ตอนที่ 503 ยังสะดุดตาไม่พอ?
เต๋อฉวนรับน้ำผึ้งมาจากขันทีน้อย เมื่อราดบนขนมซานเย่าฝูหลิงแล้ว เขาก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ที่ท่านอ๋องทำแบบนี้เพราะเป็นห่วงพลานามัยของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮ่องเต้หยวนชิงล้างพระหัตถ์ จากนั้นลองชิมขนมซานเย่าฝูหลิงหนึ่งชิ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจินตนาการเองหรือเปล่า เนื่องจากพอเสวยเข้าไปแล้วก็จะรู้สึกอุ่นที่ท้อง สบายอย่างอธิบายไม่ถูก
“เป็นถึงหมินอ๋อง แต่หยิบมาโดยไม่ขออนุญาตก่อน แถมวันนี้ยังไปขอของกินและเอากลับมาอีกกล่องใหญ่ เขายังมีศักดิ์ศรีอยู่หรือเปล่า ? ยังต้องการศักดิ์ศรีอยู่หรือไม่ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงรู้สึกว่ามันน่าขบขันมาก
เต๋อฉวนก็หัวเราะตาม “หมินอ๋องคงเห็นกู่เหนียงน้อยคนนี้เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ไปแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มพระสรวล “แต่นางหนูคนนั้นไม่รู้เรื่อง ! ขออย่าให้หมินอ๋องคนหน้าหนา ไปทำให้นางคิดว่าขุนนางในเมืองหลวงไร้ยางอายเหมือนเขาหมดเลย ! ”
ทางฝั่งของหลินเว่ยเว่ยก็กำลังสนทนากับเจียงโม่หานเรื่องหมินอ๋องอยู่จริง ๆ “บัณฑิตน้อย เจ้าคิดว่าตอนแรกหมินอ๋องจับตาดูพวกเราทำไม ? เราก็ไม่ได้ทำเรื่องสะดุดตาอะไรไว้เสียหน่อย ? ”
เจียงโม่หานนั่งอยู่ข้างเตาไฟและกำลังหยิบฟืนมาเติมในเตา แม้ห้องครัวจะยุ่งเหยิง แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเจิดจรัสของเขาไว้ได้ เขาลืมตาที่เป็นประกายนั้นขึ้นพลางส่งยิ้มให้เด็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หยุดอาชาด้วยมือเปล่า ช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้ ยังสะดุดตาไม่พอหรือ ? ”
ในห้องครัวเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของชาและผลไม้ หลินเว่ยเว่ยกำลังคนชาผลไม้ในหม้อ นางทำหน้ามุ่ยทันที “เราช่วยฮ่องเต้ไว้ ก็ควรได้รับรางวัลไม่ใช่หรือ ? แล้วเหตุใดจึงรู้สึกว่าโดนจับตามองแทนล่ะ ? ”
“อาจเป็นเพราะเวลาที่พวกเราปรากฏตัวช่างบังเอิญมากเกินไป แล้วยังมีจี้หยกนั้นของเจ้าก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุด้วยกระมัง ? ” เจียงโม่หานอมยิ้ม ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้เปลวไฟดูเจิดจรัสยิ่งกว่าเดิม
หลินเว่ยเว่ยหยิบจี้หยกในคอเสื้อออกมาแล้วกวาดตามองอย่างละเอียด “จี้หยกนี้มีอะไร ? นอกจากเป็นหยกคุณภาพดีแล้วยังมีประโยชน์อย่างอื่นอยู่ด้วยหรือ ? บัณฑิตน้อย ข้ารู้สึกว่าเจ้ารู้ความลับอะไรบางอย่าง ! ”
“อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง แต่วางใจได้ มันเป็นเรื่องดี ! ” ในชาติก่อน เฝิงชิวฟานใช้จี้หยกอันนี้โดยสามารถรอดพ้นจากการสืบหาความจริงของฮ่องเต้ได้และขโมยโชคชะตาของเขาไปครอง ในชาตินี้เขาไม่มีทางปล่อยให้คนชั่วมีโอกาสกระโดดขึ้นสู่ที่สูงได้อีกแน่นอน !
