หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 495 แม้จะมีตัวช่วยมากมายเช่นนี้ ก็ช่วยเจ้าไม่ไหว

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 495 แม้จะมีตัวช่วยมากมายเช่นนี้ ก็ช่วยเจ้าไม่ไหว

ทำร้ายท่านอ๋องมีโทษสถานใด ? จะโดนตัดศีรษะหรือเปล่า ? ทันใดนั้นนางก็ใช้โอกาสที่นายทหารและลุงเคราเหมือนขนเม่นกำลังสนทนากัน…รีบหนีเอาตัวรอด ! ถ้าไม่หนีแล้วจะอยู่รอรับโทษหรือไร ? ฮือฮือฮือ บัณฑิตน้อย ดูเหมือนข้าก่อเรื่องแล้ว แถมยังเป็นเรื่องใหญ่มากด้วย…!

นายทหารของกองกำลังรักษาความสงบเห็นเด็กสาวที่สู้กับหมินอ๋องเมื่อครู่กลอกตาไปมาอย่างรวดเร็วและค่อย ๆ ถอยเข้าไปในฝูงชน จากนั้นก็วิ่งหนีออกไปทันที เขาจึงหันไปมองหมินอ๋อง “ทูลท่านอ๋อง ประเดี๋ยวกระหม่อมจะออกคำสั่งให้ไล่จับนางกลับมา…ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”

ดวงเนตรดุร้ายราวกับพยัคฆ์ของหมินอ๋องฉายแววแห่งรอยยิ้ม จากนั้นโบกพระหัตถ์ “ไม่ต้อง ! นางหนีไปไหนไม่พ้นหรอก ! ”

หลังจากหลินเว่ยเว่ยออกมาจากฝูงชนได้แล้วไม่เห็นว่ามีใครมาตามจับ นางก็รีบวิ่งกลับบ้านเช่าทันที แม้แต่วิชาตัวเบาแมวสามขาที่เพิ่งเรียนมาก็งัดออกมาใช้ด้วย ตอนวิ่งเข้าไปในตรอก ยังไม่ลืมหยุดมองโดยรอบอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ เพราะกลัวว่าจะมีใครตามมาเจอรังซ่อนตัวของนาง

ปัง ! ตอนเข้าบ้านแล้วปิดประตู นางควบคุมแรงได้ไม่ดี เสียงโครมครามจึงเกิดขึ้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในบ้านรีบออกมาดูทันทีว่าเกิดอะไร

ในมือของหลินจื่อเหยียนยังถือพู่กันอยู่ เมื่อเห็นว่าเป็นพี่รองแล้วเขาก็รีบพูดว่า “พี่รอง ท่านเบามือหน่อย อย่าทำประตูบ้านคนอื่นพัง ! ”

สองสามีภรรยาเฒ่าที่อยู่บ้านหลักก็เห็นว่าไม่มีเรื่องใหญ่อะไร จึงกลับเข้าไปอยู่ด้านในดังเดิม…เรียกว่ายายเจิ้งลากคู่ชีวิตกลับเข้าไปดีกว่า เพราะนางกลัว ! กลัวว่าตาเฒ่าจะพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมา แล้วนางจะหาผู้เช่าที่ดีขนาดนี้ได้จากที่ใดอีก ?

แต่เจียงโม่หานเห็นความตื่นตระหนกในแววตาเด็กน้อย เขาแอบส่ายหน้าแล้วถามว่า “พูดมา เจ้าไปก่อเรื่องอะไรมาอีก ? ”

“ก่อเรื่อง ‘อีก’ อะไรกัน ? ข้าเป็นคนสุขุมขนาดนี้ เคยก่อเรื่องตั้งแต่เมื่อไร ? ” หลินเว่ยเว่ยแกล้งทำตัวหนักแน่นพลางเดินมาหยุดตรงเบื้องหน้าของคู่หมั้นหนุ่ม ลังเลอยู่พักหนึ่งนางก็สารภาพออกมา “ขะ…ข้าไปทะเลาะกับคนอื่นมา ! ”

หลินจื่อเหยียนรีบเข้ามาฟังด้วย ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าตื่นตกใจ “พี่รอง ท่านคงไม่ได้ลงไม้ลงมือกับอีกฝ่ายจนตายไปแล้วกระมัง ? ”

“เปล่า…” แววตาของหลินเว่ยเว่ยสั่นไหวพร้อมพูดจาไม่ลื่นไหล

หลินจื่อเหยียนมีลางสังหรณ์ไม่ดี “ท่าน…ทำแขนหรือขาของเขาหัก ? ”

