ตอนที่ 487 ฮ่องเต้คงไม่ได้ชอบนางหรอกกระมัง ?
เจียงโม่หานส่งสายตาให้ว่าที่น้องภรรยา ยากนักที่หลินจื่อเหยียนจะเข้าใจในทันที เขารีบหยิบพู่กัน แท่นฝนหมึกและกระดาษลงจากรถม้า จากนั้นก็รีบฝนหมึกอย่างรวดเร็ว เจียงโม่หานวางกระดาษลงที่พื้นรถม้าด้านหน้า ทันใดนั้นฮ่องเต้หยวนชิงก็เริ่มจรดปลายพู่กันเพื่อสร้างลายเส้นอันทรงพลังและมีชีวิตชีวาเป็นตัวอักษรประโยคสั้น ๆ นอกจากนี้ยังลงวันที่และประทับพระราชลัญจกรไว้ที่ด้านล่างอีกด้วย
“ว้าว ! ” ฮ่องเต้ทรงมีพระปรีชาสามารถขนาดนี้เชียวหรือ ? อักษรไม่กี่ตัวช่างทรงพลังแต่ก็นุ่มนวลดั่งอาชาเหล็ก หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะประจบ “ล้ำค่ามากเจ้าค่ะ นี่จะต้องเป็นภาพเขียนลายมือที่หาได้ยากยิ่ง! รอให้พวกเราได้ปักหลักที่เมืองหลวงเมื่อใด ข้าน้อยจะนำไปใส่กรอบแล้วแขวนไว้ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ ! ”
เหล่าข้าราชบริพารที่อยู่ข้างหลังฮ่องเต้หยวนชิงรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที…ทั้งราชสำนัก ผู้ที่มีภาพวาดลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ นอกจากหมินอ๋องแล้วก็คือเด็กที่ไม่ทราบหัวนอนปลายเท้าตรงหน้าคนนี้ อยากจะแย่งมาจากมือนางจริง ๆ !
ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มพระสรวลแล้วหันไปมองอาชาตัวโปรดที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น อาชาตัวนี้เคยร่วมรบกับพระองค์มาก่อน สำหรับพระองค์แล้ว มันก็เป็นสหายร่วมรบคนหนึ่งเหมือนกัน วันนี้พระองค์เกิดนึกสนุก จึงแต่งตัวเป็นสามัญชนแล้วควบอาชาออกจากคอกอาชาหลวง ออกมาวิ่งรอบเมืองหลวงสักสองสามรอบ…เรื่องประเภทนี้ ในอดีตพระองค์ก็กระทำอยู่บ่อยครั้ง
ในช่วง 6 ปีมานี้ ทรงเข้าพระทัยผิดว่าในวังหลวงปลอดภัยที่สุด พระองค์จึงคาดไม่ถึงว่าจะยังมีศัตรูแอบซ่อนตัวอยู่ ถ้าวันนี้ไม่ได้บังเอิญมาเจอเด็กสาวทรงพลังคนนี้ พระองค์ก็คงจะรอดกลับไปยาก และแผ่นดินต้าเซี่ยที่เพิ่งสงบได้เพียงไม่กี่ปี ก็คงต้องมีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินอีกแล้ว…
หลินเว่ยเว่ยเห็นพระองค์ทอดพระเนตรไปทางอาชาที่กำลังนอนอยู่บนพื้นด้วยความโศกเศร้า นางจึงรีบพูดว่า “ข้าน้อยแค่ทำให้ม้าสลบไปเท่านั้น อีกไม่นานมันก็จะตื่นขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเดาฐานะของอีกฝ่ายแล้วคิดว่าการเป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องง่าย ควบม้าออกมาก็ยังโดนคนลอบทำร้าย บทการวางอุบายในหนังสือนิยายและละครโทรทัศน์ นางเองก็เห็นมาพอสมควร…นางจึงเข้าใจแต่พูดไม่ได้ เพราะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชิงบัลลังก์ !
“เอ่อคือ…นี่ก็เย็นมากแล้ว ถ้ายังไม่ออกเดินทางอีกพวกเราคงไปไม่ทันก่อนประตูเมืองจะปิด ใต้เท้า พวกเรา…อำลากันแค่นี้เถิดเจ้าค่ะ ? ” หลินเว่ยเว่ยทำมือคารวะฮ่องเต้หยวนชิง เอาเป็นว่ารีบหนีดีกว่า !
