ตอนที่ 522 ถ้าเช่นนั้นบัณฑิตน้อย ‘โผล่’ ออกมาจากที่ใด
เด็กน้อยเอ๋ย รอยยิ้มเวลาที่เจ้าพูด ‘เป็นบุญวาสนา’ นั้น จะทำให้ดูปลอมสักหน่อยไม่ได้หรือ ? เจียงโม่หานรีบผละสายตาหนี เพราะเขาทนมองต่อไปไม่ได้
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ! จี้ชิ้นนั้นของเจ้ากับชิ้นที่อยู่ในมือเจิ้น สลักออกมาจากมือของคนเดียวกันและคนผู้นั้นก็คือเจิ้นเอง!” ฮ่องเต้หยวนชิงนำจี้หยกมาเล่นในพระหัตถ์แล้วตอบกลับนางหนูน้อยพร้อมรอยแย้มพระโอษฐ์
หลินเว่ยเว่ยรีบเบนสายตาไปทางเจียงโม่หาน ‘จี้หยกของเจ้าเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้แกะสลักขึ้นมาเองกับพระหัตถ์ ! หรือฉากละครน้ำเน่าจะเกิดขึ้นกับคนข้างกายของนาง…บัณฑิตน้อยเป็นบุตรนอกสมรสของฮ่องเต้และตอนนี้จะกลับเข้าสู่ราชวงศ์ ! ส่วนนางก็จะได้เป็นพระชายาขององค์ชาย ? ’
ในขณะที่นางกำลังแอบนึกถึง ‘ฉาก’ ในละครน้ำเน่าที่มักเห็นตามหน้าจอโทรทัศน์ ฮ่องเต้หยวนชิงก็ยังตรัสอีกว่า “จี้หยกของเจ้าชิ้นนั้น เป็นของที่เจิ้นมอบให้พี่น้องร่วมสาบานอย่างหมินอ๋อง…เจ้าเข้าใจความหมายของเจิ้นหรือไม่ ? ”
อ้อ ! ที่แท้นางก็เข้าใจผิด ! แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว เข้าใจมากด้วย ! บัณฑิตน้อยเป็นบุตรของหมินอ๋อง ดังนั้นหมินอ๋องดำรงตำแหน่งเป็นชินอ๋อง (เป็นรองแค่องค์รัชทายาท) ในปัจจุบัน อย่างน้อยบุตรชายของพระองค์ก็ต้องมีตำแหน่งจวิ้นอ๋อง ฮ่าฮ่า ! นางจะได้เป็นจวิ้นหวางเฟยแล้ว ! หมินอ๋องเป็นพ่อสามีของนาง นี่มันวาสนาอะไรกัน !
“เมื่อประมาณสิบห้าปีก่อน หมินอ๋องสูญเสียบุตรคนหนึ่งไป ใช่ เด็กคนนั้นก็คือ…เจ้า ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงโยนระเบิดออกมาลูกใหญ่
“อะ…อะไรนะเพคะ ? ” หลินเว่ยเว่ยทำท่าแคะหู เพราะเข้าใจว่าฟังผิดไป “ฝ่าบาท พระองค์กำลังเข้าใจผิดหรือเปล่า ? หม่อมฉันเป็นคนหมู่บ้านฉือหลี่โกวแห่งเขตเริ่นอัน มีพ่อแม่พี่น้อง ! แล้วจะเป็นบุตรของหมินอ๋องได้อย่างไรเพคะ ? ”
ขณะที่นางกำลังจะบอกว่าจี้หยกชิ้นนี้เป็นของบัณฑิตน้อย จู่ ๆ มือของนางก็โดนเจียงโม่หานจับไว้ นางหันไปมองเขาที่กำลังแอบส่งสัญญาณโดยการส่ายหน้าให้นาง…หมายความว่าอย่างไร ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าบัณฑิตน้อยเป็นคนให้นาง ถ้าในระหว่างพวกตนต้องมีคนใดคนหนึ่งเป็นบุตรของหมินอ๋อง เช่นนั้นก็ต้องเป็นบัณฑิตน้อย ! เหตุใดถึงไม่ยอมให้นางพูดความจริง ?
