ตอนที่ 550 คิงคองบาร์บี้ทำตัวขี้อ้อน
เจียงโม่หานเข้ามายืนข้างหลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็หยิบยาขี้ผึ้งที่พกติดตัวโดยตลอดออกมาทาบนฝ่ามือที่บวมแดงของนาง เพราะลูกธนูที่พุ่งเข้ามามีความเร็วมาก ฝ่ามือของนางจึงเสียดสีกับก้านของมันจนเป็นรอย !
หลินเว่ยเว่ยเห็นสีหน้าของบัณฑิตน้อยไม่ค่อยดีสักเท่าไร นางจึงทำตัวเหมือนเด็กที่ทำผิด รีบก้มหน้าก้มตาทันที “เอ่อ คือ…ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำตัวเป็นผู้กล้า ! สถานการณ์ในตอนนั้นข้าตกอยู่ในวงล้อมของห่าฝนธนูเช่นกัน จึงถือโอกาสช่วยคนอื่นไว้ก็เท่านั้นเอง…”
“ด้านข้างฮ่องเต้มีราชองครักษ์รายล้อมอยู่ขนาดนั้น แล้วยังมีองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่อีก ยังจำเป็นให้เจ้าช่วย ? ตอนนั้นสถานการณ์อันตรายมากเพียงใด ? แค่มีลูกธนูหลุดมาแค่ดอกเดียว เจ้าก็…เจ้าเคยนึกถึงผลที่ตามมาบ้างหรือเปล่า ? เจ้าสัญญากับข้าไว้ว่าอย่างไร ? แต่ละครั้งพูดได้น่าฟังนักเชียว แต่พอถึงเวลาจริงแล้วคนที่พุ่งออกไปเร็วสุดก็คือเจ้า ! ” เจียงโม่หานโมโหจนควันออกหู
เมื่อครู่ ตอนอยู่ในฝูงชน หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว ร่างน้อยที่หมุนเสื้อคลุมนั้นเรียกได้ว่าอยู่ท่ามกลางห่าฝนธนู แล้วจะไม่ให้เขาเป็นห่วงได้หรือ ?
ศีรษะของหลินเว่ยเว่ยจมดิ่งลงไปเรื่อย ๆ จนมันแทบจะฝังเข้าในหน้าอกของนางแล้ว
หมินอ๋องเห็นแล้วก็ปวดหทัย พระองค์พยายามข่มโทสะเอาไว้ แต่สุดท้ายก็ระเบิดออกมาอยู่ดี “เจ้าหุบปากไปเลย ! บุตรสาวเปิ่นหวางจะทำผิดหรือถูก เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์มาต่อว่า ? ยังไม่ทันแต่ง เจ้าก็ดุบุตรสาวเปิ่นหวางแล้ว ยังจะให้เปิ่นหวางฝากฝังบุตรสาวกับเจ้าได้อีกหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยดึงชายฉลองพระองค์ของหมินอ๋อง “ฟู่หวางอย่าตำหนิบัณฑิตน้อยเลยเพคะ คราวนี้เป็นลูกเองที่ผิดคำสัญญาที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้จริง…ลูกเป็นฝ่ายผิด ! ”
“ใช่ เจ้าผิด ! แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่เขาจะมาต่อว่าเจ้า ! ไม่เห็นคนเป็นบิดาอย่างเปิ่นหวางอยู่ในสายตาหรือไร ? ” หมินอ๋องหันไปทอดพระเนตรนางด้วยดวงพักตร์เคร่งขรึม ก่อนจะเริ่มเปิดโหมดตำหนิ “ดูตัวเองสิ ! มีฟู่หวางอยู่ ไฉนเลยจะเปิดโอกาสให้เจ้าพุ่งออกไปอยู่ข้างหน้า ถ้าเกิด…ถุย ถุย ! ไม่มีถ้าเกิด…เพราะไม่ว่าอย่างไร ถ้าเจอสถานการณ์เหมือนวันนี้อีก ก็ยังมีฟู่หวางอยู่ ! เจ้าห้ามพุ่งออกไปเด็ดขาด จำได้หรือไม่ ? ”
“อ้อ ! เข้าใจแล้วเพคะ ! ” ในเวลานี้หลินเว่ยเว่ยต้องทำตัวเป็นเด็กดีให้มากที่สุดเข้าไว้ และนางยังเหลือบมองสีหน้าเจียงโม่หานเป็นครั้งคราวอีกด้วย เมื่อเห็นเขายังโมโหอยู่ นางก็ดึงมุมเสื้อของบัณฑิตน้อยแล้วแกว่งมันด้วยความออดอ้อน
หมินอ๋องลูบศีรษะน้อย ๆ ของนาง “เมื่อครู่ตกใจมากกระมัง ? ประเดี๋ยวกลับไปแล้วให้ห้องเครื่องต้มน้ำแกงสงบจิตใจให้เจ้าสักถ้วย…”
เจียงโม่หานนึกถึงตอนที่เด็กน้อยช่วยหมินอ๋องซื่อจื่อไว้ที่อำเภอเป่าชิง ตอนนั้นนางไข้ขึ้นกลางดึก เขาจึงหันไปมองนางด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย
หลินเว่ยเว่ยกะพริบตากลมโตแล้วพูดออกมาตามตรง “ที่จริง…ลูกยังไม่ทันได้กลัว เหตุการณ์ก็จบลงแล้ว ! พอมาคิดดูแล้วลูกก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้วเพคะ ! ”
นางเป็นอะไรไป ? เรื่องเสี่ยงอันตรายถึงขนาดนี้กลับพุ่งออกไปอย่างวู่วาม ? แถมยังใช้เสื้อคลุมกวาดลูกธนูด้วย…ต้องเป็นเพราะดูละครย้อนยุคในชาติที่แล้วมากไปหน่อย…โชคดีที่นางมีพละกำลังมหาศาลจึงหมุนเสื้อคลุมได้เร็ว ไม่อย่างนั้นนางจะต้องกลายเป็นตัวเม่นแน่นอน !
ต่อไปต้องคิดให้รอบคอบ จะทำตัวเป็นวีรสตรีโดยไม่คิดหน้าคิดหลังไม่ได้เด็ดขาด !
หลินจื่อเหยียนทิ้งภาพแผ่นหลังอันแสนคุ้นเคยนั้นไปและเข้ามาถามด้วยความห่วงใยว่า “พี่รอง ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม? เมื่อครู่ข้าตกใจมาก ! เหตุใดในกองทัพจึงมีคนอยากเอาชีวิตฮ่องเต้…”
“ชู่! ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องกังวล…กลับกันเถิด ! ” หลินเว่ยเว่ยแอบเหลือบมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยไอเย็นของเจียงโม่หาน จบกัน คราวนี้บัณฑิตน้อยโกรธจนควันออกหูแล้ว จะง้อเขาอย่างไรดี ?
นางไม่สนใจพระขนงที่ขมวดเป็นปมของหมินอ๋องและรีบเดินตามติดเข้าไปนั่งรถม้าคันเดียวกับเจียงโม่หาน นางย่อตัวนั่งลงข้างเขา จากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปเบียดข้างตัวเขา เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะหันมามองแม้แต่น้อย นางก็ยังขยับตัวเบียดเขาอีกสองสามครั้ง
หลินจื่อเหยียนทำท่าไม่อยากจะมองและพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “พี่รอง ท่านจะเบียดพี่เขยรองจนติดกับผนังรถม้าอยู่แล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยไม่สนใจน้องชาย นางกลอกตาไปมา ทันใดนั้นก็หยิบยาขี้ผึ้งของตนออกมาแล้วเริ่มร้องโอดครวญ “บัณฑิตน้อย ข้าเจ็บมือมากเลย เจ้ารีบดูให้ข้าหน่อยว่ามันบวมขึ้นหรือเปล่า ? ”
เจียงโม่หานไม่แสดงกิริยาใด เขาเบือนหน้าหนีนาง หลินเว่ยเว่ยร้องโอดครวญดังกว่าเก่า “ต้าฮว๋า เจ้าดูข้อมือของข้าสิ มันบวมขึ้นหรือเปล่า ? มือสังหารแรงเยอะมาก คงไม่ได้มีพละกำลังมหาศาลเหมือนข้าหรอกกระมัง ? ธนูดอกนั้นคงไม่ได้ทำร้ายถึงเส้นเอ็นหรือกระดูกของข้าใช่หรือไม่ ? ”
หลินจื่อเหยียนเข้ามาดูอย่างละเอียด “เหมือนจะ…บวมขึ้นเล็กน้อย พี่รอง ท่านเจ็บมากเลยหรือ ? ถ้าอย่างไรเรายังไม่กลับดีหรือไม่ ให้รถม้าไปที่โรงหมอกันก่อน ? ”
“โอ๊ย เจ็บ ! ฮือฮือฮือฮือ ! บัณฑิตน้อย ข้าเจ็บมาก…แต่น่าเศร้าที่ไม่มีใครสนใจ ! ” หลินเว่ยเว่ยทำตัวน่าสงสารและแสดงได้น่าเอ็นดูสุด ๆ
เจียงโม่หานรู้ว่านางกำลังเสแสร้งอยู่ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองบาดแผลบนมือของนาง…มือข้างนี้เคยบาดเจ็บเพราะตกหน้าผา ต่อมายังโดนเสือกัด คงไม่บาดเจ็บจนถึงเอ็นกระดูกจริงหรอกกระมัง ?