ขณะมองท่าทางอยากจากไปของนาง ฮ่องเต้หยวนชิงก็ลอบยิ้มในหทัย…พระองค์เป็นน้ำป่าไหลหลากหรือสัตว์ร้ายกันแน่ ? เด็กคนนี้จะต้องเดาฐานะของพระองค์ออกแล้วแน่นอน เป็นเด็กน้อยที่ฉลาดจริง ๆ ! วันเวลายังอีกยาวไกล…ฮ่องเต้หยวนชิงสบเข้ากับดวงตาของนางอย่างไม่ได้คิดอะไร พร้อมกับโบกพระหัตถ์ให้พวกนางจากไปได้
คราวนี้หลินเว่ยเว่ยไม่ได้ขี่ม้าจึงให้หยาเอ๋อร์ขี่แทน นางเข้าไปนั่งในรถม้าและพูดกับเจียงโม่หานว่า “ที่เขามองมาเมื่อครู่หมายความว่าอย่างไร ? คงไม่ได้ชอบข้าเข้าหรอกกระมัง ? ”
ดวงตาเจียงโม่หานเหลือบมองใบหน้าของนางครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจพลางพูดว่า “เจ้าคิดมากแล้ว…” โรคหลงตัวเองนี้ต้องได้รับการรักษา !
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? หรือข้าไม่คู่ควรให้คนอื่นมาชอบ ? ” หลินเว่ยเว่ยอารมณ์เสียขึ้นมาทันที นางชูนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ขึ้นมา…พูดดี ๆ ถ้าทำให้ข้าไม่พอใจ ระวังข้าจะลงโทษเจ้า !
เจียงโม่หานรีบเบี่ยงเบนความสนใจของนาง “เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่าใต้เท้าท่านนั้นดูจะสนใจจี้หยกของเจ้าเกินไปหน่อย ? ”
“จี้หยกของเจ้าต่างหาก ! แต่ตอนนี้เป็นของข้าแล้ว…มันจะเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของเจ้าหรือเปล่า ? หรือว่าเจ้าจะเป็นบุตรชายที่พลัดพรากไปของเขา ? ” หลินเว่ยเว่ยเบิกตากว้าง…ว้าว นางเก็บสมบัติได้สิท่า ชาติกำเนิดของบัณฑิตน้อยไม่ธรรมดา !
“เจ้า…คิดมากไปแล้ว ! ” เด็กน้อยฉลาดจริง ๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่นางคิดผิดไปหน่อย เขามองจี้หยกสุดรักสุดหวงของคู่หมั้นปราดหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรได้บางอย่าง “เจ้ารู้ฐานะแท้จริงของคนผู้นั้นแล้วหรือ ? ”
“เจ้าเองก็สังเกตเห็นแล้ว ? ” หลินเว่ยเว่ยทำหน้าตื่นเต้น…นางเข้าใจไม่ผิด บัณฑิตน้อยฉลาดขนาดนี้ จะเดาฐานะของอีกฝ่ายไม่ออกได้อย่างไร ? “มีสมบัตินี้แล้ว ข้าก็จะปกป้องเจ้าได้ ! ดูสิว่าใครยังจะกล้ามารังแกเจ้าอีก ! ”
เจียงโม่หาน “…” ภาพวาดลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ยังใช้งานประเภทนั้นได้ด้วยหรือ ?
หลินจื่อเหยียนมองพี่รองแล้วก็หันไปมองเจียงโม่หาน ก่อนจะพูดด้วยความงุนงง “พวกท่าน…กำลังเล่นทายคำปริศนาอะไรกันอยู่ ? ”
“ไป ไป ! ผู้ใหญ่คุยกัน เด็กน้อยอย่ามายุ่ง ! ” หลินเว่ยเว่ยเปิดภาพวาดลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้อย่างระมัดระวังแล้วเอ่ยปากชมครั้งแล้วครั้งเล่า ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางโง่งม แต่ก็น่ารักมาก
เจียงโม่หานอารมณ์เสีย “ลายมือของข้ายังไม่พอให้เจ้าชื่นชมอีกหรือ ? ”
“จะเหมือนกันได้อย่างไร ? ภาพเขียนลายมือของเขาคนนั้น แม้จะเขียนด้วยลายมือไก่เขี่ยก็ยังมีคนแย่งกันครอบครอง ! ” หลินเว่ยเว่ยกลัวนิสัยทำอะไรไม่ระวังของตน กลัวจะทำให้ภาพวาดลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้เสียหาย นางจึงยื่นให้เจียงโม่หานเป็นคนเก็บ
เจียงโม่หานม้วนใส่กระบอกไม้ไผ่แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าหมายความว่า…ภาพเขียนลายมือของข้าไม่มีคนอยากได้ ! ”
“ข้าอยากได้ ! ข้าอยากได้ที่สุด ! ” หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขา “ว่าไปแล้ว…เจ้ายังไม่เคยเขียนจดหมายรักหรือแต่งกลอนบอกรักให้ข้าเลย ! ”
หลินจื่อเหยียนกลอกตา ก่อนจะบอกให้ซัวถัวหยุดรถม้า…เขายอมไปนั่งตากลมอยู่หลังรถม้า ยังจะดีกว่ามานั่งสูดอากาศเลี่ยนๆ ในนี้
พลบค่ำ หลินเว่ยเว่ยยืนอยู่หน้าหอคอยสูงและมองไปยังกำแพงสูงตระหง่านอันแข็งแกร่ง…เมืองหลวง ข้ามาแล้ว !