“ไม่ใช่อยู่ดี…อีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บ…” หลินเว่ยเว่ยหยิกเล็บที่นิ้วหัวแม่โป้งของตน…ผู้ที่สนิทสนมต่างรู้ดีว่านี่เป็นท่าทางเวลาสำนึกผิดของนาง

หลินจื่อเหยียนลูบหน้าอกและถอนหายใจออกมา “ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว ดีเหลือเกิน…”

เจียงโม่หานจ้องนางแล้วถามว่า “ไปทะเลาะกับใครมา ? รู้ฐานะของอีกฝ่ายหรือเปล่า ? ”

ทันใดนั้นหลินจื่อเหยียนก็กลับมากังวลอีกครั้ง ใช่ ! ไปทะเลาะกับใครมา ? ในเมืองหลวงแห่งนี้มีขุนนางขั้นห้าเดินเกลื่อนถนนไปหมด ขั้นสามขั้นสี่ก็มากมาย แค่ขวางไม้ออกไปก็อาจโดนบุคคลทรงอำนาจแล้ว พี่รองคงไม่ได้…ไปผิดใจกับผู้ที่ไม่ควรผิดใจมาหรอกกระมัง ?

“ปะ…เป็นหมินอ๋อง…” หลินเว่ยเว่ยบ่นอุบทันที “เรื่องนี้จะโทษข้าก็ไม่ได้หรอก ใครใช้ให้เขามาสะกดรอยตามข้าเอง ? ”

“ผู้ใดนะ ? มะ…หมินอ๋อง ? คงไม่ได้เป็นคนที่ข้าคิดไว้คนนั้น ? ” สวรรค์ ! พี่รองยังกล้าบอกว่าตนไม่ได้ไปก่อเรื่องมา ? สำหรับพวกเขาแล้ว นั่นเป็นคนในตำนานที่ยังมีลมหายใจอยู่…ไม่สิ พี่รองอาจจำคนผิด ! หมินอ๋องจะมาสะกดรอยตามพี่รองได้อย่างไร ?

พูดถึงหน้าตาของพี่รองก็พอดูได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่เห็นแล้วก็ละสายตาไม่ได้ทำนองนั้น นอกจากนี้หมินอ๋องก็ไม่ได้เป็นพวกหลงใหลในรูปโฉม…ใช่หรือไม่ ?

หลังได้ยินคำว่า ‘หมินอ๋อง’ สองคำนี้แล้ว เจียงโม่หานก็สบายใจขึ้นมาทันที “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล พอเห็นฝีมือของเจ้าแล้ว หมินอ๋องมีแต่จะชอบ ไม่มีทางลงโทษเจ้าหรอก ! ”

หลินเว่ยเว่ยยังจิกเล็บไม่หยุด นางเหลือบมองเขาแล้วพูดออกมาด้วยความระมัดระวัง “ขะ…ข้ายังด่าเขาด้วย ! ”

ราวกับหลินจื่อเหยียนเห็นฟ้าถล่มลงมา “พี่รอง ท่านด่าเขาว่าอะไร ? ”

“ข้าด่าเขาว่าโจรโฉดและคำพูดที่สื่อได้ประมาณว่า…ตาเฒ่าลามก” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกไม่ดีเล็กน้อย หลังจากได้ประมือเพียงระยะสั้น แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดหมินอ๋องสะกดรอยตามนาง แต่ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย

“หมินอ๋องชอบคนที่มีความสามารถ โดยเฉพาะคนที่ต่อสู้เก่ง คนที่มีคุณสมบัติจะเป็นแม่ทัพได้…แต่ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าหรือหมินอ๋องเป็นฝ่ายชนะ ? ” เจียงโม่หานถามถึงผลลัพธ์

หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าด้วยความเสียดาย “ยังไม่ทันรู้ผลก็ถูกทหารรักษาความสงบเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ข้าฉวยโอกาสหนีออกมาตอนที่นายทหารทำความเคารพหมินอ๋อง…”

เจียงโม่หานลูบศีรษะของนางแล้วพูดปลอบ “เว่ยเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว ถ้าหมินอ๋องคิดจะลงโทษเจ้าจริง เขาจะปล่อยให้เจ้าหนีออกมาได้อย่างไร ? ตกใจจนเสียขวัญเลยสิท่า ? ข้าลูบศีรษะให้แล้ว ไม่ต้องกลัว…”

