ตอนที่ 554 ร้ายกว่าเสือ ก็คือแม่เสือ
หมินหวางเฟยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมา…หรือนางจำผิดไปจริง ? ในความเป็นจริงแล้วนางคลอดบุตรสาว ? แต่ว่าเจียงโม่หานที่ทำให้นางรู้สึกสนิทใจและอยากเข้าใกล้นั้นเล่า เป็นใครกัน ?
หมินอ๋องระเบิดเสียงพระสรวลราวกับคนโง่และยังตรัสออกมาไม่หยุดว่า “บุตรสาวคนดี บุตรสาวคนดีของพ่อ ! ”
องค์ชายเจ็ดผู้สง่างามพลางสะบัดพัดที่ทำจากไม้หนานมู่เนื้อทองในพระหัตถ์และดำเนินเข้าไปหาหมินอ๋องซื่อจื่อ ก่อนจะตรัสพร้อมรอยยิ้ม “จินเฉิง ความรู้สึกที่โดนน้องสาวช่วยชีวิตไว้เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
หมินอ๋องซื่อจื่อกวาดตามองอีกฝ่ายเบา ๆ “ไม่รู้สึกอย่างไร ! เพียงแต่รู้สึกเสียใจที่ตอนนั้นไม่ทราบว่านางเป็นน้องสาว ต้องให้นางทนทุกข์อยู่นานถึงขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองนึกถึงตอนที่ได้พบเด็กสาวคนนี้ครั้งแรก เหตุการณ์ที่นางพยายามขายแมวป่าให้พวกตน…ทันใดนั้นหมินอ๋องซื่อจื่อก็หันไปมององค์ชายเจ็ด “แมวป่าที่พระองค์เลี้ยงไว้ที่เรือนพักตากอากาศตัวนั้น ขายให้กระหม่อมเสียเถิด”
แมวป่าตัวนั้น เป็นของที่น้องสาวเสี่ยงอันตรายจับมาจากในหุบเขา ได้ยินว่าหุบเขาด้านหลังหมู่บ้านของนางมีทั้งฝูงหมาป่า เสือดาวแล้วก็หมีควายอีกด้วย หมูป่าก็อยู่กันเป็นฝูง…ถ้าไม่ใช่เพราะยากจนไร้หนทางแล้ว ใครจะยอมเสี่ยงอันตรายเข้าไปล่าสัตว์ในป่า ?
“ได้อย่างไรเล่า ? กว่าเปิ่นหวางจะเลี้ยงมันจนโตก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังใช้มันสร้างบารมีได้มากด้วย ! ” ครั้งแรกที่องค์ชายเจ็ดจูงแมวป่าไปให้เหล่าพระสหายร่วมดื่มกินได้เห็น ดวงตาของพวกลูกพี่ลูกน้องเชื้อพระวงศ์และบุตรหลานขุนนางเหล่านั้นแทบจะถลนออกมา ทำให้พระองค์ดูมีบารมีสุด ๆ แมวป่าตัวนี้ทรงเลี้ยงมันด้วยหัวใจ แม้เสนอราคาเท่าไรก็ไม่ขาย
“จินเฉิง ถ้าเจ้าอยากเลี้ยงแมวป่า เจ้าก็ให้น้องสาวไปจับมาสักตัวสิ ! แม้แต่เสือนางยังฆ่ามาแล้ว…ฮึฮึ ร้ายกว่าเสือ ก็คือแม่เสือจริงด้วย ! ” องค์ชายเจ็ดคิดได้ว่าเด็กสาวตรงหน้าผู้นี้ แม้แต่มนุษย์โอสถก็ไม่กลัว…ยังเป็นสตรีอยู่หรือ ?
“แม่เสืออะไรหรือเพคะ ? ในตำหนักขององค์ชายเจ็ดมีแม่เสืออยู่ด้วยหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยคอยเดิมตามหลังหมินอ๋อง…เพื่อคารวะแขกทุกคน…บารมีนางไม่ใช่น้อย เพราะคนที่มาเยือนล้วนเป็นคนสำคัญที่สามารถสั่นคลอนราชสำนักได้ทั้งนั้น แต่จะให้พูดจริง ๆ ก็คือนางได้รับบารมีจากบิดา !