ฮ่องเต้หยวนชิงตรัสด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเพราะความมีไหวพริบของสาวใช้ที่หมินหวางเฟยไว้วางใจคนนั้น ! นางหวงแม่เลี้ยงของเจ้ามีภาวะคลอดบุตรยาก ดังนั้นทารกที่คลอดออกมาจึงเสียชีวิตไปแล้ว ตอนนั้นนางเฝิงเป็นคนทำคลอดบุตรให้นาง ดังนั้นจึงเปลี่ยนตัวเจ้ากับตัวทารกที่ตายแล้ว คนทั้งตระกูลหลินต่างเข้าใจว่าเจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลหลิน…และตอนที่เจ้าสติไม่ดีก็เป็นเพราะหมินหวางเฟยคลอดก่อนกำหนด จึงมีผลตามมา”
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หานอีกรอบ ฮ่องเต้ตรัสเรื่องโป้ปดด้วยสีพระพักตร์จริงจัง นางเกือบจะเชื่อแล้วเชียว ! ‘บัณฑิตน้อย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ? เจ้ากับฮ่องเต้รวมหัวกันมากลั่นแกล้งข้าใช่หรือเปล่า ? ’
เรื่องนี้ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น พอเห็นแป้งทอดตกมาจากฟากฟ้าแบบนี้คงมึนศีรษะและไม่รู้ว่าจะดีใจกันขนาดไหน แต่นางหนูคนนี้ช่างน่าสนใจ ไม่โดนหลอกง่าย ๆ แต่ใครจะสนใจนาง ? ประเดี๋ยวค่อยให้คู่หมั้นอธิบายก็สิ้นเรื่องแล้ว ในเวลานี้นางแค่ฟังเรื่อง ‘ชาติกำเนิด’ ของตนอย่างเงียบ ๆ ก็พอ !
“เจิ้นรู้ว่าเจ้าไม่สามารถยอมรับตัวตนได้ในทันที แต่ไม่เป็นไรหรอก รอให้เจิ้นรับนางเฝิงมาจากฉือหลี่โกว แล้วให้นางอธิบายเรื่องต่าง ๆ แก่เจ้าอย่างละเอียดเอง” ฮ่องเต้หยวนชิงตรัส
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปที่เจียงโม่หานแล้วถามว่า “ฝ่าบาท พระองค์ตรัสว่าหม่อมฉันถูกน้าเฝิงปิดบังฐานะไว้ เพื่อจะได้ปกป้องง่ายกว่าเดิม จึงสับเปลี่ยนกับบุตรของตระกูลหลิน ถ้าเช่นนั้น…บัณฑิตน้อยล่ะเพคะ ? เขาโผล่ออกมาจากที่ใด ? ”
เจียงโม่หานกวาดตามองนางเบา ๆ ‘พูดเป็นหรือไม่ ? สิ่งใดที่เรียกว่า ‘โผล่’ ออกมา ? ’
มุมพระโอษฐ์ของฮ่องเต้หยวนชิงโค้งขึ้น “ในภัยสงครามครานั้นเต็มไปด้วยเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เขาจึงเป็นเด็กที่นางเฝิงเก็บมาเลี้ยง ! ”
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หาน ‘บัณฑิตน้อย เจ้าน่าสงสารมาก กลายเป็นเด็กที่พ่อแม่เก็บมาเลี้ยง แต่ไม่เป็นไร ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าเอง ! แม้เจ้าจะเป็นเด็กกำพร้า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไร้คนรัก ! ’
จนถึงตอนนี้ หลินเว่ยเว่ยยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะสัญชาตญาณบอกว่าเรื่องที่ฝ่าบาทตรัสออกมา ฟังแล้วไม่น่าเชื่อถือสุด ๆ ส่วนเหตุผลที่ว่าฝ่าบาทมาบิดเบือนชาติกำเนิดของนางทำไม นางก็จนปัญญาจริง ๆ…หมินอ๋องไม่ใช่สหายที่พระองค์เชื่อใจที่สุดหรือ ? แล้วเหตุใดต้องสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายด้วย ?
องค์รัชทายาทขมวดพระขนง ‘ไม่ใช่แล้วกระมัง ? เด็กสาวทรงพลังตรงหน้าคนนี้เคยหมั้นหมายกับพระองค์ไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ? เสด็จอาหมินอ๋องจะต้องไม่ยอมให้บุตรสาวมาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทแน่นอน หรือว่า…พระองค์ต้องอภิเษกเด็กสาวที่สามารถต่อยสามีให้ล้มได้ด้วยหมัดเดียว ? ’
ฮ่องเต้หยวนชิงเข้าพระทัยความคิดของพระโอรส จึงเริ่มหยอกเย้าว่า “รัชทายาท มาสิ เจิ้นจะแนะนำคู่หมั้นตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาให้เจ้ารู้จัก…”
“อะไรนะ ? ”
“ว่าอย่างไรนะ ? ! ” หลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หานลุกขึ้นยืนพร้อมกันและตะโกนออกมาอย่างเสียอาการ
หลินเว่ยเว่ยรีบโบกมือรัว “หมั้นตั้งแต่ในครรภ์อะไรกันเพคะ ? ข้า…หม่อมฉันไม่ใช่ท่านหญิงตำหนักหมินอ๋องหรอก พวกพระองค์ต้องจำผิดแน่นอน ! ”
