ตอนที่ 458 บัณฑิตน้อยเป็นฝ่ายจูบนางก่อน?
นางจับใบหน้าหล่อเหลาของบัณฑิตหนุ่มด้วยมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด ก่อนที่เขาจะทันได้โต้ตอบ นางก็ยื่นหน้าไปกัดที่ริมฝีปากแสนยวนใจของเขาแล้ว จากนั้นก็ใช้ริมฝีปากของตนแตะสัมผัสลงที่อวัยวะเดียวกันของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วไปหนึ่งที เมื่อผละออกแล้วก็เอ่ยพร้อมสีหน้าภาคภูมิใจ “อืม…รสชาติไม่เลว ! ”
เจียงโม่หานอึ้งงันไปครู่หนึ่ง เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ‘มีการบอกว่ารสชาติไม่เลวอีกต่างหาก นี่เจ้าคิดว่ากำลังแทะตีนหมูอยู่หรือ ? ’ เอ่อ…ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องใช่หรือเปล่า ?
เฮอะ มาเอาเปรียบข้าแล้วยังคิดจะหนีไปง่าย ๆ น่ะหรือ ? มันง่ายขนาดนั้นที่ไหนกัน ?
ในขณะที่หลินเว่ยเว่ยกำลังจะเดินหนีไปด้วยความเขินอายและใจที่เต้นรัว คราวนี้เขาเป็นฝ่ายรุกนางก่อนโดยใช้มือเกี่ยวเอวนางไว้เพื่อดึงร่างบางเข้ามาใกล้ จากนั้นเขาก็ใช้มืออีกข้างประคองที่ท้ายทอยของนางเพื่อตรึงใบหน้าของนางไว้ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะประกบลงไปที่ริมฝีปากสีอมชมพูแสนอ่อนนุ่ม…
หลินเว่ยเว่ยเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ‘หืม ? นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ? บัณฑิตน้อย…บัณฑิตน้อยเป็นฝ่ายจูบข้าก่อน ? บัณฑิตน้อยไม่ได้ถูกมนต์ดำหรือวิชามารเล่นงานมาใช่หรือเปล่า ? เมื่อไม่กี่วันก่อนเขายังทำตัวสุขุมใส่ข้าอยู่เลย แต่มาวันนี้กลับละทิ้งความเย่อหยิ่งแล้วเป็นฝ่ายจูบข้าก่อน ? ข้าต้องฝันอยู่แน่ ๆ นี่คงเป็นฝันกลางวันแน่นอน ! ’
“เด็กโง่ หลับตาลง ! ”
แพขนตาของเจียงโม่หานกะพริบสัมผัสโดนปรางแก้มของนาง…อ่า ขนตาของบัณฑิตน้อยทั้งงอนทั้งยาว ราวกับใส่ขนตาปลอมเอาไว้ แถมยังเรียงเส้นสวยงามและเป็นสีดำสนิทอีกด้วย…คิกคิก หล่อมากเลย !
ด้วยความจนปัญญา เจียงโม่หานจึงใช้มือของตนปิดตานางไว้…แบบนี้เขาจะได้จดจ่ออยู่กับการจุมพิตนางเพียงอย่างเดียว !
…
ในยามที่เจียงโม่หานถอนริมฝีปากออกจากริมฝีปากบางของหลินเว่ยเว่ย เขาก็พบว่าทั้งใบหน้า หูและลำคอของนางได้กลายเป็นสีแดงระเรื่อไปแล้ว เจียงโม่หานถึงขั้นอมยิ้มให้แก่ความน่ารักของนาง ‘เด็กโง่ เจ้านี่เก่งแต่เรื่องลวนลามผู้อื่นผ่านทางวาจา แต่พอเอาเข้าจริงก็ยังสู้ข้าไม่ได้สักนิด ! ’
ในยามที่เจียงโม่หานมองมา หลินเว่ยเว่ยมีท่าทีเขินอายและทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นนางก็ทำเป็นกระแอมไอแล้วพูดด้วยท่าทีเหมือนทรราชน้อย “เจ้าโดนข้าประทับตราไว้แล้ว เจ้าจึงตกเป็นของข้า หลินเว่ยเว่ย แต่เพียงผู้เดียว ต่อไปนี้อยู่ให้ไกลจากพวกจิ้งจอกสาวเหล่านั้นหน่อย ! ”
“ได้ ! ต่อไปนี้ไม่ว่าในใจหรือในสายตาของข้าจะมีเพียงจิ้งจอกน้อยที่ชื่อหลินเว่ยเว่ยผู้เดียวเท่านั้น ! ” ในแววตาของเจียงโม่หานเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนราวกับสายลมที่พัดผ่านต้นหลิว เพราะกลัวว่าหากพูดดังเกินไปอาจทำให้สตรีตรงเบื้องหน้าตกใจ แม้ภายนอกนางจะดูเหมือนไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากนัก แต่ในใจกลับเขินอายจนแทบอยากมุดดินหนี
หลินเว่ยเว่ยกัดริมฝีปากของตนด้วยความขัดเขิน “เจ้าต่างหากที่เป็นจิ้งจอกน้อย ! ข้าเป็นกระต่ายน้อยที่ไร้เดียงสาต่างหาก ! ”
“ได้ ! เช่นนั้นจิ้งจอกน้อยจะปกป้องกระต่ายน้อยจากการถูกหมาป่าร้ายตัวใหญ่ลากไปกิน ! ” เจียงโม่หานปัดไล่ปอยผมให้นางอย่างอ่อนโยน…เด็กโง่พูดได้ดี ประทับตราอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ถือว่าเป็นสตรีของข้าแล้ว ใครก็อย่าหมายจะมาช่วงชิงไปเด็ดขาด !