พอหลินเว่ยเว่ยได้ยินแบบนั้นก็หัวเราะแล้วเก็บจี้หยกเข้าในเสื้อดังเดิม นางตบมันเบา ๆ “ใครสนว่าจะเป็นเรื่องใด ข้ารู้แค่ว่าจี้หยกนี้เป็นของแทนใจจากบัณฑิตน้อย ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะมาแย่งมันไปจากข้าทั้งนั้น ! ”
เจียงโม่หานมองนางอย่างขี้เล่น เขาย้อนถาม “แล้วเจ้าจะให้ของแทนใจอะไรแก่ข้า ? ”
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาไปมา มุมปากยกยิ้มชั่วร้ายแล้วเข้าไปเกี่ยวนิ้วของเขา “ของแทนใจข้าเตรียมไว้ให้เจ้านานแล้ว เจ้าเข้ามาใกล้ ๆ สิ…”
เจียงโม่หานเลิกคิ้วแล้วแอบพูดในใจ ‘เด็กคนนี้กำลังคิดจะทำอะไรบ้า ๆ อีกแล้วกระมัง ? ’
แต่เขาก็ยังโน้มตัวเข้าไปหานางอย่างเชื่อฟัง หลินเว่ยเว่ยค่อย ๆ เข้ามาใกล้จนทั้งสองคนแทบจะแลกลมหายใจกันได้ ในขณะที่เขากำลังคิดว่านางจะเปิดฉากจุมพิต จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บที่ลำคอ
หลังรอให้เด็กน้อยถอยห่างจากลำคอแล้ว เจียงโม่หานก็อดไม่ได้ที่จะจับคอตัวเอง “…”
หลินเว่ยเว่ยมองรอยจูบ (Kiss Mark) ที่ประทับไว้ตรงลำคอของเขาด้วยความพึงพอใจ นางหัวเราะ ฮ่าฮ่า อย่างมีความสุข “เป็นอย่างไรบ้าง ของแทนใจที่ข้ามอบให้เป็นอย่างไร ? ถ้าผ่านไปอีกสองสามวันแล้วมันจางลง ข้าจะช่วยเติมให้เจ้าเอง ฮ่าฮ่า ! ”
“เด็กซน ! ” คราวนี้จะให้เขาออกจากบ้านอย่างไร ? เจียงโม่หานรีบคิดทันทีว่าในสัมภาระมีเสื้อทรงคอสูงอยู่หรือเปล่า จะได้เอามาปิดรอยประทับตราของเด็กน้อย
เจียงโม่หานเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปที่ชาผลไม้ในหม้อ “เจ้านี่มีฤทธิ์ช่วยบำรุงกระเพาะได้จริงหรือ ? ”
“แน่นอน ! ชานี้เน้นความเข้มข้นของ ‘ชาสี่บุรุษแห่งมวลบุปผา1’ และ ‘ชาขิงพุทรา’ รวมกับฤทธิ์ช่วยย่อยอาหารของผลไม้อย่างแอปเปิล ไม่เพียงรสชาติดี แต่ผลที่ตามมายังดีมากด้วย!” ขณะมองไฟที่มอดไปพอสมควร หลินเว่ยเว่ยก็ให้บัณฑิตน้อยหยุดเติมเชื้อเพลิง เมื่อรอให้ชาผลไม้เย็นแล้ว นางก็เก็บใส่โถกระเบื้องเคลือบสามใบ
“เสร็จแล้ว ! พรุ่งนี้ให้หมินอ๋องเอากลับไปหนึ่งโถ อีกโถส่งไปให้น้องหลิงเอ๋อร์ ส่วนที่เหลือพวกเราเก็บไว้กินเอง” หลินเว่ยเว่ยนำเศษวัตถุดิบที่เหลืออยู่ในหม้อเอาไปใส่ถ้วยชาสามใบแล้วเทน้ำร้อนลงไป หลังคนผสมเบา ๆ แล้ว นางก็ยื่นให้เจียงโม่หาน “ลองชิมสิว่ารสชาติเป็นอย่างไร ! ”
เจียงโม่หานรับถ้วยชามาถือไว้ กลิ่นชาผลไม้หอมหวนแตะจมูก เขาลองจิบเพื่อชิมรส กลิ่นชาดอกไม้ผสมกับกลิ่นผลไม้และขิง ยังมีรสหวานหน่อย ๆ “ดีมาก ! ”
หลินเว่ยเว่ยดื่มชาผลไม้อึกใหญ่ นางพยักหน้า “ในฤดูหนาว มีชาผลไม้หวาน ๆ หนึ่งถ้วย ช่วยทำให้อบอุ่นหัวใจแล้วยังอุ่นท้องด้วย อืม คราวหน้าทำรสส้มด้วยแล้วกัน เวลาเบื่อรสแอปเปิลจะได้เปลี่ยน”
ทันใดนั้นหลินจื่อเหยียนก็วิ่งเข้ามาจากข้างนอก เขาตะโกนเสียงดังลั่น “พี่เขยรอง ท่านรู้หรือยังว่าการสอบฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้ นอกจากเทียนแล้วก็ไม่อนุญาตให้จุดไฟจากเตา ! ”
