ตอนที่ 520 ใครเป็นฝ่ายผิด
“ได้ ได้ ! ข้าฟังเสวี่ยเอ๋อร์ทุกอย่าง ! แม่ทัพอะไรนั่น เราไม่เป็นแล้ว อ๋องก็ไม่เป็นแล้ว ! ข้าขอโทษ เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ! ” ปลายดวงเนตรของหมินอ๋องเปียกชื้น หยาดน้ำตาร่วงสู่ลำคออันขาวผ่องของหมินหวางเฟย
หมินหวางเฟยค่อย ๆ สงบลง ดวงเนตรที่พร่ามัวกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง เนื่องจากคลอดก่อนกำหนด ส่งผลให้ในระยะเวลาพักฟื้นนั้นถ้าไม่ทำศึกกับศัตรูก็ออกไปตามหาบุตรที่หายไป ร่างกายของหมินหวางเฟยจึงเสียหายอย่างหนัก เมื่อครู่พยายามดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ใช้แรงทั้งหมดที่มี ร่างกายจึงอ่อนแรงแล้วล้มเข้าสู่อ้อมกอดหมินอ๋องทันที
หมินอ๋องรับร่างของนางไว้พลางช้อนอุ้มนางไปบนเตียงแล้วใช้ผ้าห่มคลุมให้ “ดูตัวเองเถิด ไม่รู้จักใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ถ้าเจ็บป่วยขึ้นมา ข้าจะเป็นห่วงเจ้ามากเพียงใด ! ”
หมินหวางเฟยได้สติกลับมาครบถ้วนแล้ว นางอยู่ในท่านอนตะแคงข้างและเอาแก้มแนบหมอนอย่างอ่อนแรงพลางแย้มโอษฐ์ให้หมินอ๋อง แต่ไม่ได้ตรัสอะไรออกมา ส่วนใหญ่นางจะชอบเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง บางครั้งก็นำสิ่งที่คิดว่าเป็นทารกน้อยขึ้นมาอุ้มแล้วร้องไห้เงียบ ๆ ตอนมีสติก็จะฝังความเจ็บปวดที่มีทั้งหมดไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ เพราะไม่อยากให้พระสวามีเป็นห่วง
หมินอ๋องซับความเปียกชื้นในดวงเนตรออกแล้วเริ่มตรัสด้วยสุรเสียงตื่นเต้น “เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าหาลูกของพวกเราเจอแล้ว ! ”
หมินหวางเฟยรีบหันมาจดจ้องพระสวามีด้วยดวงเนตรแห่งความสุข ทว่าความสุขที่เกิดขึ้นชั่วครู่ก็จางหายไปอีกครั้ง…เพื่ออาการป่วยของนางแล้ว หมินอ๋องเคยหาเด็กที่หน้าตาเหมือนนางมากมาเป็นลูก แต่สายสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว นางจะจดจำลูกแท้ ๆ ไม่ได้หรือไร ?
หมินอ๋องยังตรัสด้วยความตื่นเต้น “คราวนี้เป็นเรื่องจริง ! ฝ่าบาททรงช่วยสืบหาความจริงให้พวกเราแล้ว เป็นสายเลือดแท้ ๆ ของพวกเราจริง ! เจ้ารู้หรือไม่ ? นิสัยของเด็กคนนั้นเหมือนเจ้าตอนยังอายุน้อยไม่มีผิด ทั้งตรงไปตรงมา จิตใจดี ใจกว้างและฉลาดเฉลียว !
นางก็ได้รับสืบทอดพรสวรรค์ด้านการต่อสู้ของสกุลจ้าวมาด้วย มีพละกำลังมหาศาลตั้งแต่กำเนิด สามารถต่อสู้กับข้าอย่างสูสีถึง 50 กระบวนท่า…เก่งกว่าเจ้าเด็กแสบจินเฉิงนั่นเล็กน้อย ! เจ้าคิดว่ารอให้จินเฉิงกลับมาแล้วพบว่าต่อสู้แพ้น้องสาวของตน เขาจะมีสภาพเป็นอย่างไร ? ”
น้องสาว ? ไม่ควรเป็นน้องชายหรอกหรือ ? หมินหวางเฟยเริ่มขมวดพระขนงและดำดิ่งสู่ห้วงความคิด วันนั้นนางสวมใส่ฉลองพระองค์ของฮองเฮาเพื่อหลอกล่อทหาร ล่อออกไปได้ไม่นานพระครรภ์ก็เริ่มปวด ตอนคลอดบุตรก็มีพวกทหารกบฏไล่ตามมาแล้ว รอบกายเต็มไปด้วยประกายของคมกระบี่และความโกลาหลก็เกิดขึ้น เด็กเพิ่งคลอดออกมา นางก็ใช้กริชตัดสายสะดือ ใช้ผ้าห่อไว้แล้วดึงจี้หยกที่ห้อยคอออกมาแล้วยื่นทั้งจี้หยกและทารกให้ปิงเจี๋ย…
ในเวลานั้นตัวนางก็ไม่ได้มองอย่างละเอียด แต่สัญชาตญาณบอกนางว่าเป็นเด็กผู้ชาย ตอนนี้พระสวามีกลับบอกว่าเป็นเด็กผู้หญิง ? หรือว่า…นางจะจำผิดไปเอง ?
