ตอนที่ 558 นอกจากเจ้าแล้วคนอื่นก็เป็นแค่แป้งเนื้อหยาบ
“ใช่ ! ผู้หญิงของข้าจะขาดงานพิธีปักปิ่นซึ่งเป็นหนึ่งในงานสำคัญของช่วงชีวิตไปได้อย่างไร ? ” เจียงโม่หานมองกล่องไม้โบราณบนโต๊ะเขียนหนังสือ ด้านในเป็นของขวัญที่เขาเตรียมมาอย่างดี เขาคิดไว้แล้วว่าถึงจะไม่ได้กลับมาที่ตำหนักหมินอ๋อง แต่ก็จะให้นางมีงานฉลองวันเกิดอายุครบ 15 ปีที่สร้างความทรงจำอันงดงามจนยากจะลืมเลือน !
ตอนนี้นางกลายบุตรสาวตำหนักหมินอ๋องแล้ว ดังนั้นพิธีปักปิ่นจะต้องจัดให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม !
เมื่อหลินเว่ยเว่ยได้ยินแบบนั้นก็มีความสุขจนหุบยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงพิธีปักปิ่นอะไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก สิ่งสำคัญคือขอเพียงเจ้าอยู่เคียงข้าง ข้าก็มีโลกทั้งใบเป็นของตนแล้ว ! ”
“แต่ข้าหวังว่าโลกของเจ้าจะมีความสุขและมีสีสันมากกว่าเดิม ! ”
ชุนซิ่งฟังจนอ้าปากค้าง…สวรรค์ ! นี่ยังใช่เจียงเจี้ยหยวนผู้หยิ่งยโสอยู่หรือไม่ ? เวลาพูดออกมาก็สามารถทำให้คนฟังหน้าแดงและใจเต้นได้จริง ! รู้แล้วว่าเหตุใดจวิ้นจู่ของนางจึงรักเขามาก ! แบบนี้ใครจะต้านทานไหว !
เส้นผมสีดำขลับในมือแห้งแล้ว ทั้งนุ่มทั้งมันเงาราวกับเส้นไหม หลินเว่ยเว่ยใช้มือลูบผมของเขาอย่างหลงใหล เจียงโม่หานที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็เงยหน้ามองตามการลูบของนาง ดวงตาส่องประกายคล้ายดวงดาราภายใต้แสงเทียน
หลินเว่ยเว่ยจ้องริมฝีปากสีอมชมพูของเขา นางอดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากตัวเอง…ในสถานการณ์แบบนี้นางควรจะโน้มตัวลงไปกดจูบ แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นชุนซิ่งที่กำลังยืนมองอยู่ด้านข้าง สุดท้ายจึงอดกลั้นไว้ได้ เฮ้อ ! สาวใช้อะไรพวกนี้ช่างเป็นตัวยุ่งจริง ๆ ! เป็นเหมือนหลอดไฟดวงใหญ่ที่เฝ้าทำลายภาพฝันของนางหมด !
หลินเว่ยเว่ยย่อตัวนั่งบนเตียงของเจียงโม่หาน ก่อนจะถามเขาว่า “ในพิธีปักปิ่น ข้าจำเป็นต้องทำอะไรบ้าง ? ข้ากลัวว่าวันนั้นจะทำเรื่องขายหน้า ! ”
“ไม่ต้องกังวล พอถึงเวลานั้นเจ้าก็ทำตัวเป็นหุ่นเชิดที่ให้คนอื่นคอยบอกว่าต้องทำอะไร เจ้าก็ทำอย่างนั้นพอแล้ว ! แม้จะทำเรื่องขายหน้า ก็ไม่มีใครกล้าหัวเราะองค์หญิงเว่ยเว่ยของพวกเราหรอกพ่ะย่ะค่ะ ? ” เจียงโม่หานยกศอกวางพาดบนโต๊ะแล้วเอียงศีรษะมองนาง ผมยาวสยายคลุมแผ่นหลัง รูปหน้างดงาม ริมฝีปากชมพูระเรื่อ ฟันเรียงขาว ช่างเหมือนบุรุษที่แปลงเพศเป็นสตรีไม่ผิดเพี้ยน