ยามนี้ ในใจของหลินเว่ยเว่ยได้ถูกเติมเต็มด้วยสิ่งที่เรียกว่าความสุข นางลุกขึ้นยืนบนก้อนหินใหญ่ที่อยู่ริมเชิงเขา จากนั้นก็ตะโกนลงไปว่า “บัณฑิตน้อยเป็นของหลินเว่ยเว่ย…”
เสียงสะท้อนก้องในหุบเขาประหนึ่งว่าสะท้อนอยู่รอบตัวเขาและนาง มันดังก้องในหูของทั้งคู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจียงโม่หานเลียนแบบนางเช่นกัน เขาตะโกนขึ้นไปว่า “หลินเว่ยเว่ยเป็นของเจียงโม่หาน…”
เสียงสะท้อนในหุบเขาดังกลับมาว่า ‘เป็นของเจียงโม่หาน…เจียงโม่หาน…เจียงโม่หาน…’
ทั้งสองยืนเคียงข้างกันบนก้อนหินอยู่เช่นนั้นพลางทอดมองดวงอาทิตย์สีแดงที่ส่องแสงมาที่พวกตนอย่างอบอุ่น หากมองจากแผ่นหลังของทั้งสองแล้วดูคล้ายกับว่ากำลังเปล่งแสงเรืองรองออกมา
แต่แล้วเสียงหอบแฮ่กที่ดังขึ้นจากด้านหลังของพวกนางได้ทำลายบรรยากาศอันหวานชื่นนี้จนหมดสิ้น “รู้แล้ว รู้แล้ว ทั่วหล้านี้ต่างรู้กันหมดแล้วว่าบัณฑิตน้อยเป็นของหลินเว่ยเว่ย และหลินเว่ยเว่ยเป็นของเจียงโม่หาน ดูสิ นี่มันเวลาไหนแล้ว พวกท่านไม่หิวกันหรือ ? ”
หลินจื่อเหยียนหมดคำจะพูดจริง ๆ ในทุกเช้าพี่รองก็มักเดินขึ้นเขาเพื่อมาออกกำลังกาย ส่วนพี่เขยรองก็มักจะขึ้นมารับแสงแดดอบอุ่นในยามเช้าเช่นเดียวกัน และพอทั้งสองลงจากเขาแล้วก็เป็นเวลากินอาหารเช้าพอดี แต่วันนี้อาหารเช้าทำเสร็จตั้งนานแล้วทั้งคู่ยังไม่กลับมาเสียที ตอนแรกเขาก็นึกว่าทั้งคู่เป็นอะไร จึงดั้นด้นขึ้นเขามาตามหา ผลปรากฏว่าทั้งคู่กำลังพลอดรักกันจนลืมเวลา ! ไอหยา รักกันจนไม่ยอมกินข้าวเช้า !
หลินเว่ยเว่ยกระโดดลงจากก้อนหินด้วยความเขินอาย จากนั้นนางก็แสร้งก้มหน้าก้มตาเก็บอุปกรณ์วาดภาพของบัณฑิตน้อย ส่วนเจียงโม่หานไม่แสดงสีหน้าใด ราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เล่นเอาหลินจื่อเหยียนถึงขั้นแอบบ่นในใจว่า ‘เฮอะ บุรุษหนังหน้าหนา ! ’
ดูเหมือนวันเวลาช่วงก่อนวันสอบเซียงซื่อจะติดปีกบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานเวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงปลายเดือนเจ็ด เวลานี้เป็นช่วงที่ผลไม้ป่าทยอยสุกงอม งานแปรรูปแยมผลไม้ ผลไม้อบแห้ง เหล้าผลไม้รวมถึงเนื้อแผ่นยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่ว่างเว้น นับได้ว่านี่เป็นช่วงเวลายุ่งที่สุดของบ้านสกุลหลิน
ทว่าหลินเว่ยเว่ยไม่ได้สนใจกิจการเหล่านี้มากนัก เพราะแม้การสอบสนามแรกของการสอบระดับเซียงซื่อจะถูกจัดขึ้นในช่วงเดือนแปดหรือไม่ก็ต้นเดือนเก้า ต่อให้ไม่ต้องกังวลเรื่องบ้านเช่า แต่เพื่อให้บัณฑิตในครอบครัวได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของสนามสอบในเมืองเหอโจวโดยเร็ว พวกนางจึงต้องออกเดินทางตั้งแต่ปลายเดือนเจ็ด !