“เจ้ารู้หรือไม่ ? บุตรสาวของเรายังเคยช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ด้วย ! ” ต่อจากนั้นหมินอ๋องก็เริ่มเล่าเรื่องที่หลินเว่ยเว่ยช่วยชีวิตฮ่องเต้หยวนชิงไว้อย่างไรด้วยความตื่นเต้น แล้วฮ่องเต้หยวนชิงเห็นจี้หยกได้อย่างไร ถึงสืบจนรู้ว่าเด็กสาวคนนั้นเป็นบุตรสาวที่พลัดพรากไปหลายปีของพวกตน…
“มันจะ…บังเอิญเกินไปหรือเปล่า ? ” ตอนหมินหวางเฟยไม่เสียสติย่อมฉลาดเหนือใคร นางนึกถึงความยากลำบากต่าง ๆ นานาตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์มา จึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่านี่เป็นกลอุบาย
หมินอ๋องคลี่พระโอษฐ์ “ตอนแรกข้าก็คิดว่ามันบังเอิญเกินไป ! ตอนฝ่าบาทส่งคนไปสืบที่ภาคเหนือ ข้าก็เคยไปใกล้ชิดเด็กคนนั้นอยู่หลายครั้ง…นิสัยของนางหนูคนนั้นไม่เหมาะเป็นสายลับ เจ้าเห็นแล้วก็จะรู้เอง ! ”
หมินหวางเฟยคิดทบทวนอย่างว่องไว ในเมื่อฝ่าบาทก็สืบแล้ว ตัวตนของเด็กสาวคนนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร หรือว่า…ตอนนั้นนางคลอดบุตรสาวออกมาจริง ?
“เสวี่ยเอ๋อร์ ? เจ้าไม่ดีใจหรือ ? ” หมินอ๋องบ่นพึมพำและยังตรัสอีกเยอะมาก แต่พูดเพียงว่าบุตรสาวดีอย่างโน้นอย่างนี้…ทำอาหารได้สุดยอดมากและยังทำขนมเก่งด้วย ชาสมุนไพรที่นางทำก็ช่วยรักษาโรคกระเพาะของฮ่องเต้ได้…
หมินหวางเฟยฟังแล้วก็แย้มพระโอษฐ์พลางพยักดวงพักตร์ “ดีใจสิเพคะ ! แค่จู่ ๆ ก็ได้ข่าวของลูก หม่อมฉันจึงรู้สึกเหมือนกำลังฝันอยู่”
“เจ้าไม่ได้ชอบพูดบ่อย ๆ หรือว่า ‘แม่ลูกนิสัยเดียวกัน’ ? รอให้เจ้าพบนางเมื่อใด เจ้าก็จะรู้ว่ามันถูกต้อง ! ” ทันใดนั้นหมินอ๋องก็แย้มพระสรวลอย่างโง่งมกว่าเดิม…เจ้าทึ่ม ในเวลาปกติมักแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไร แล้วเฝ้ามองนาง คอยปลอบนางอยู่เสมอ แท้จริงเขาเองก็รอคอยการกลับมาของบุตรเหมือนนาง…
หมินหวางเฟยบอกให้หยี่ซวงมาช่วยใส่เสื้อผ้าแล้วสั่งให้นางกำนัลเก็บของ เพราะนางจะกลับเมืองหลวงและกลับตำหนักหมินอ๋อง !
หมินอ๋องยังคงแย้มพระสรวลอย่างโง่งม “ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น บุตรสาวไม่วิ่งหนีไปไหนหรอก ! รอให้ร่างกายเจ้าดีขึ้นแล้วก็ค่อยกลับไป ! ”
“หม่อมฉันดื่มชาผลไม้บำรุงเลือดลมที่พระองค์นำมาให้ ร่างกายเริ่มดีขึ้นมากแล้ว หม่อมฉันทนไหว จนถึงวันนี้ ก็รอมา 15 ปีแล้ว ไม่อยากรอต่อไปอีกแล้วเพคะ ! ” หมินหวางเฟยปะติดปะต่อภาพสาวน้อยน่ารักจากคำพูดของพระสวามี นางเป็นบุตรสาวของตนจริงหรือ ? ในขณะที่ตนไม่รู้ว่าบุตรหายไปอยู่ที่ใด อีกฝ่ายก็เติบโตจนเป็นเด็กที่น่ารักขนาดนี้แล้ว…อยากพบหน้าลูกโดยเร็วจริง ๆ !
