ตอนที่ 545 แน่ใจว่าไม่ได้กำลังทำให้ข้าน้อยอับอาย ?
หลินเว่ยเว่ยเห็นราชองครักษ์นายหนึ่งมีอาวุธเป็นกระบอง นางจึงรับมาถือไว้ ก่อนจะค่อย ๆ ออกแรงกับก้อนหินก้อนนั้น…กระบองและก้อนหินพังทลายลงพร้อมกัน
บรรดาราชองครักษ์ “…”
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขาพยายามทำลายมันอยู่นาน ก็คงเข้าใจว่าก้อนหินนั้นเป็นแค่ก้อนแป้งหนึ่งก้อน
หลินเว่ยเว่ย “…”
นางมองราชองครักษ์ที่ยืมกระบองมาด้วยความขอโทษ “ขอโทษจริง ๆ ทำอาวุธของท่านพังแล้ว วันหน้าข้าจะให้ฟู่หวางทำกระบองเหล็กชดเชยให้ท่าน…”
ราชองครักษ์เจ้าของกระบอง “…”
เว่ยเว่ยจวิ้นจู่ ท่านแน่ใจว่าไม่ได้กำลังทำให้ข้าน้อยอับอาย ? กระบองเหล็ก ? แม้แต่ถือไว้เฉย ๆ ก็ยังกินแรง แล้วจะใช้อย่างไร ?
“นี่ก็สายมากแล้ว พวกเรามาช่วยกันยกรถม้าขึ้นเถิด ? ” ขณะพูดหลินเว่ยเว่ยก็ใช้มือข้างหนึ่งยกคานด้านหลังของรถม้าแล้วค่อย ๆ ออกแรง…หืม ? รถม้าเหมือนของเล่นไม่ผิดเพี้ยน ล้อรถข้างหนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นนางก็ดันมันไปข้างหน้า แม้แต่ม้าที่ผูกไว้ด้านหน้าก็ยังโดนผลักให้เดินออกไปถึงหลายก้าว
องค์รัชทายาทและพวกราชองครักษ์ตกตะลึงจนพูดไม่ออก “…!!”
หลินเว่ยเว่ยก็ไม่ทันตั้งตัว “…”
เดิมทีนางคิดว่ารถม้าพระที่นั่งซึ่งถูกลากด้วยม้า 4 ตัว รวมกับฮองเฮาและพระธิดาแล้วจะต้องหนักมากแน่นอน นางถึงได้ตะโกนเรียกพวกราชองครักษ์ แต่ใครจะไปรู้…แม่ลูกคู่นี้ต้องกำลังลดน้ำหนัก คงตัวเบาจนร่ายรำบนฝ่ามือนางได้แล้วกระมัง ?
“ว้าว ! ว้าว ! พี่เว่ยเว่ย ท่านร้ายกาจเหมือนกันนี่ ? ฟู่หวงตรัสว่าท่านมีพละกำลังมหาศาล ตอนนั้นข้ายังไม่เชื่อ คิดว่าเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อให้แรงเยอะขนาดไหนก็ไม่น่าจะเหนือไปกว่าผู้ชาย ? คาดไม่ถึงว่าพละกำลังของท่านคนเดียวจะเท่ากับผู้ชายนับสิบคน ! ”
องค์หญิงเจียวเจียวโผล่ออกมาจากหน้าต่างรถม้าครึ่งตัวและเห็นฉากที่หลินเว่ยเว่ยใช้มือข้างเดียวพอดี นางจึงประหลาดใจมาก…ที่แท้บนโลกใบนี้ก็มีคนที่เกิดมาพร้อมพละกำลังมหาศาลอยู่จริง !
องค์รัชทายาทและพวกราชองครักษ์ยิ่งรู้สึกพูดไม่ออก “…”
ทุกคนที่ดันรถม้าไม่สำเร็จ รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที !
“องค์หญิงน้อยชมเกินไปแล้วเพคะ…ระวัง ! ” องค์หญิงเจียวเจียวที่ตื่นเต้นจนเกินเหตุจึงไม่ทันระวังและเผลอทำให้วรกายอันผอมบางเสียหลัก ขณะรู้สึกว่าตัวเองกำลังร่วงออกมาจากรถม้า ดวงพักตร์กำลังจะกระแทกพื้น ทางด้านหลินเว่ยเว่ยก็รีบก้าวเข้ามาแล้วจับหมวกเสื้อคลุมขององค์หญิงน้อยด้วยมือข้างหนึ่ง ทำให้องค์หญิงลอยค้างอยู่กลางอากาศ
องค์หญิงเจียวเจียวเตะเท้าน้อย ๆ กลางอากาศพลางชี้ไปที่สายรัดเสื้อคลุมที่ยิ่งแน่นขึ้นเรื่อย ๆ หลินเว่ยเว่ยจึงวางนางลง…เกือบรัดคอองค์หญิงน้อยจนสิ้นพระชนม์แล้ว ล่วงเกิน ล่วงเกินแล้ว !