ฟ้ามืดมิด พวกนางจึงเข้าพักที่โรงเตี๊ยมขนาดกลางและเปิดห้องสามห้อง หยาเอ๋อร์ไม่ยอมนอนห้องเดียวกับซัวถัว เพราะตกลงกันแล้วว่าพวกตนตามมารับใช้เจ้านาย หากไม่อยู่ห้องเดียวกับเจ้านายแล้วจะรับใช้อย่างไร ?
สุดท้ายเจียงโม่หาน หลินเว่ยเว่ยและน้องชายก็นอนกันคนละห้อง หยาเอ๋อร์นอนห้องเดียวกับหลินเว่ยเว่ย ส่วนซัวถัวนอนกับหลินจื่อเหยียน เดิมทีซัวถัวจะอยู่ห้องเดียวกับเจียงเจี้ยหยวน ทว่าเจียงเจี้ยหยวนแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการคนคอยรับใช้ เนื่องจากฐานะเริ่มต่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซัวถัวจึงรู้สึกเกรงกลัวและดูเคารพเจียงโม่หานยิ่งกว่าเดิม
หลังกลับถึงวังหลวง ฮ่องเต้หยวนชิงก็บัญชาให้มีการตรวจสอบภายในวังหลวงอย่างเข้มงวดหนึ่งรอบ และในวันรุ่งขึ้นก็ส่งคนออกไปเชิญหมินอ๋องเข้าวัง…
“ตรัสถึงอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ ? บุตรที่เสวี่ยเอ๋อร์คลอดออกมาคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ? ” แม้แต่เคราที่ดูเหมือนขนเม่นของหมินอ๋องก็ยังสั่นสะท้านเพราะความตื่นเต้น
ฮ่องเต้หยวนชิงพยักดวงพักตร์ “หยูอัน อย่าเพิ่งตื่นเต้น เรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง ยังต้องตรวจสอบก่อนแล้วถึงจะได้ข้อสรุป”
“จี้หยกนั้นไม่ได้ทำให้มั่นใจว่าเป็นชิ้นเดียวกับที่หายไปพร้อมทารกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ฝ่าบาท นางหนูคนนั้นมีจิตใจดีงามใช้ได้ นิสัยคล้ายชายาของกระหม่อม…ไม่ว่านางจะเป็นตัวจริงหรือเปล่า ขอแค่เป็นคนดี การมอบยศศักดิ์แก่นางจะเป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ ? ” หมินอ๋องมีแผนอยู่ในหทัยแล้ว
สามารถพูดได้ว่าฮ่องเต้หยวนชิงและหมินอ๋องเจริญวัยมาด้วยกัน ฮ่องเต้จึงรู้จักข้าราชบริพารและสหายผู้นี้ดี พระองค์จึงเข้าพระทัยความคิดของอีกฝ่ายได้ “เจ้าหมายความว่า…เจ้าจะใช้นางหนูคนนี้มารักษาอาการป่วยของหมินหวางเฟย ? ”
ตั้งแต่สูญเสียบุตรไป จิตใจของหมินหวางเฟยก็ย่ำแย่ลงทุกที มีสติและเสียสติสลับกันไป ตอนที่มีสติก็จะออกไปตามหาบุตร ส่วนตอนที่เสียสติก็มักจะเข้าไปกอดเด็กข้างถนนเพราะคิดว่าเป็นบุตรของตน…
ช่วงสองปีมานี้ อาการของนางเริ่มแย่ลง วันทั้งวันเอาแต่กอดหมอนแล้วร้องเพลงกล่อมเด็ก เล่านิทานและยังสอนศิลปะการต่อสู้ให้หมอนที่กอดอยู่ หมินอ๋องออกไปตามหาท่านหมอทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ทุกคนล้วนบอกว่าอาการประชวรของหมินหวางเฟยไม่มีทางรักษา สำนักหมอหลวงให้ข้อสรุปว่า ‘ใจป่วยก็ต้องให้ยารักษาทางใจ หากตามหาทารกคนนั้นพบในเร็ววัน ก็ยังพอจะมีความหวังอยู่บ้าง’