หมินอ๋องยังคงแย้มพระโอษฐ์ “ชาผลไม้นี้ บุตรสาวพวกเราเคี่ยวนานถึง 2 ชั่วยาม ! รอให้รับนางกลับมาเมื่อใด ค่อยให้นางทำใหม่ เพื่อแสดงความกตัญญูต่อเจ้า”
“พระองค์ทำใจได้หรือ ? ไม่กลัวบุตรสาวเราจะเหนื่อยหรือเพคะ ? ” หมินหวางเฟยอารมณ์ดีขึ้นแล้ว นางเริ่มแสดงคารมที่เคยมีในสมัยอดีต หยี่ซวงที่ติดตามนางมาตั้งแต่ยังเด็กก็อดไม่ได้ที่จะมีขวบตาแดงก่ำ สิบห้าปีแล้ว ในที่สุดคุณหนูคนเดิมที่นางรู้จักก็กลับมา !
“ไม่ได้มีพวกนางกำนัลอยู่หรือ ? ถ้าให้บุตรสาวทำเองหมดทุกอย่าง แล้วจะมีนางกำนัลในตำหนักเหล่านี้ไปทำไมเพคะ ? ”
หมินอ๋องจ้องรอยยิ้มบนดวงพักตร์ของพระชายา นี่ผ่านไปกี่ปีแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ได้เห็นรอยยิ้มหวานหยดของเสวี่ยเอ๋อร์อีกครั้ง
เมื่อเก็บข้าวของครบหมดแล้ว หมินอ๋องก็อุ้มหมินหวางเฟยขึ้นรถม้า ในระหว่างอยู่บนรถม้าเพราะกลัวว่ารถจะสั่นไหวเกินไป พระองค์จึงจับมือพระชายาไว้ตลอดทาง…
ช่วงที่หมินอ๋องไปหาหมินหวางเฟยที่บ่อน้ำพุร้อนในสวนดอกเหมยนั้น ฮ่องเต้หยวนชิงก็เสวยน่องกระต่ายย่างหมดไปอีกหนึ่งน่อง จากนั้นก็ให้เต๋อฉวนนำกระต่ายที่เหลือแบ่งเป็นสี่ส่วน ส่วนแรกส่งไปให้ฮองเฮา ส่วนที่สองให้องค์หญิงเจียวเจียว ส่วนที่สามคือองค์รัชทายาท แล้วส่วนสุดท้ายก็พระราชทานให้องค์ชายเจ็ด…ตอนนี้องค์ชายเจ็ดได้ออกจากวังไปอยู่คนเดียวในตำหนักแล้ว แม้เจ้าเด็กคนนี้จะเกียจคร้านและน่าโมโหไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นบุตรกตัญญูคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เจอของดีก็มักจะส่งเข้ามาในวังหลวงสองชุดเสมอ
“อีกประการ ไปเรียกองค์รัชทายาทมา ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงดื่มชาผลไม้หนึ่งอึกเพื่อล้างรสชาติเนื้อย่างในพระโอษฐ์…เนื่องจากพระอามาศัยไม่ดี จึงไม่ได้เพลิดเพลินกับอาหารมากขนาดนี้เป็นเวลานานมากแล้ว หอม ๆ เผ็ดชา ความรู้สึกที่ได้เสวยเนื้อคำโต ช่างเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยม !
ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณชาผลไม้ของนางหนูหลิน ดื่มไปได้หนึ่งโถกว่า ๆ พระอามาศัยก็ไม่มีอาการใดอีก ความอยากอาหารก็เพิ่มมากขึ้น ปริมาณอาหารก็เฉกเช่นเดียวกัน ฮองเฮาและองค์หญิงน้อยเจียวเจียวต่างดีใจแทนพระองค์และอยากจะตบรางวัลให้คนทำชาผลไม้เหลือเกิน !
ควรตบรางวัลจริง ๆ ! เพราะหากไม่มีชาผลไม้นี้ ก็อย่าว่าแต่เนื้อกระต่ายย่างรสเผ็ดชาเลย แค่เสวยอาหารในเวลาปกติก็รู้สึกไม่สบายพระนาภีแล้ว พระองค์ยังจะต้องทนความเจ็บปวดของพระอามาศัยและทรมานกับอาการลงพระนาภี (ท้องร่วง) ถ้าอย่างนั้น…ก็ทำตามที่คู่หมั้นของนางต้องการคือพระราชทานชาติกำเนิดอันสูงศักดิ์ให้นาง !
“ฟู่หวง ได้ยินเต๋อฉวนบอกว่าพระองค์เสวยเนื้อกระต่ายรสเผ็ดร้อนไม่น้อย จะไม่เป็นอะไรจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ” องค์รัชทายาทดำเนินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ดวงพักตร์หล่อเหลาแต้มไปด้วยความกังวล ฟู่หวงทรงมีวินัยมาโดยตลอด เหตุใดวันนี้ถึงกลายเป็นคนตะกละไปเสียได้ ?