องค์หญิงเจียวเจียวทอดพระเนตรอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกาย “พี่เว่ยเว่ย ท่านถึงขั้นรับตัวข้าไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว…ไม่สิ ไม่ควรใช้คำว่า ‘ถึงขั้น’ เพราะเมื่อครู่ท่านยกรถม้าได้ด้วยมือข้างเดียว ดังนั้นการจะรับข้าไว้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร พี่เว่ยเว่ย ท่านเป็นคนที่สองซึ่งข้าอยากกราบเป็นอาจารย์ ! คนแรกก็คือหมินอ๋อง ! ”
งานเข้าแล้วทีนี้ ! ตำหนักของนางกวาดตำแหน่งราชครูทั้งสองอันดับแรกขององค์หญิงน้อยไปแล้ว หากฮ่องเต้ทราบแล้วจะรู้สึกอย่างไร ?
หลินเว่ยเว่ยปัดหิมะบนพระวรกายขององค์หญิงเจียวเจียวเบา ๆ “ข้างนอกอากาศหนาว ประเดี๋ยวจะประชวรเอาได้ รีบกลับเข้าไปในรถม้าเถิดเพคะ”
องค์หญิงเจียวเจียวทอดพระเนตรป้ายรถม้าตำหนักหมินอ๋องที่อยู่ด้านหลัง จึงส่งเสียงพระสรวลเข้าไปในรถม้าพระที่นั่ง “หมู่โฮ่ว ลูกย้ายไปนั่งรถม้าของพี่เว่ยเว่ยนะเพคะ…”
ไม่รอให้ฮองเฮาขานรับ นางก็รีบกระตุ้นหลินเว่ยเว่ย “รีบไป รีบไปเร็ว ! ” สามารถนั่งรถม้าคันเดียวกับขวัญใจของพระองค์ได้ องค์หญิงน้อยจึงดีใจมากเป็นพิเศษ
หลินเว่ยเว่ยส่งเสียงทูลลาฮองเฮาและองค์รัชทายาท จากนั้นก็โดนองค์หญิงลากตัวออกมา นางอดไม่ได้ที่จะกลอกตา ‘องค์หญิงน้อย รู้หรือว่าพวกเราจะไปไหน ? ยังไม่รู้แต่ก็ตามมาขึ้นรถแล้ว ถ้าไม่ได้ไปทางเดียวกันจะทำอย่างไร ? ’
องค์หญิงน้อยไม่ต้องให้ใครประคองก็สามารถปีนขึ้นรถม้าได้อย่างรวดเร็วและเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นว่าข้างในมีเด็กสาวที่อายุห่างจากกันไม่มาก นางก็เอียงศีรษะพลางทอดพระเนตรอีกฝ่าย “เจ้าเป็นใคร ? สหายของพี่เว่ยเว่ยอย่างนั้นหรือ ? ”
“อะ…องค์หญิง ? หม่อมฉันถวายพระพรองค์หญิงเพคะ ! ” ติงหลิงเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าพี่หลินออกไปช่วยคนอื่น แต่ลากองค์หญิงกลับมาด้วย นางจึงรีบลุกขึ้นคารวะทันที
“ไม่ต้องมากพิธี ! ออกมาข้างนอก ไม่จำเป็นต้องทำตามธรรมเนียมขนาดนั้นหรอก เจ้า…ก็เป็นบุตรขุนนางเหมือนกันหรือ ? เหตุใดเมื่อก่อนข้าไม่เคยเห็นเจ้าเลย ? ” องค์หญิงเจียวเจียวเห็นหลินเว่ยเว่ยขึ้นมาแล้วจึงขยับเข้ามาประทับข้างกัน ทันใดนั้นก็เห็นกล่องอาหารในรถม้า จึงอดจ้องมองเป็นนานสองนานไม่ได้
ติงหลิงเอ๋อร์ทูลตอบอย่างระมัดระวัง “หม่อมฉันเป็นบุตรสาวของผู้อำนวยการสำนักกั๋วจื่อเจียน แซ่ติง นามว่าหลิงเอ๋อร์เพคะ…” ไฉนเลยองค์หญิงจะได้พบนางมาก่อน ? บิดาของนางเป็นเพียงขุนนางขั้นสี่ แม้แต่การเข้าร่วมงานเลี้ยงสิ้นปีของวังหลวง ตระกูลของพวกนางยังไม่มีสิทธิ์ การที่องค์หญิงไม่เคยเห็นนางมาก่อนก็สมเหตุสมผลแล้ว
ทุกงานที่องค์หญิงเข้าร่วม ข้างพระวรกายมักจะรายล้อมไปด้วยคุณหนูผู้สูงศักดิ์ บุตรหลานขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก สำหรับคนฐานะอย่างติงหลิงเอ๋อร์มีสิทธิ์ได้แค่มองจากระยะไกลเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้รับบารมีจากพี่หลินจนได้นั่งรถม้าคันเดียวกับองค์หญิง
“อ้อ คุณหนูติง ! แล้วเจ้ารู้จักกับพี่เว่ยเว่ยได้อย่างไร ? ” องค์หญิงเจียวเจียวไม่คิดว่าติงหลิงเอ๋อร์มีพลังวิเศษด้วยอีกคน เพราะเว่ยเว่ยจวิ้นจู่เพิ่งกลับมาอยู่ตำหนักหมินอ๋องได้กี่วันเอง อีกฝ่ายก็เข้ามาเกาะแล้ว !