เขาไม่สนใจโทสะที่มีอีก แล้วยื่นมือไปจับมือของนาง จากนั้นแตะที่ข้อมือนางเบา ๆ หลังถอนหายใจแล้วก็ถามนางว่า “ทำแบบนี้เจ็บหรือเปล่า ? ”
จากท่าทางใกล้จะร้องไห้เต็มทนของหลินเว่ยเว่ยพลันถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม “แค่เจ้ายอมสนใจ ข้าก็ไม่เจ็บแล้ว ! ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีวันเมินข้าได้ ! ข้าขอสัญญาเลยว่าต่อไปจะไม่พุ่งออกไปเพราะความวู่วามอีก เจ้าอย่าโมโหเลย ได้หรือเปล่า ? ”
“คำสัญญาของเจ้า ข้าไม่กล้าเชื่อแม้แต่น้อย เจ้าลองคิดดูว่าเคยสัญญากับข้ามากี่ครั้งแล้ว ? ” เจียงโม่หานลูบที่รอยบวมแดงบนฝ่ามือของนางเบา ๆ…เจ็บ ? รู้ว่าเจ็บแล้วยังเสี่ยงชีวิตไปช่วยคนอื่น ? คราวนี้ยังดีที่แค่โดนลูกธนูเสียดสีจนเป็นรอยบวมเท่านั้น แต่ถ้าในห่าฝนธนูนั้นมีดอกหนึ่งหลุดออกมาแล้วปักที่ตัวนาง จะไม่ใช่แค่เจ็บธรรมดาแล้ว !
หลินเว่ยเว่ยชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว “ข้าขอสัญญากับเจ้า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ! จริง ๆ นะ ! ถ้าไม่เชื่อ เจ้าดูความจริงใจจากในแววตาข้าได้เลย ! ”
เจียงโม่หานมีแววตาหดหู่เล็กน้อย “ข้ารู้ว่าคำสัญญาของเจ้าในเวลานี้มาจากใจจริง แต่ทุกครั้งที่เรื่องอันตรายอยู่ตรงหน้า เจ้าก็ทิ้งคำสัญญาไว้ข้างหลังทันที…เจ้ารู้หรือเปล่า ? ครั้งที่เราไปชมดอกเหมยบนเขาแล้วเจ้าโดนเสือกัด ภาพที่เจ้ามีเลือดอาบไปครึ่งตัว ทำให้หัวใจของข้าแทบแตกสลายโดยพลัน ข้าแทบอยากกลายเป็นตัวเจ้าแล้วรับความเจ็บไว้แทน แล้วก็ยังมีเมื่อครู่อีก ถ้าไม่ได้มีชาวบ้านที่พากันวิ่งหนีขวางข้าไว้ ข้าจะต้องพุ่งออกไปขวางอยู่เบื้องหน้าของเจ้าแน่นอน ! เจ้าเอาแต่พูดว่าชอบข้า ต่อไปนี้เวลาที่จะเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายก็ช่วยคิดถึงความรู้สึกของคนที่รักเจ้าด้วย ! ”
หลินเว่ยเว่ยเข้าไปกอดแขนของเขา ร่างกายราวกับไร้กระดูกพลางรีบซบตัวลงที่ไหล่ของเขาทันที นางพูดออกมาอย่างคนว่านอนสอนง่าย “ข้าผิดไปแล้ว ! ต่อไปข้าจะจำให้ขึ้นใจว่าชีวิตไม่ได้เป็นของข้าคนเดียวแต่ยังเป็นของเจ้าด้วย อ้อ ยังมีคนที่รักข้าทั้งหมด เจ้าด่าข้าแรง ๆ สักยกเถิด หรือจะตีข้าก็ได้ แต่อย่าเมินเฉยต่อข้าเลย และไม่ต้องเก็บโทสะไว้ในใจด้วย มันจะทำลายสุขภาพเอาได้ ! ”
เจียงโม่หานถอนหายใจ เขาจะทำใจทุบตีหรือด่านางได้อย่างไร เขาไม่รู้จะทำอย่างไรกับนางแล้วจริง ๆ เจียงโม่หานยื่นมือไปลูบเส้นผมของนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ข้าจะโมโหเจ้าลงได้หรือ ? ข้าก็แค่โมโหที่ตัวเองไร้ความสามารถ ได้แต่มองเจ้าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงอันตรายทุกครั้งแต่ทำอะไรไม่ได้เลย เจ้าคิดว่าข้าล้มเหลวในฐานะลูกผู้ชายและคู่หมั้นหรือเปล่า ? ”