ตอนที่ 470 ถังข้าวยังใส่ข้าวได้ แล้วเจ้าเอาอะไรไปเปรียบกับมัน
เวลานี้หลินจื่อเหยียนได้ยินลูกค้าในร้านอาหารกำลังสนทนากันถึงข่าวชัยชนะของกองทัพชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือ เขาจึงยิ้มแป้นพลางกล่าวว่า “ยอดเยี่ยมมากเลย ในที่สุดพวกเราก็สามารถขับไล่ชนป่าเถื่อนอย่างชาวตงหูให้กลับทุ่งหญ้าได้เสียที ! คราวนี้ท่านแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องลี้ภัยสงครามไปที่อื่นอีกแล้ว ! ”
ราชวงศ์ต้าเซี่ยเพิ่งสถาปนาขึ้นใหม่ได้เพียงไม่กี่ปี ตระกูลหลินก็ต้องอพยพหนีภัยสงครามมาที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวแล้ว ก่อนหน้านี้นางหวงและนางเฝิงมักจะเล่าเรื่องความยากลำบากสมัยลี้ภัยสงครามให้ลูก ๆ ฟังเป็นประจำ ในช่วงสงครามนั้นผู้คนไม่มีแม้กระทั่งเสื้อผ้าจะสวมใส่หรืออาหารให้กิน ผู้ที่มีชีวิตอยู่รอดมาได้ล้วนเป็นผู้มีบุญเก่าทั้งนั้น
ในปีนั้นหากไม่ใช่เพราะผู้เป็นบิดามีความขยันขันแข็งและมีความสามารถหลากหลาย ตระกูลหลินคงไม่ได้มีโอกาสอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันจนกระทั่งหนีมาลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านฉือหลี่โกว
…
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งกล่าวเรื่องพวกนี้เลย รีบกลับบ้านไปดื่มน้ำขิงสักหน่อยเถิด ประเดี๋ยวจะป่วยเอาได้ ! ”
บ้านที่พวกนางเช่าไว้อยู่ไม่ไกลจากสนามสอบมากนัก ขากลับก็แค่เดินเร็วหน่อย ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มานั่งพักอยู่ในห้องโถงกลางพร้อมจิบน้ำขิงไล่ความหนาวเย็นแล้ว
หลินเว่ยเว่ยเห็นว่าบัณฑิตทั้งสามมีสีหน้าดูดีจึงกล่าวว่า “ในหม้อมีน้ำร้อนอยู่ พวกเจ้าอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ส่วนข้าจะไปทำอาหารให้กิน ! ”
หลินจื่อเหยียนเอ่ยว่า “ทำอาหารที่ย่อยง่ายหน่อยเถิด หลายวันมานี้ข้าเขียนข้อสอบจนแทบอาเจียน ไม่นึกอยากอาหารเลย…”
“ช่างหาได้ยากยิ่ง เจ้าเองก็มีช่วงเบื่ออาหารเหมือนคนอื่นด้วยหรือ ! ” หลินเว่ยเว่ยไม่วายหยอกเย้าน้องชาย
หลินจื่อเหยียนได้ยินพี่รองหยอกล้อแบบนั้นจึงเถียงกลับทันที “พี่รอง ท่านพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร ? พูดราวกับข้าเป็นถังข้าวสารก็ไม่ปาน”
“ถังข้าวสารยังใส่ข้าวได้ แล้วเจ้าเอาอะไรไปเปรียบกับมัน ? ”
ในเมื่อเหล่าบัณฑิตเพิ่งสอบเสร็จและยังกินอะไรไม่ลง นางกลัวว่าหากทำของที่มันเลี่ยนเกินไปจะทำให้ย่อยยาก หลินเว่ยเว่ยจึงทำเมนูอาหารที่ย่อยง่าย รสชาติไม่จัดจ้านเกินไป
หลินจื่อเหยียนพูดอย่างไม่ยอม “พี่รอง ข้าเป็นถึงบัณฑิตซิ่วไฉเชียวนะ ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ต้องไว้หน้ากันบ้าง ! ”
“ใบหน้าก็เป็นของเจ้าเอง จะให้ผู้อื่นรักษาได้อย่างไร ! ” หลินเว่ยเว่ยทำอาหารรวดเร็วมาก หลังจากที่บัณฑิตทั้งสามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เริ่มกินข้าว
หลินเว่ยเว่ยคีบเนื้อปลากระพงนึ่งให้คู่หมั้นหนุ่ม หลินจื่อเหยียนเห็นเช่นนั้นก็บ่นอุบ “สตรีเมื่อเติบใหญ่ก็ต้องแต่งงานออกเรือนไป สุดท้ายก็กลายเป็นคนนอก…”
“การที่ข้าคีบอาหารให้บัณฑิตน้อย ก็เพราะว่าเขาทำข้อสอบได้ดี ! หากเจ้าสามารถรับประกันได้ว่าในการสอบคราวนี้ตนจะสอบได้จู่เหริน ข้าจะยกปลาทั้งจานให้เจ้าเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยมองค้อนอีกฝ่าย
หลินจื่อเหยียนแทบสำลักข้าวที่กินเข้าไป เขากล่าวพร้อมสีหน้าห่อเหี่่ยว “รายชื่อยังไม่ทันประกาศออกมา ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าคู่หมั้นสุดที่รักของตนก็จะสอบติด ? ”
