ตอนที่ 504 ใต้เท้าหวง ท่านก็มาด้วยหรือ ?
ช่างผิดกับ ‘หนิงอ๋อง’ ที่ทูลร่ายยาวเสียยกใหญ่และความหมายในนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว…ก็คือ ขอถวายที่ดินศักดินาคืนแก่ราชสำนักเพื่อกลับมาพักรักษาตัวที่เมืองหลวง ด้านหมินอ๋องที่ยืนอยู่แถวแรกด้านหน้าสุดก็หันไปถลึงดวงเนตรใส่อีกฝ่ายเป็นครั้งคราว ‘เจ้าคนขี้โรคนี้พูดมากอะไรนักหนา ? พูดมาครึ่งชั่วยามแล้วยังไม่คิดจะหยุดพูดอีกหรือ ? เสียเวลาเปิ่นหวางไปทำความสนิทกับบุตรสาวเหลือเกิน’
ฮ่องเต้หยวนชิงถลึงดวงเนตรใส่หมินอ๋องสองสามครั้ง เจ้าช่างไม่รู้จักเก็บอาการบ้างเลย
รอให้หนิงอ๋องทูลจบแล้ว ฮ่องเต้หยวนชิงก็ทอดพระเนตรไปที่หมินอ๋อง “ใต้เท้าจ้าวมีความเห็นอันสูงส่งอะไรหรือ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ความเห็นอันสูงส่งคงไม่มี แต่มีความเห็นธรรมดามากมายเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ” หมินอ๋องพยายามข่มความรู้สึกร้อนรนที่อยู่ในหทัยเอาไว้ แล้วทูลตอบฮ่องเต้แต่โดยดี
ด้านหนิงอ๋องกระแอมไอเบา ๆ สองสามครั้งแล้วเงยดวงพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรหมินอ๋องด้วยความประหลาดใจ…พระองค์ไม่เคยรู้จักหมินอ๋องมาก่อนและยิ่งไม่เคยผิดใจอะไรกันด้วย แล้วอีกฝ่ายจะมีความเห็นอะไรมากมาย ? หมินอ๋องผู้นี้เป็นสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ของฮ่องเต้หยวนชิง หรือฝ่าบาทจะมีแผนอื่นมารับมือการลาออกครั้งนี้ของพระองค์ โดยใช้โอษฐ์ของหมินอ๋องแจ้งนัยยะออกมาแทน ?
ฮ่องเต้หยวนชิงขมวดพระขนงพลางตรัสถาม “ใต้เท้าจ้าวมีความเห็นใด พูดออกมาให้เจิ้นฟังได้หรือไม่ ? ”
หมินอ๋องมุ่ยพระโอษฐ์ “มีบางเรื่องเห็นอยู่ว่าสามารถพูดให้กระจ่างได้ด้วยคำพูดไม่กี่ประโยค แต่บางคนกลับร่ายยาวไม่หยุด ฝ่าบาทมีราชกิจให้ทำมากมาย เวลาเป็นสิ่งล้ำค่าจะตายพ่ะย่ะค่ะ ! แต่ต้องมานั่งเสียเวลาฟังเรื่องไร้สาระอยู่ตรงนี้ กระหม่อมคิดว่าเวลารายงานฎีกาในท้องพระโรง น่าจะพูดให้กระชับ เน้นใจความสำคัญไปเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้เสียเวลาเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ใต้เท้าจ้าวพูดได้มีเหตุผล ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงพยักดวงพักตร์เพื่อยกให้เป็นแนวทางปฏิบัติในวันหน้า ต้องใช้คำพูดให้กระชับที่สุด จากนั้นหันมาชมเชยและพระราชทานรางวัลให้ความไม่เห็นแก่อำนาจของหนิงอ๋อง
ต่อจากนั้น ตอนที่ขุนนางในท้องพระโรงถวายฎีกา เวลาพูดเนื้อหาก็จะเน้นแต่สาระสำคัญด้านใน วันนี้มีการถวายฎีกามากมาย แต่จบลงรวดเร็วกว่าปกติถึงหนึ่งก้านธูป หากเป็นในเวลาปกติก็จะโดนลากยาวไปจนถึงยามบ่าย มีขุนนางอาวุโสบ้างคนในราชสำนักต้องยืนจนขาแข็งแล้วสุดท้ายต้องให้ขันทีช่วยประคองออกไป การแสดงความเห็นอย่างกะทันหันของหมินอ๋องก็ถือเป็นการทำเรื่องดี ๆ ให้ราชสำนักเหมือนกัน !