เหมือนกำลังมองงานจิตรกรรมอันล้ำค่า หลินเว่ยเว่ยไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว แต่แล้วทันใดนั้นเองนางก็เหมือนจะคิดอะไรได้ “ฮ่องเต้แต่งตั้งให้ข้าเป็นองค์หญิง พอพวกเราแต่งงานแล้ว จะส่งผลต่ออนาคตของเจ้าหรือไม่ ? ”
“เหตุใดแต่งงานกับเจ้าแล้วถึงจะส่งผลต่ออนาคตของข้า ? ” มีความสงสัยปรากฎขึ้นในดวงตาอันเปล่งประกายของเจียงโม่หาน
หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้ว “ไม่ได้บอกว่าราชบุตรเขยจะมีตำแหน่งสำคัญในราชสำนักไม่ได้หรอกหรือ ? ”
เจียงโม่หานหัวเราะเบา ๆ ราวกับคลื่นเสียงน้ำพุหรือเสียงฉิน “เจ้าไปได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใด ? นี่เป็นกฎเก่าตั้งหลายปีมาแล้ว ? ถูกยกเลิกใช้นานแล้ว ทั้งยังมีแค่พระธิดาแท้ ๆ ของฮ่องเต้เท่านั้นที่มีสามีแล้วจะเรียกว่าเลือกราชบุตรเขย”
“อ้อ ! เป็นแบบนี้เอง ! ” หลินเว่ยเว่ยเกาศีรษะ ดูท่าทางแล้วโลกใบนี้จะไม่เหมือนกับยุคโบราณที่นางรู้จักมาในชาติก่อน นางฉีกยิ้มให้เจียงโม่หานอย่างขี้เล่น “ขอโทษที่ทำให้เจ้าเป็นราชบุตรเขยไม่ได้ ! ”
เจียงโม่หานเข้าใจอารมณ์ขันของนางภายในไม่กี่อึดใจ เขาตอบกลับนางว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะพยายามสร้างเกียรติยศ ‘จอหงวนฝูเหริน’ ให้เจ้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยมองโต๊ะที่วางบนเตียงแล้วก็เห็นว่าวางต้นฉบับเอาไว้ จึงถามเขา “เจ้าคิดจะตีพิมพ์ ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ นี้เมื่อใด ? ”
“สองสามวันนี้กระมัง ? ” เจียงโม่หานคำนวณเวลา ใกล้จะถึงเวลาแล้ว !
“ร้านหนังสือที่จะร่วมลงทุนด้วย เจ้าเลือกไว้แล้วหรือยัง ? ” หลินเว่ยเว่ยลองคิดดู ถ้าอย่างไรพรุ่งนี้ลองไปถามหมินอ๋องว่าร้านหนังสือร้านใดค่อนข้างจะทรงอิทธิพล ?
เจียงโม่หานชอบการสนทนารูปแบบนี้มาก เขาเอนหลังพิงเก้าอี้เบา ๆ แล้วพยักหน้าพูดว่า “มีแล้ว ! ร้านโม่เซียง (กลิ่นน้ำหมึก) ก็ไม่เลว นอกจากทั้งสามสาขาในเมืองหลวงแล้วยังมีอีกสิบสาขาที่กระจายไปทั่วเหนือใต้ ! และในเมืองเหอโจวก็มีสาขาหนึ่งด้วย ! ”
เบื้องหลังของร้านโม่เซียงคือท่านลุงขององค์รัชทายาท ท่านตาและท่านลุงเจ็ดขององค์รัชทายาทล้วนจบชีวิตลงในสงครามแบบวีรบุรุษ หลังจากราชวงศ์ต้าเซี่ยถูกสถาปนาขึ้นแล้ว ผู้ที่ร่วมก่อตั้งราชวงศ์เหล่านี้ล้วนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ของตน พระญาติขององค์รัชทายาทได้ถูกแต่งตั้งเป็นเจิ้นกั๋วกงลำดับสูงสุด ( เชื้อพระวงศ์ชายลำดับที่ 5 ) พร้อมกับของพระราชทานคือโล่ทองคำและสิทธิ์ให้การสืบทอดบรรดาศักดิ์จากรุ่นสู่รุ่นโดยไร้สิ้นสุด