ติงหลิงเอ๋อร์สงบจิตใจ ภายใต้สายตาให้กำลังใจของหลินเว่ยเว่ยแล้ว ในที่สุดนางก็ค่อย ๆ สงบลง นางเริ่มเล่าเรื่องที่เคยเจอกับหลินเว่ยเว่ยในเขตเริ่นอันให้องค์หญิงฟังอย่างละเอียด พอองค์หญิงเจียวเจียวได้ฟังจนถึงเรื่องที่พวกนางขึ้นเขาไปล่าสัตว์ ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันที !
“ว้าว ! ดีจัง ! ตอนพี่ชายเจ็ดไปช่วยบรรเทาทุกข์ที่ภาคเหนือ ข้าตามไปด้วยก็คงจะดี ! ไม่แน่ว่าข้าอาจได้รู้จักกับพี่เว่ยเว่ยแล้วตามไปล่าสัตว์ ล่ากระต่ายกับไก่ป่า…” ดวงเนตรกลมโตขององค์หญิงเจียวเจียวเปล่งประกาย นางกะพริบดวงเนตรขณะมองหลินเว่ยเว่ย “พี่สาวคนดี รอให้หิมะหยุดตกแล้วเราไปล่าสัตว์ในฤดูหนาวกันเถิด ? ”
องค์หญิงเจียวเจียวเป็นพระธิดาเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้ พระองค์ทรงรักถนอมดุจแก้วตาดวงใจ หลินเว่ยเว่ยจึงไม่กล้ารับปากและพูดอย่างคลุมเครือว่า “ถ้าฮ่องเต้ทรงจัดงานล่าสัตว์ในฤดูหนาวขึ้นมา ตำหนักหมินอ๋องจะต้องมีรายชื่ออยู่ในเทียบเชิญแน่นอน…ที่จริงฝีมือล่าสัตว์ของหม่อมฉันไม่ดีเหมือนที่น้องหลิงเอ๋อร์พูดหรอกเพคะ ก็แค่ได้โชคช่วยเท่านั้น…”
องค์หญิงเจียวเจียวคิดว่าอีกฝ่ายตอบตกลงแล้ว จึงฟังติงหลิงเอ๋อร์เล่าเรื่องที่หลินเว่ยเว่ยไปช่วยจัดการหมู่บ้านใกล้เคียงต่อ องค์หญิงน้อยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ “หากข้ามีความสามารถเหมือนพี่เว่ยเว่ยก็คงช่วยบรรเทาทุกข์ให้ราษฎรได้บ้าง ! พี่เว่ยเว่ย ท่านยังทำเนื้อแผ่นเป็นด้วย ! เมื่อไรข้าจะได้ชิมฝีมือของพี่เว่ยเว่ย ? ”
ติงหลิงเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าองค์หญิงจะเป็นคนที่เข้าถึงง่ายขนาดนี้ นางเปิดกล่องอาหารออก เผยให้เห็นขนมที่อยู่ด้านใน “ตอนนี้ก็ได้เพคะ ! นี่เป็นขนมที่พี่หลินทำ สีขาวคือครีม ด้านในเนื้อเค้กยังสอดไส้ลูกท้อเอาไว้ด้วย หอม ๆ หวาน ๆ อร่อยมากเลยเพคะ ! ”
“ว้าว ! นี่คือของกินหรือ ? ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าก็คิดว่ามันเป็นงานแกะสลักจากอะไรสักอย่าง ! ” ขณะทอดพระเนตรขนมชิ้นแล้วชิ้นเล่า องค์หญิงเจียวเจียวก็ไม่รู้จะหยิบชิ้นไหนออกมาดี
ติงหลิงเอ๋อร์หยิบออกมาอย่างระมัดระวังแล้วนำไปวางไว้ในพระหัตถ์องค์หญิง ก่อนจะยื่นช้อนไม้ให้อีกที “องค์หญิงลองชิมสิเพคะ…”
ขนมชิ้นเล็กที่แสนวิจิตรถึงเพียงนี้ ทำให้คนที่เห็นบังเกิดความอยากอาหารสุด ๆ องค์หญิงเจียวเจียวแทบทนรอไม่ไหว แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตรัสชื่นชมก่อน “สวรรค์ ! บนโลกใบนี้ยังมีขนมที่ดูดีขนาดนี้อยู่ด้วย ! พี่เว่ยเว่ย เหตุใดท่านถึงเก่งรอบด้าน ? ทำงานบ้านเป็นทุกอย่าง เข้าครัวก็ได้ สู้กับโจรกบฏก็ไหว ล่าสัตว์ก็เป็นอีก ! ยังมีอะไรที่ท่านทำไม่ได้อีกบ้าง ? ”