ในที่สุดก็มีโอกาสหนีออกมาได้ นางจึงเดินมาหาเจียงโม่หาน แต่ตอนเดินผ่านพี่ชายก็ได้ยินองค์ชายเจ็ดตรัสถึงแม่เสืออะไรสักอย่างเข้าพอดี จึงเข้ามาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
องค์ชายเจ็ดรวบเก็บพัดแล้วเหลือบมองนาง “พูดอะไรของเจ้า ? เปิ่นหวางยังไม่ได้อภิเษก แล้วจะเอาแม่เสือมาจากที่ใด ? ไม่ ไม่มีทาง ! เปิ่นหวางจะแต่งกับแม่เสือได้อย่างไร ? ! ”
หลินเว่ยเว่ยตกใจจนตาแทบถลนออกมา “ว่าอย่างไรนะเพคะ ? องค์ชายเจ็ดยังไม่ได้อภิเษก ? ”
นางทำเหมือนเห็นคนเปลือยเปล่ามายืนตรงเบื้องหน้า คล้ายกำลังบอกว่า ‘ท่านอายุขนาดนี้แล้วยังออกไปเที่ยวเล่นจนไม่ได้แต่งภรรยา ? ไม่เอาไหนเกินไปแล้วกระมัง ? ’
องค์ชายเจ็ดโมโหทันที พระองค์ใช้ด้ามพัดเคาะศีรษะนาง “นั่นคือสีหน้าอะไรของเจ้า ? เปิ่นหวางอายุเท่าพี่ชายของเจ้า เขาก็ยังไม่หาพี่สะใภ้ให้นี่ ? มีสิ่งใดน่าประหลาดใจ ? ”
“พี่ชายของหม่อมฉันแต่งงานช้าเพราะไปเฝ้าประจำการที่ชายแดน แล้วองค์ชายเจ็ดล่ะเพคะ ? หรือของพระองค์ล่าช้าเพราะดวงพักตร์อันงดงามของตน ? ” เมื่อฐานะของหลินเว่ยเว่ยเลื่อนขึ้นแล้ว ความใจกล้าของนางก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ตอนนี้ถึงขั้นกล้าล้อเลียนองค์ชายเจ็ด หมินอ๋องซื่อจื่อยืนอมยิ้มอยู่ด้านข้าง ท่าทางไม่คิดจะเข้ามาห้ามเลยสักนิด
องค์ชายเจ็ดยังใช้พัดเคาะศีรษะนาง “พูดให้ดีหน่อย สิ่งใดเรียกว่าล่าช้าเพราะใบหน้าอันงดงามของตน ? ถ้าอธิบายออกมาไม่ได้ เปิ่นหวางไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ ! ”
องค์รัชทายาทเห็นทั้งหมดสนทนากันอย่างสนุกสนานจึงเดินเข้ามาสมทบ เมื่อได้ยินแบบนั้นก็ตรัสขึ้นมาว่า “พี่ชายเจ็ด เว่ยเว่ยจวิ้นจู่ล่วงเกินพระองค์หรือไร ? เหตุใดจึงอภัยให้นางไม่ได้ ? ขอเตือนพระองค์ไว้เลยว่าเสด็จอาหมินอ๋องเป็นพวกชอบให้ท้ายบุตรที่สุด หากพระองค์คิดจะรังแกเว่ยเว่ยจวิ้นจู่ ก็ต้องถามกำปั้นเขาก่อนว่าเห็นด้วยหรือเปล่า ! ”
มุมโอษฐ์ขององค์ชายเจ็ดกระตุก “ข้ารังแกนาง ? เจ้าถามจินเฉิงสิว่าระหว่างพวกข้า ใครรังแกใครกันแน่ ? นาง…นางใจกล้ากว่าเดิมแล้ว ! กล้าล้อเลียนใบหน้าขององค์ชาย มีอย่างที่ไหนกัน ! ”
หลินเว่ยเว่ยแลบลิ้นให้อีกฝ่ายแล้วพูดต่อพร้อมรอยยิ้มสดใส “ไม่ใช่ล้อเลียน แต่ชมต่างหากเพคะ ! แบบองค์ชายเจ็ดนี้ไม่รู้ว่ามีคนอิจฉาริษยากันมากเพียงใดแล้ว ! ” ชมว่าหล่อยังไม่พอใจ ดัดจริต !
องค์ชายเจ็ดใช้พัดชี้นางแล้วแค่นสุรเสียงดัง ฮึ “เจ้าอธิบายออกมาให้ชัดเจน เหตุใดเปิ่นหวางต้องล่าช้าเพราะใบหน้าตัวเอง ? ”
หลินเว่ยเว่ยทำท่าทางเหมือนกำลังส่องกระจก “ก็พระองค์ได้เห็นดวงพักตร์เช่นนี้ทุกวันแล้ว พอหันไปมองสตรีรอบกายจึงไม่มีใครสู้ได้ ย่อมไม่อยากแต่งกับใครอยู่แล้วเพคะ…”
“รัชทายาท เจ้าฟังนางสิ คำพูดของนางน่าโมโหหรือเปล่า ? ” ทันใดนั้นดวงเนตรขององค์ชายเจ็ดก็เหลือบไปเห็นร่างอันสง่างามและหล่อเหลาจนไร้ที่ติ จึงเปลี่ยนมาแย้มพระโอษฐ์แทน “ใครบอกว่ายังมีคนสู้เปิ่นหวางไม่ได้ ? ก็มีแล้วคนหนึ่งไม่ใช่หรือ ? เขางดงามกว่าเปิ่นหวางเสียอีก แต่ก็ไม่ตาบอดจนมองไม่เห็นใครนี่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยมองไปทางเจียงโม่หาน ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขา “เขาจะตาบอดได้อย่างไรเพคะ ? บัณฑิตน้อยโดนเสน่ห์และบุคลิกของหม่อมฉันดึงดูด ! ที่เขาชอบคือจิตใจของหม่อมฉัน ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก…แน่นอนว่าความงดงามของหม่อมฉันก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่เลว ! ”
“จิตใจ ? เสน่ห์และบุคลิก ? เหตุใดเปิ่นหวางถึงมองไม่เห็นเลย ? ” องค์ชายเจ็ดมุ่ยพระโอษฐ์พลางกวาดดวงเนตรมองใบหน้านาง…เฮอะ! หน้าหนา ใบหน้าเช่นนี้อย่างมากก็บอกได้ว่าไม่น่าเกลียด ไฉนเลยจะพูดว่างดงามได้ ?