เจียงโม่หานหันไปมองฮ่องเต้หยวนชิงแล้วพูดอ้ำอึ้ง “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่เคยรู้เรื่อง ‘การหมั้นหมายตั้งแต่อยู่ในครรภ์’ มาก่อนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ทำไมหรือ ? เจ้าถามเพราะกำลังสงสัยเจิ้น ? ใครมอบความกล้านี้แก่เจ้า ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงทำสีพระพักตร์เย็นชา ทั่วทั้งพระวรกายปลดปล่อยรังสีอันน่าเกรงขามออกมา ทำให้คนอื่นไม่กล้าเถียงกลับ
เจียงโม่หานพยายามข่มแรงกดดันเอาไว้แล้วกัดฟันพูดว่า “ฝ่าบาท เว่ยเว่ยเป็นคู่หมั้นของกระหม่อม ! ”
ฮ่องเต้หยวนชิงเกิดนึกสนุกขึ้นมา จึงเลิกพระขนงพลางตรัสว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ‘บิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจ’ ! ในเมื่อบิดามารดาของเว่ยเว่ยคือหมินอ๋องและหมินหวางเฟย การหมั้นหมายครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจของพวกเขา ดังนั้นจึงถือเป็นโมฆะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้วแน่น แววตาแฝงไปด้วยโทสะ ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงโม่หานดึงตัวนางไว้ นางคงเข้าไปคิดบัญชีแล้ว นางจับมือบัณฑิตน้อยไว้แน่นแล้วมองไปทางฮ่องเต้หยวนชิง “บุญคุณเลี้ยงดูยิ่งใหญ่เสมือนท้องฟ้า ! แม้จะเป็นบุตรที่พลัดพรากไปของหมินอ๋อง แต่มารดาของหม่อมฉันก็ยังเป็นนางหวง ! หรือการหมั้นหมายที่มารดาของหม่อมฉันเป็นผู้ตัดสินใจให้ ไม่ถือเป็นการตัดสินใจของบิดามารดา ? ”
ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรนางพลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เจ้าทำแบบนี้จะดูไม่ยุติธรรมกับหมินหวางเฟยที่พยายามคลอดเจ้าออกมากลางสนามรบ ทั้งยังออกตามหาเจ้าไปทั่วตลอดเวลาสิบกว่าปีจนตัวนางเองต้องล้มป่วย ? ”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะอกตัญญูต่อหมินอ๋องและหมินหวางเฟยเพคะ ! แต่ว่าท่านพ่อท่านแม่ที่ฉือหลี่โกวของหม่อมฉัน ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะสงคราม ต้องอยู่ในความอดอยากหรือแม้ว่าต้องลำบากมากเพียงใด ทั้งสองก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งเด็กปัญญาอ่อนอย่างหม่อมฉัน เพื่อหาเลี้ยงหม่อมฉันและคนในครอบครัว ท่านพ่อต้องออกไปล่าสัตว์และหายตัวไป เพียงเพื่อประหยัดให้หม่อมฉันได้มีกิน ท่านแม่ต้องเป็นโรคขาดสารอาหารและเกือบอดตายเพราะหม่อมฉัน ! ถ้าต้องทำเพื่อบิดามารดาแท้ ๆ แล้วทอดทิ้งผู้มีพระคุณอย่างพวกนาง นั่นจะไม่ใช่ยิ่งกว่าเนรคุณหรือเพคะ ? แล้วหม่อมฉันที่มีนิสัยแบบนี้ หมินอ๋องและหมินหวางเฟยจะกล้ารับกลับเข้าตระกูลหรือไม่เพคะ ? ”
หลินเว่ยเว่ยมีแววตาเด็ดเดี่ยว คำพูดก็แสนหนักแน่นและแสดงจุดยืนออกมาอย่างชัดเจน…ท่านแม่ก็คือท่านแม่ตลอดไป ! นางไม่มีวันทอดทิ้งมารดาและสามีผู้ยากไร้ของตนแน่นอน !
ฮ่องเต้หยวนชิงใช้นิ้วพระหัตถ์เคาะโต๊ะแล้วเงยดวงพักตร์เพื่อทอดพระเนตรหลินเว่ยเว่ย “เจ้าคิดให้ดี ! เป็นจวิ้นจู่น้อยของตำหนักหมินอ๋อง วันหน้าอย่างไรก็ได้เป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ? หรือเจ้ายังอยากจะกลับชนบทที่แสนทุรกันดารแล้วเป็นภรรยาของบัณฑิตยากจน ? ”
หลินเว่ยเว่ยทูลด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ถ้าต้องเลือกจริง ๆ อย่างไรหม่อมฉันก็จะเลือกประการหลัง ! หมินอ๋องและหมินหวางเฟยมีฐานะสูงส่ง ข้างกายมีนางกำนัลมากมาย แล้วยังมีหมินอ๋องซื่อจื่อที่คอยแสดงความกตัญญูอีกคน แม้จะไม่มีหม่อมฉัน ทั้งสองก็ยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ฝ่าบาทก็ทรงทราบว่าฉือหลี่โกวเป็นหมู่บ้านในหุบเขาที่ทุรกันดาร ดังนั้นท่านแม่และพี่น้องจึงต้องการหม่อมฉันมากกว่าเพคะ ! ”