หลินเว่ยเว่ยตรวจสอบสัมภาระอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าไม่ได้ขาดตกบกพร่องอะไรแล้ว นางจึงหันไปมองเหล่าผู้ที่มาส่ง “น้าเฝิง ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่ไปกับพวกข้า ? ”
นางเฝิงยิ้มแล้วส่ายหน้า “ข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีเจ้าอยู่ ข้าก็วางใจ แล้วอีกอย่างช่วงนี้ครอบครัวของเรามีงานให้ทำมากมาย ข้าปลีกตัวไปไหนไม่สะดวกหรอก”
“ตกลง” หลินเว่ยเว่ยคิดว่าการที่บุตรชายของน้าเฝิงไปเข้าร่วมการสอบ ในฐานะบิดามารดาควรจะเป็นกังวล หากไม่ตามไปแล้วจะวางใจได้อย่างไร ใครจะรู้ว่าน้าเฝิงใจกว้างถึงเพียงนี้…“ข้าจะดูแลบัณฑิตน้อยให้ท่านอย่างดี ท่านอยู่บ้านรอฟังข่าวดีจากพวกข้าเถิด”
หลินจื่อเหยียนยื่นศีรษะออกจากรถม้า “พี่รอง อย่าลืมว่ายังมีข้าและพี่เขยใหญ่อยู่อีกคน! คราวนี้ไม่ได้มีแค่บัณฑิตน้อยของท่านคนเดียวเสียหน่อย ! ”
ข้าต่างหากที่เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกับท่าน อย่าลืมดูแลข้าด้วย ?
หลินเว่ยเว่ยหันกลับไปถลึงตาใส่เขา “เจ้าอยู่ในระดับไหนยังไม่รู้ตัวอีกหรือ ? บัณฑิตน้อยต่างหากที่เป็นความหวังและความภาคภูมิใจของหมู่บ้านเรา ! ก็เหมือนการดูแลสัตว์คุ้มครองชนิดพิเศษนั่นแหละ ห้ามให้มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด ! ”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าเห็นด้วย หมู่บ้านฉือหลี่โกวมีบัณฑิตซิ่วไฉถึงสองคนและหนึ่งในนั้นยังสอบได้อั้นโฉ่วแห่งเมืองจงโจวอีกด้วย เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้ใหญ่บ้านอย่างตนได้เชิดหน้าชูตาในหมู่ผู้ใหญ่บ้านอื่น ๆ แล้ว หากในอนาคตมีคนสอบได้บัณฑิตจู่เหรินหรือจิ้นซื่อขึ้นมา อย่าว่าแต่เขาเลย ผู้คนในหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็จะมีเกียรติและศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน !
เขามองไปยังหลินเว่ยเว่ยแล้วพูดกำชับว่า “นางหนูรอง การสอบระดับเซียงซื่อของเจียงอั้นโฉ่วคงต้องไหว้วานให้เจ้าดูแลเรื่องความเป็นอยู่และที่พักอาศัยแล้ว ! ”
คนที่มาส่งในคราวนี้ล้วนเป็นคนที่ค่อนข้างสนิทกับตระกูลหลินและตระกูลเจียง ต่างคนต่างอวยพรพวกเขา จนกระทั่งหลินเว่ยเว่ยกระโดดขึ้นไปบนรถม้าแล้วนางถึงได้หันไปโบกมือให้ญาติสนิทมิตรสหายทุกคน “ไม่ต้องกังวล ! ข้ามีประสบการณ์เรื่องดูแลผู้เข้าสอบ ข้ารับประกันเลยว่าจะพาบัณฑิตน้อยไปอย่างไรก็จะพาเขากลับมาอย่างนั้น จะไม่ให้เขาเป็นอะไร ไม่ให้เส้นผมของเขาหลุดร่วงแม้แต่เส้นเดียว…”
รถม้าโอนเอนขณะเคลื่อนตัวออกไป เจียงโม่หานรอให้หลินเว่ยเว่ยนั่งลงก่อน เขาถึงได้นำเส้นผมของตนที่เพิ่งหลุดร่วงเมื่อครู่นี้มายื่นให้นางดูตรงหน้า “ดูสิ ร่วงตั้งหนึ่งเส้น ! ”
ผู้ที่ขับรถม้ายังคงเป็นเหลยหยู่น้องชายคนโตของหยาเอ๋อร์
เมื่อหลินเว่ยเว่ยได้ยินแบบนั้นก็คว้าเส้นผมในมือของเขาแล้วโยนออกไปนอกหน้าต่างรถม้า “ไหน ? ไม่เห็นมีสักหน่อย ! บัณฑิตน้อย เจ้าจะปรักปรำใครต้องมีหลักฐาน ! ”
“หลักฐานหรือ ! ” เจียงโม่หานมองเส้นผมของตนที่ห้อยลงมาตรงแผงอก มือของเขาก็เริ่มขยับอย่างไม่อยู่สุขแล้ว
หลินเว่ยเว่ยเดาออกว่าต่อไปเขาจะทำอะไรจึงรีบหยุดมือใหญ่ของเขาไว้ทันที “เจ้าอยากดึงเส้นผมของตนจนหัวล้านเป็นหย่อมหรือไร ? ”