เรื่องนี้เจียงโม่หานรู้จากชาติก่อนแล้ว ตอนสามปีต่อจากนี้เขาเข้าร่วมการสอบก็ต้องกินแผ่นแป้งเย็นแข็งถึง 9 วันติดกัน หลังออกมาจากสนามสอบจึงหมดสติทันทีและล้มป่วยเป็นเวลานาน ถ้าไม่ได้เถ้าแก่โรงเตี๊ยมช่วยไว้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะผ่านวันเวลาเหล่านั้นไปได้หรือเปล่า…
ต่อมา พอเขากลายเป็นโฉวฝู่อำมหิตจนขุนนางทุกคนในราชสำนักหวาดกลัว ก็เกิดเรื่องกับครอบครัวเถ้าแก่โรงเตี๊ยม เขาช่วยล้างแค้นให้เถ้าแก่และรับบุตรสาวเพียงคนเดียวของเถ้าแก่มาเลี้ยงดูในจวน…ภายนอกมองว่า นั่นเป็นอนุเพียงคนเดียวในจวนของเขา แต่ความจริงแล้วเขาเพียงสร้างชีวิตที่มั่นคงให้แก่บุตรสาวเถ้าแก่เพื่อตอบแทนบุญคุณ
เจียงโม่หานดื่มชาผลไม้หนึ่งอึกแล้วพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “ไม่เป็นไร น้ำร้อนที่สนามสอบมีให้เหมือนเดิม ยังสามารถใช้ต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้”
“จะกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้อย่างไร ? ” คิ้วของหลินเว่ยเว่ยขมวดเป็นปมทันที นางจะยอมให้บัณฑิตน้อยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทุกวันได้อย่างไร ? นางต้องคิดหาวิธีให้บัณฑิตน้อยได้กินอิ่มและกินของดี ๆ ด้วย !
จริงสิ ! หม้อไฟสำเร็จรูปเป็นที่นิยมของชั้นเรียนระยะหนึ่ง…แต่ไม่รวมตัวนาง เพราะหม้อไฟสำเร็จรูปมีราคาหลายสิบหยวน ไม่ใช่สิ่งที่นักศึกษาทุนและมีเงินค่าครองชีพต่ำอย่างนางจะซื้อไหว
ตัวนางในเวลานั้นให้ความสนใจกับหลักการทำความร้อนของมันมาก แม้แต่ตอนนี้ก็ยังจำได้อยู่ ส่วนประกอบด้านในถ้วยร้อนคือ ผงเหล็ก ผงอลูมิเนียม ถ่านกัมมันต์ เกลือ โซเดียมคาร์บอเนตและปูนขาว ส่วนเรื่องอัตราส่วน นางไม่ค่อยแน่ใจสักเท่าไร แต่ไม่เป็นไรหรอก ก่อนจะถึงวันสอบยังเหลือเวลาอีก 3 เดือน นางค่อย ๆ ทดลอง อย่างไรก็ต้องทำออกมาได้แน่นอน !
เจียงโม่หานเห็นเด็กน้อยจมสู่ห้วงของความคิดและตื่นขึ้นมาพร้อมความมุ่งมั่นอันแรงกล้าอีกครั้ง…ไม่รู้ว่านางคิดทำอะไรแปลก ๆ ออกมาอีก ! นางไม่เคยพูดไว้หรือว่า ‘ชีวิตคือการเรียนรู้’ ! ขอแค่นางไม่พาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายหรือบาดเจ็บ นางอยากจะเรียนรู้อะไรก็ปล่อยนางเถิด !
ณ ท้องพระโรงของวันรุ่งขึ้น เหมือนบนพระวรกายของหมินอ๋องมีเห็บหมัดอาศัยอยู่ เพราะทุกคนล้วนมองออกว่าสติของพระองค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดูยืนไม่นิ่งและหมดความอดทนสุด ๆ…เฮอะ ! คนที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ช่างแตกต่างจริง ๆ ผู้อื่นอยากจะออกจากท้องพระโรงมากเพียงใดก็ได้แต่คิดฝันในใจเท่านั้น ไฉนเลยจะเหมือนหมินอ๋องที่เหลือแค่เอาพู่กันมาเขียนความต้องการไว้บนดวงพักตร์เท่านั้น !
[i]
1 สี่บุรุษแห่งมวลบุปผา ได้แก่ ดอกเหมย กล้วยไม้ ไผ่และเบญจมาศ