“อย่างน้อยก็ต้องได้คะแนนดีกว่าเจ้า ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยคำนี้ออกมา ทำเอาเขาเถียงไม่ออก จากนั้นนางก็หันไปหาคู่หมั้นของตน “เป็นอย่างไรบ้าง ? มั่นใจหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานกินเนื้อปลาที่คู่หมั้นตั้งใจคีบให้แล้วพยักหน้าพลางกล่าวว่า “สามอันดับแรกไม่ไกลเกินเอื้อม ! ” คำพูดนี้ของเขาไม่ได้เกิดจากความย่ามใจ เพราะหากไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วตำแหน่งเจี้ยหยวน (ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบระดับมณฑล) น่าจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
จากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็หันไปทางเผิงหยูเหยี่ยนและหลินจื่อเหยียน ทั้งคู่ดูไม่มีความมั่นใจแต่อย่างใด โดยเฉพาะหลินจื่อเหยียนที่ตลอดหลายวันมานี้เหมือนทำข้อสอบไปตามยถากรรม ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเจ็บปวดเหมือนโดนแทงใจดำอย่างบอกไม่ถูก
ทว่าเขาก็ยังเป็นเด็กหนุ่มไม่ใช่หรือ ? ล้มเหลวบ้างย่อมมีประโยชน์ต่อการเติบโตในอนาคต จะได้ไม่เป็นผู้ถือหางตนเอง เป็นพวกยกตนข่มท่าน
ฝนตกนานกว่าครึ่งค่อนคืนถึงจะหยุด วันต่อมาพวกนางก็เก็บของเตรียมกลับฉือหลี่โกว หลินฉานเอ๋อร์ที่เอานกแก้วห้าสีมาคืนก็เห็นว่าอีกฝ่ายเก็บสัมภาระขึ้นรถม้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางจึงถามว่า “พี่เว่ยเว่ย ไม่รออยู่ดูรายชื่อประกาศก่อนหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “กลับไปรอที่บ้านก็เหมือนกัน”
พวกตนออกเดินทางมาต่างเมืองในคราวนี้ ทำให้ที่บ้านเหลือแต่เด็กและสตรีแค่ห้าคน แม้จะบอกว่ามีชาวบ้านคอยช่วยเหลือดูแลกันอยู่ แต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้
หลินฉานเอ๋อร์จับมือนางไว้แน่นราวกับไม่อยากอำลา “พี่เว่ยเว่ย หากท่านมีเวลาว่างก็อย่าลืมมาหาข้าที่จวนตระกูลหลินในเมืองจงโจวบ้าง…แล้วก็พาเจ้านกแก้วตัวนี้มาด้วย…”
เอ่อ สาวน้อย ประโยคสุดท้ายจึงจะเป็นเป้าหมายแท้จริงของเจ้ากระมัง ? หืม ! หรือว่ายุคสมัยนี้มนุษย์ยังเทียบกับนกไม่ได้ !
หลินชิงหยูไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาดึงตัวน้องสาวกลับมาแล้วทำเป็นเอ่ยเชิงตำหนิ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าอีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องกลับเมืองหลวงแล้ว…”
เนื่องจากกลัวว่าพวกหลินเว่ยเว่ยจะเข้าใจผิด นึกว่าตนปฏิเสธไม่อยากให้อีกฝ่ายมาเยี่ยมเยียนที่บ้าน เขาจึงรีบกล่าวว่า “ด้วยความสามารถของน้องเจียง ครั้งนี้ข้าเชื่อว่าท่านจะต้องมีชื่อติดอันดับ อีกไม่กี่วันคงต้องได้เก็บสัมภาระเตรียมไปสอบในเมืองหลวงแน่นอน ! ”
นี่เพิ่งกลางเดือนแปด กว่ารายชื่อจะออกก็คงสิ้นเดือน ต้องเข้าเมืองหลวงเร็วขนาดนั้นเชียวหรือ? หลินเว่ยเว่ยคิดได้เช่นนั้นจึงอดที่จะกล่าวไม่ได้ “จากจงโจวไปยังเมืองหลวง ต่อให้เป็นเส้นทางบกก็ใช้เวลาไม่ถึงเดือน ที่จริงยังสามารถร่วมฉลองปีใหม่อยู่ที่บ้านได้ไม่ใช่หรือ ? ”
หลินชิงหยูอดกล่าวเตือนไม่ได้ “ต่อให้เป็นบัณฑิตจากแดนใต้ก็ต้องเดินทางไปเมืองหลวงล่วงหน้าหลักเดือน เพราะถ้าเดินทางในช่วงเวลากระชั้นชิดเกินไปแล้วเผชิญพายุหิมะหรือพายุฝนระหว่างเดินทางขึ้นมา ก็อาจทำให้การเดินทางล่าช้าไปนับสิบวันหรืออาจช้าไปถึงครึ่งเดือนได้เลย หลังจากเดือนสิบไปแล้วก็จะเข้าสู่ฤดูกาลหิมะตก ส่งผลให้การเดินทางยากลำบาก…ทางที่ดีน้องเจียงควรออกเดินทางล่วงหน้า จะได้ไม่พลาดโอกาสของตนเอง ! ”
“หืม ? หมายความว่าบัณฑิตน้อยต้องรีบเข้าเมืองหลวงตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเก้าน่ะสิ…” เวลานี้หลินเว่ยเว่ยถึงได้รู้สึกว่าตนไร้เดียงสาขนาดไหน เพราะการคมนาคมในยุคสมัยนี้ล้าหลังมาก ไม่เหมือนรถไฟใต้ดินหรือรถไฟความเร็วสูงในชาติที่แล้วซึ่งต่อให้ลมพายุฝนโหมกระหน่ำเพียงใดก็ยังสามารถเดินทางได้…เช่นนี้ถ้าลองคำนวณเวลาแล้ว เมื่อนางกลับถึงบ้านก็ต้องเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที !
เจียงโม่หานขอบคุณคำเตือนของหลินชิงหยู หลังส่งสองพี่น้องกลับไปแล้วก็ได้หันไปเอ่ยกับหลินเว่ยเว่ย “พี่ชิงหยูพูดถูก อย่างช้าสุด…ปลายเดือนเก้าต้องออกเดินทางแล้ว”
หลินเว่ยเว่ยถามต่อ “ปลายเดือนเก้า…มันจะไม่ช้าเกินไปหน่อยหรือ ? ช่วงเดือนสิบหมู่บ้านของเราก็มีหิมะตกแล้วนะ ! ”
เจียงโม่หานเคาะศีรษะนางพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลืมไปแล้วหรือว่าครานี้เราต้องเดินทางลงใต้”
เด็กโง่ผู้นี้ บางทีก็ฉลาดราวกับปิศาจสาว บางทีก็เลอะเลือนจนน่ารักเสียเหลือเกิน
หลินเว่ยเว่ยเอ่ยพึมพำว่า “ปลายเดือนเก้า…ก็ยังช้าไปหรือไม่ ? เพราะถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาเดินทางเป็นเดือนเชียวนะ…”
หลังจากที่นางทะลุมิติมา สถานที่เคยเดินทางไปไกลสุดก็คือเมืองเหอโจวแห่งนี้ ขนาดเดินทางแค่สองวันยังทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้าจนสายตัวแทบขาด แค่คิดว่าต้องเดินทางกลับอีกสองวัน นางก็เวียนศีรษะแล้ว…
เจียงโม่หานกลับมีท่าทีสงบมาก เพราะถึงอย่างไรชาติที่แล้วเขาก็เคยเดินเท้าเข้าเมืองหลวง แต่ในชาตินี้เขาไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าอาหาร อีกทั้งกระเป๋าเงินก็ยังตุงขนาดนี้ มีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก ?
เขาก้มหน้ามองนางที่นั่งอยู่ด้านข้าง ในเวลานี้นางกำลังพูดพึมพำกับตนเองถึงข้าวของที่ต้องเตรียมไปด้วย เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้นหรอก เตรียมแค่ของใช้จำเป็นก็พอแล้ว…ไม่อย่างนั้นเจ้าก็รออยู่ที่บ้าน จะได้คอยดูแลป้าหวงและเอ้อร์ฮว๋า…”
“ไม่ได้ ! เจ้าอย่าได้คิดจะทิ้งข้าไว้เด็ดขาด ! ” หลินเว่ยเว่ยเงยหน้าขึ้นจับจ้องไปยังใบหน้ารูปงามนั้น “บุรุษรูปงามเช่นเจ้า หากไม่มีข้าคอยเฝ้าอยู่ข้างกายก็ไม่รู้ว่าจะไปดึงดูดนางจิ้งจอกตัวใดเข้ามาบ้าง ! ได้ยินว่าในเมืองหลวงขึ้นชื่อเรื่องการจับสามีผู้ที่สอบติดขุนนาง เจ้าทั้งรูปงามและมากความสามารถ จึงอันตรายยิ่งนัก ! ไม่ได้ ข้าต้องตามไปเฝ้าเจ้า ! ”
“เช่นนั้นก็ทำให้ใบหน้าที่ชอบสร้างปัญหาของข้ามีรอยแผลดีหรือไม่ ? จะได้ไม่เป็นอันตรายอีก ? ” เจียงโม่หานหันไปกล่าวกับนางด้วยรอยยิ้ม