หลังการประชุมในยามเช้าจบลง ฮ่องเต้หยวนชิงก็เรียกหมินอ๋องที่แทบจะวิ่งออกไปจากท้องพระโรงให้อยู่ต่อ “หยูอัน รีบร้อนขนาดนี้คงไม่ได้คิดจะไปขอข้าวกินจากนางหนูหลินอีกใช่หรือไม่ ? ”
“ฝ่าบาท ฟังพระองค์ตรัสเข้าเถิด จะเรียกว่าขอข้าวกินได้อย่างไร ? กระหม่อมกำลังจะไปช่วยกระตุ้นเตือนเรื่องชาผลไม้บำรุงกระเพาะของพระองค์ต่างหาก ! ฝ่าบาท วันนี้พระองค์รู้สึกอย่างไรบ้าง ? ยังรู้สึกไม่ดีตรงกระเพาะอยู่ไหมพ่ะย่ะค่ะ ? ” หมินอ๋องตรัสพลางทอดพระเนตรท้องฟ้า…ถ้ายังไม่ไปอีก พระองค์จะพลาดอาหารกลางวันของบุตรสาวแล้ว !
ฮ่องเต้หยวนชิงเห็นอีกฝ่ายมีจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จึงอดไม่ได้ที่จะแย้มพระสรวลออกมา “กระเพาะของเจิ้นดีขึ้นมากแล้ว แต่กระเพาะของหยูอันเหมือนกำลังทรมานอยู่ ? ทำไมหรือ ? ฝีมือของนางหนูน้อยคนนั้นดีขนาดไหน ? ถึงขั้นทำให้หยูอันผู้ประกาศตนว่าเป็นนักกินตัวยงต้องลืมไม่ลง”
“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ฝีมือของบุตรสาวกระหม่อม มีแค่ไม่กี่คนในเมืองหลวงที่จะเทียบได้ ! ” หมินอ๋องโอ้อวดด้วยความภาคภูมิ
“หืม ? ถ้าเช่นนั้นเจิ้นก็อยากจะลองชิมจริง ๆ ว่าฝีมือนางหนูคนนั้นดีจริงหรือว่าเป็นเพราะปัญหาทางจิตของเจ้ากันแน่” ฮ่องเต้หยวนชิงเมินคำแนะนำของหมินอ๋อง จากนั้นก็เปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดสามัญชนแล้วจัดฉากปลอมตัวออกจากวังอีกครั้ง
คราวนี้มียอดฝีมืออย่างหมินอ๋องอยู่ข้างพระวรกาย พระองค์จึงพาแค่เต๋อฉวนและราชองครักษ์อีกหนึ่งนายติดตามมาด้วย กระทั่งออกจากวังแล้ว หมินอ๋องก็ยังพยายามโน้มน้าวอยู่ “ฝ่าบาท คราวก่อนตอนที่พระองค์ดื้อรั้นจะออกจากวังให้ได้ก็สร้างโอกาสให้พวกกบฏไปแล้ว บุรุษต้องอยู่ไกลอันตราย พระองค์จะอยู่ในวังดี ๆ ไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ฟังเจ้าพูดเข้าสิ เจิ้น…ถ้าวันใดข้าสำลักน้ำแล้วก็ไม่ควรดื่มน้ำไปอีกชั่วชีวิต ? นี่ไม่ใช่การเกิดสำลักแล้วเลิกกินข้าวเอาเสียดื้อ ๆ หรือไร ! พอเถิด หยูอัน เจ้าเลิกบ่นเป็นยายแก่ได้หรือเปล่า ? ยังกล้าบอกว่าขุนนางพวกนั้นพูดมาก เจ้าเองก็ไม่ต่างไปจากพวกเขาหรอก ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงผลักอีกฝ่าย “ยังไม่รีบนำทางอีก ? ถ้าช้ากว่านี้เราจะไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำแกง ! ”
วันนี้หลินเว่ยเว่ยรู้ว่าหมินอ๋องจะมารับชาผลไม้ นางจึงซื้อวัตถุดิบกลับมาทำอาหารให้มากขึ้นหน่อย แต่หลังจากรอแล้วรอเล่า เวลาก็ล่วงเลยจนถึงยามเที่ยงแล้ว นางคิดว่าหมินอ๋องคงไม่มา จึงคิดจะเข้าไปทำอาหารแทน ทว่าสุดท้ายเสียงเคาะประตูบ้านก็ดังขึ้น
มาแล้ว ! รู้เวลาจริง ๆ ! หลินเว่ยเว่ยเช็ดมือบนผ้ากันเปื้อนแล้วออกไปเปิดประตูด้วยตัวเอง แต่คาดไม่ถึงว่านอกจากหมินอ๋องแล้วยังมีบุรุษอีก 3 คนอยู่ด้วย แน่นอนว่าสองในสามนั้นเป็นบุรุษที่คุ้นหน้าอยู่แล้ว !
“หืม ? ใต้เท้าหวง องครักษ์หวัง เหตุใดพวกท่านจึง…” ในสายตาของหลินเว่ยเว่ยคือฐานะของหมินอ๋องก็ทำให้คนตกใจมากพออยู่แล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าจะล่อ ‘ผู้บัญชาการใหญ่’ มาหานางอีก
หมินอ๋องมีสีพระพักตร์เคร่งขรึมเล็กน้อย “เปิ่นหวางกับ…ใต้เท้าหวงเพิ่งออกจากท้องพระโรงมาพร้อมกัน ใต้เท้าหวงกินขนมของเจ้าแล้วโรคกระเพาะก็ดีขึ้นมาก จึงอยากมาดูเด็กสาวผู้ชาญฉลาดที่เปิ่นหวางเอ่ยถึง ! ”
ที่แท้หมินอ๋องมาขอสูตรอาหารที่มีสรรรพคุณทางยาถึงที่ก็เพื่อบุรุษคนนี้ ! พูดกันว่าอาหารนอกวังจะเอาเข้าวังตามใจไม่ได้ ? จากเรื่องนี้แล้วข่าวลือที่ว่ากันว่าตำแหน่งหมินอ๋องในหทัยของฮ่องเต้อยู่เหนือผู้ใด คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง !
หลินเว่ยเว่ยเริ่มเปิดโหมดฉีกยิ้มจอมปลอมอีกรอบ “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว ! หม่อมฉันก็แค่บังเอิญรู้สูตรอาหารบำรุงร่างกายไม่กี่อย่างเท่านั้น ชาผลไม้ที่พระองค์ต้องการ เมื่อคืนหม่อมฉันก็ทำไว้ให้แล้ว ประเดี๋ยวจะไปหยิบมาให้เพคะ ! ”
“ไอหยา เจ้านี่นะ เหตุใดจึงเป็นคนจริงใจขนาดนี้ ? รีบอะไรกัน ? ชาผลไม้จะได้ดื่มช้าหน่อยแล้วเป็นอย่างไร ? อย่าหักโหมจนทำให้ตัวเองป่วย เข้าใจหรือเปล่า ! ” บุตรสาวนิสัยเหมือนพระองค์คือเป็นคนใจร้อน หมินอ๋องรู้สึกปวดหทัยอย่างอธิบายไม่ถูก
หลินเว่ยเว่ยหยิบโถใส่ชาผลไม้ออกมาจากห้อง หมินอ๋องรับมาชั่งน้ำหนักโดยประมาณ ก็น่าจะหนักสองชั่งกว่า ๆ สามารถผสมน้ำดื่มได้อีกหลายวัน
จากนั้นก็ยังได้ยินหลินเว่ยเว่ยพูดอีก “ใช้เพียงครั้งละหนึ่งช้อน ชงด้วยน้ำอุ่น ดื่มอย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง มากกว่านั้นก็ไม่เป็นไร ด้านในยังมีโสม ไป๋จู (บำรุงม้าม ห้ามเหงื่อ)…และสมุนไพรชนิดต่าง ๆ รวมเข้ากับพุทราแดง ขิง แอปเปิลและดอกไม้แห้งชนิดอื่น…แม้จะบอกว่าชาผลไม้ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ท่านอ๋องเพคะ ดีที่สุดคือเอาไปให้ท่านหมอดูก่อน แล้วค่อยนำไปให้สหายผู้นั้นของพระองค์เพคะ”
สหายท่านนี้เป็นถึงเจ้าผู้ครองแผ่นดิน หากว่าตอนเสวยชาผลไม้แล้วรู้สึกประชวรขึ้นมา นางก็จะมีโทษถึงขั้นโดนประหาร นางมีอยู่แค่ศีรษะเดียว ต้องรักษาเอาไว้อย่างสุดกำลัง !
หมินอ๋องยื่นโถให้เต๋อฉวนแล้วตรัสชมว่า “ดูกู่เหนียงสิ ช่างใส่ใจจริง ๆ คิดสิ่งใดได้ละเอียดรอบคอบมาก ! จริงสิ หลินกู่เหนียง เจ้ามีสูตรชาบำรุงเลือดลมหรือเปล่า ? ”
พระชายาให้กำเนิดบุตรก่อนกำหนด สุขภาพเสียหายหนักมาก ช่วงหลายปีนี้พักฟื้นมาโดยตลอด แต่ดีขึ้นเพียงเล็กน้อย พระองค์กลัวว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะทิ้งกันไปสักวันใดวันหนึ่ง…
“พอทำได้…บ้าง…เพคะ” ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เหลือบมองฮ่องเต้หยวนชิง…เป็นฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นคนขี้โรค
ฮ่องเต้หยวนชิงมีสีพระพักตร์มืดมนทันที “มองข้าทำไม ? ไม่ใช่ของที่ข้าจำเป็นต้องใช้สักหน่อย ! ”
เมื่อหลินเว่ยเว่ยได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ท่านอ๋อง ชาผลไม้บำรุงเลือดลม ท่านต้องการรสอะไรเพคะ ? ” แม่ทัพออกสู้ศึก การได้รับบาดเจ็บก็เป็นเรื่องปกติ…ทว่าหมินอ๋องดูไม่เหมือนคนป่วยที่เลือดลมไม่ดีเลย
“เสวี่ยเอ๋อร์ชอบกินอิงเถา (เชอร์รี่) แล้วก็มีเฉ่าเหมย (สตรอเบอร์รี่) จากแคว้นบรรณาการ…” พอหมินอ๋องตรัสถึงหมินหวางเฟย แววพระเนตรก็ดูอ่อนโยนทันที ราวกับว่ากลายเป็นสุนัขตัวโตแสนอบอุ่น ฮ่าฮ่า คาดไม่ถึงว่าหมินอ๋องจะมีด้านนี้ด้วย !
แต่ผลไม้ที่ตรัสออกมาก็ทำให้หลินเว่ยเว่ยถึงขั้นเหงื่อตก !
ฮ่องเต้หยวนชิงทนเห็นไม่ไหว “ในฤดูกาลนี้เจ้าจะให้นางไปหาอิงเถากับเฉ่าเหมยจากที่ใด ? หยูอัน เจ้าไม่ได้กำลังสร้างปัญหาให้นางหรือ ? ”