“ที่จริง…ก็เรื่องเล็กนิดเดียว ! อย่างมากสุดข้าก็เอาป้ายหยกที่หมินอ๋องซื่อจื่อให้ไว้ออกมา…เราเคยช่วยชีวิตบุตรชายของเขาไว้ครั้งหนึ่ง ยังจะรอดพ้นจากโทษครั้งนี้ไม่ได้หรือ ? ถ้ายังไม่ได้อีก…เรายังมีภาพเขียนลายมือของคนผู้นั้นอยู่ ! ไม่ว่าอย่างไรหมินอ๋องก็ต้องเห็นแก่หน้าคนผู้นั้นบ้างใช่หรือไม่ ? ” หลังได้ยินคำพูดของบัณฑิตน้อยแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็สบายใจขึ้นมาทันที นางพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ

เจียงโม่หานปัดปลายจมูกนางอย่างรักใคร่ “ใช่ ใช่ ! เจ้ามีวิธีเอาตัวรอดมากมาย ! แต่ว่าต่อไปนี้จะมีเรื่องกับใครง่าย ๆ ไม่ได้อีก ไม่มีวิธีใดสามารถช่วยชีวิตเจ้าได้ตลอดไปหรอก ถ้าเจอกับคนใจแคบที่ต้องการเอาผิดจริง ๆ แม้จะมีตัวช่วยมากมายเช่นนี้ ก็ช่วยเจ้าไม่ไหว ! ”

หลินเว่ยเว่ยยังรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย นางเดินวนไปเวียนมาในลานบ้านอีกสองสามรอบ แล้วค่อยกลับมานั่งข้างเจียงโม่หานและถามว่า “เอ่อ คือ…หมินอ๋อง…คงไม่ได้เป็นคนใจแคบใช่หรือเปล่า ? ”

“ทำไมหรือ ? ตอนนี้เพิ่งรู้สึกกลัวขึ้นมา ? ” เสียงของเจียงโม่หานแฝงไปด้วยความขบขัน

พอมองแววตาของเขาแล้วหลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที “จะกลัวได้อย่างไร ? ตำแหน่งและฐานะของหมินอ๋อง ถ้าอยากจะฆ่าพวกเราก็เป็นแค่การบี้มดตัวน้อย ๆ เท่านั้น…บัณฑิตน้อย เจ้าต้องคอยดูข้าไว้หน่อย ไม่อย่างนั้นข้าอาจไปก่อเรื่องวุ่นอะไรอีก…แล้วเจ้าก็จะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ! ”

ตอนยังไม่ได้มาที่เมืองหลวง หลินเว่ยเว่ยทั้งปรารถนา โหยหา ตั้งตาคอยและมีความสุขที่จะได้มาเยือน แต่เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว นางดีใจได้มิทันไรก็โดนน้ำเย็นสาดใส่ ในเมืองหลวงแห่งนี้ ราษฎรธรรมดาอย่างนางต้องคอยทำตัวอ่อนน้อม…น่าเบื่อจะตาย ! นางไม่ชอบเลย !

เจียงโม่หานเห็นนางเป็นเหมือนผักกาดขาวที่กำลังเหี่ยวเฉาจึงรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที เขาลูบศีรษะน้อย ๆ ของนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัว ประเดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง…”

หลินเว่ยเว่ยคิดว่าเขาแค่พูดปลอบนางเท่านั้น แม้ฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าบัณฑิตน้อยจะสอบฮุ่ยซื่อได้แล้ว แต่พอเข้าไปอยู่ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินก็ได้เป็นแค่ขุนนางขั้น 6 ระดับเล็ก ๆ เท่านั้น ภายในเมืองหลวงอย่าว่าแค่ขั้นหกเลย แม้จะเป็นขั้นห้าและขั้นสี่ก็ยังต้องทำตัวนอบน้อมอยู่ดี…นอกเสียจาก…เป็นเหมือนกับหมินอ๋องที่ตำแหน่งสูงศักดิ์และยังได้รับความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้

แน่นอนว่านางต้องเชื่อมั่นในตัวบัณฑิตน้อยอยู่แล้ว แต่…จะรอให้เขาขึ้นไปนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงส่งแบบนั้น ยังต้องรออีกกี่ปี ! น่าเบื่อจริง ๆ เริ่มนึกถึงชีวิตเท่าเทียมในชาติก่อนแล้วสิ !

หลินเว่ยเว่ยไม่อยากให้บัณฑิตน้อยอ่านตำราเตรียมตัวสอบแล้วยังกังวลเรื่องนางอีก จึงทำตัวเหมือนมีกำลังใจล้นเหลือแล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้ม “อื้ม ! ข้าเชื่อเจ้า ! ”

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท