้วนางก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เจ้ารอง เป็นอะไรไป ? ใครทำให้เจ้าอารมณ์เสียตั้งแต่เช้า ? ”
นางหวงมองต้นพลับที่หักเป็นสองท่อนบนพื้นแล้วแอบเวทนาผู้ที่หาเรื่องหลินเว่ยเว่ยในใจ…หลังจากบุตรสาวคนรองหายป่วยก็ไม่เคยโมโหใครขนาดนี้มาก่อน
หลินเว่ยเว่ยเข้าไปคว้าคอเสื้อของหลินจื่อเหยียน ก่อนจะถามว่า “เจ้ามั่นใจหรือว่าเห็นบัณฑิตน้อยเดินทางไปที่ตัวเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ ? ”
เท้าทั้งสองข้างของหลินจื่อเหยียนลอยเหนือพื้น เขาทำหน้าจะร้องไห้และรีบขอความเมตตาทันที “พี่รอง ข้าไม่ได้ช่วยพี่เขยรองปิดบังท่านจริง ๆ ข้าไม่รู้เรื่องมาก่อนจริง ๆ เขาไม่ได้มาคุยกับข้าเลย ! ข้ายังคิดว่าเขาบอกท่านแล้วเสียอีก…”
“เฮอะ ! ถ้าบอกแล้วเขาจะแอบออกไปตอนที่ข้าไปเดินออกกำลังกายบนเขา ? ถ้าบอกแล้วข้าจะไม่ไปส่งเขาด้วยหรือ ? ถ้า…เขาบอกข้าแล้ว ข้าจะวางใจให้เขาเข้าเมืองคนเดียวหรือเปล่า ? ” เมืองจงโจวอยู่ใกล้สนามรบขนาดนั้น หากชาวตงหูบุกเข้ามาได้ บัณฑิตน้อยจะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายหรอกหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยโยนตัวหลินจื่อเหยียนออกไปแล้วกัดฟันกรอดด้วยความโมโห ‘ดีนักนะ เจ้าบัณฑิตน้อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ยังไม่ยอมปรึกษาข้าก่อน รอดูข้าแผลงฤทธิ์ได้เลย ! ’
นางวิ่งไปที่คอกม้าตรงลานหลังบ้านด้วยสีหน้ามืดมน กระนั้น…อย่าว่าแต่ม้าเลย แม้แต่ล่อสักตัวก็ยังไม่มี นางโมโหจนคลั่ง แล้วลากหลินจื่อเหยียนที่คิดแอบหนีกลับมาไต่ถามที่คอกม้า “แล้วนี่หมายความว่าอย่างไร ? ”