หลินเว่ยเว่ยเห็นความดูแคลนในสายพระเนตร รอยยิ้มที่มุมปากจึงจมลึกกว่าเดิม “ดังนั้นคนที่ตาบอดไม่ใช่เขา…” แต่จะเป็นใคร ? ไม่ต้องพูดก็น่าจะรู้ตัว !
“จินเฉิง เจ้าอย่าดึงเปิ่นหวางไว้…เปิ่นหวางอยากจะทุบคน ! ” องค์ชายเจ็ดคาดไม่ถึงว่าจะมีวันที่เถียงแพ้คนอื่นด้วย ทนไม่ไหวแล้ว พอพยัคฆ์ไม่แสดงบารมี จึงคิดว่าเปิ่นหวางเป็นแมวป่วยแล้วกระมัง !
หมินอ๋องซื่อจื่อจับไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้พลางเตือนว่า “องค์ชายเจ็ด หากกระหม่อมไม่ดึงไว้ คนที่จะโดนทุบจนหมอบไม่ใช่นางหรอก ! หรือพระองค์ร้ายกาจกว่ามนุษย์โอสถ ? ”
ทันใดนั้นการดิ้นรนขององค์ชายเจ็ดก็หยุดลง…เฮอะ ! อีกฝ่ายโหดถึงขั้นฆ่าเสือตายด้วยมือเปล่า แม้แต่ลูกธนูมาเป็นห่าฝนก็ยังทำนางบาดเจ็บไม่ได้ แล้วแขนขาน้อย ๆ ของพระองค์…คงโดนอัดแทน พอถึงเวลานั้นผู้ที่ต้องอับอายก็คือตัวเอง ฮึ เปิ่นหวางจะทนไว้ก็ได้ !
ฮองเฮาเห็นว่าทางนั้นสนทนากันอย่างสนุกสนาน จึงตรัสกับหมินหวางเฟยด้วยรอยยิ้ม “เด็ก ๆ คุยกันสนุกสนานเชียว เห็นพวกเขาสนิทสนมกันขนาดนี้ ข้าก็สบายใจ ! ”
องค์ชายเจ็ด: “…”
หมู่โฮ่ว ดวงเนตรข้างใดของพระองค์เห็นพวกเราสนิทสนมกันหรือ ? ไม่ทะเลาะก็ถือว่าดีเท่าไรแล้วพ่ะย่ะค่ะ !
ในที่สุดหลินเว่ยเว่ยก็ได้เข้ามาคุยกับบัณฑิตน้อย ดวงตาทั้งสองข้างของเจียงโม่หานเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เขามองนางอย่างอ่อนโยน “มีความสุขหรือเปล่า ? ”
“มีความสุขมาก ! ขอบใจเจ้า…” บัดนี้แม้แต่องค์ชายเจ็ด นางก็กล้าหาเรื่องแล้ว ใช้คำพูดของหมินอ๋องที่ว่าตอนนี้นางสามารถเดินวางอำนาจไปทั่วเมืองหลวงได้ ! เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะบัณฑิตน้อยช่วยวางแผนให้นาง…แม้ไม่รู้ว่าเขาไปพูดเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้ยอมได้อย่างไรก็เถิด
“เราสองคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ของข้าก็คือของเจ้าไม่ใช่หรือ ? ระหว่างเราจะพูดขอบใจอะไรกัน ? ” เจียงโม่หานนึกถึงพิธีหยดเลือดพิสูจน์ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเมื่อครู่จึงเข้าไปกระซิบถามข้างหูนางเบา ๆ “แต่ว่า…เหตุใดเลือดของเจ้ากับหมินอ๋องจึงรวมเข้าด้วยกันได้ ? คงไม่ใช่เพราะมีความลับใดแฝงอยู่หรอกกระมัง ? ”