หลังสนทนากับเจียงโม่หานได้สักพักหนึ่ง หัวใจที่กระวนกระวายของหลินเว่ยเว่ยก็ค่อย ๆ สงบลง นางนั่งแกว่งเท้าทั้งสองข้างอยู่ที่ขอบเตียง “บัณฑิตน้อย เจ้าคิดว่าตอนที่จ้าวชิงหลวนทำน้ำในชามของเต๋อฉวนกงกงคว่ำ นางไม่ได้ตั้งใจจริงหรือ ? หรือนางจะมีเจตนาแอบแฝงกันแน่ ? ”
แววตาของเจียงโม่หานดูเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย เขาหัวเราะเบา ๆ “คนผู้นี้เป็นเพียงบุตรสาวบุญธรรมของท่านอ๋องและยังออกเรือนไปแล้ว ไม่ส่งผลอะไรกับเจ้าได้หรอก หากนางตั้งใจก็จะมีคนย้ำเตือนฐานะของนางให้กระจ่างเอง ! ”
หลินเว่ยเว่ยยักไหล่ “ไม่รู้ว่าพวกคุณหนูเรือนหลังเหล่านั้นคิดอะไรกันอยู่ วันทั้งวันทำตัวเหมือนไก่ชน ไม่สู้ด้วยวิธีนั้นก็เอาอีกวิธีมาใช้แทน ไม่สร้างเรื่องขึ้นมาก็จะไม่มีความสุขหรือไร ถ้าไม่หวาดระแวงว่าจะโดนคนอื่นทำร้าย ก็คิดว่าคนอื่นจะแย่งสมบัติ ! ข้าคิดว่าเป็นเพราะว่างจนไม่มีอะไรทำ ! ลองให้ที่ดินพวกนางสักสองหมู่แล้วให้ ‘ตื่นแต่ฟ้าสางแล้วออกไปจับจอบจับเสียมทั้งวัน’ ก็ไม่ว่างจนมาคิดแก่งแย่งกันแล้ว ! ”
พอชุนซิ่งได้ยินแบบนั้น ในสมองก็มีภาพคุณหนูสกุลใหญ่ท่าทางอ่อนแอกลุ่มหนึ่ง พับแขนเสื้อขึ้นแล้วจับจอบจับเสียมพรวนดิน…ภาพงดงามเกินไป จนยากจะทนมอง ! ทว่าการกระทำในวันนี้ของคุณหนูชิงหลวนก็ทำให้คนอื่นสงสัยจริง ๆ หรือว่าคุณหนูชิงหลวนจะนึกสงสัยชาติกำเนิดของจวิ้นจู่ ? เต๋อฉวนกงกงคงไม่ได้ช่วยปลอมแปลงชาติกำเนิดให้จวิ้นจู่หรอกกระมัง ? คุณหนูชิงหลวนทำไปเพื่ออะไร ?
“ก็แค่กลุ่มก้อนแป้งเนื้อหยาบเท่านั้น ! ” ขณะมองคู่หมั้นของตน เจียงโม่หานก็ยิ่งรู้สึกว่านางไม่เหมือนสตรีอื่น…กระฉับกระเฉง เป็นธรรมชาติ จิตใจดี มีมือเท้าที่คล่องแคล่วและสมองที่ปราดเปรื่อง โชคดีที่เขารู้ใจตัวเองและจับนางหมั้นหมายไว้แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าตนจะโดดเด่นเหนือคุณชายในเมืองหลวงแล้วกลายเป็นคนที่นางเลือกได้
ชุนซิ่ง “…! ” คุณหนูผู้มากความสามารถและความงามในเมืองหลวงเหล่านั้นกลายเป็นเพียงแป้งเนื้อหยาบในสายตาของคุณชายเจียง ช่างหยาบคายเสียจริง ! ไม่รู้ว่าพอคุณหนูเหล่านั้นได้ยินแล้วจะรู้สึกอย่างไร ?
หลังจากมองสีท้องฟ้าแล้ว ชุนซิ่งก็มองไปยังหลินเว่ยเว่ยที่กำลังสนทนาอย่างสนุกสนานกับคุณชายเจียง พอลังเลได้พักหนึ่ง สุดท้ายนางก็ยังเลือกที่จะเอ่ยเตือนตามหน้าที่ “จวิ้นจู่ นี่ก็เย็นมากแล้ว ท่านว่า…”
หลินเว่ยเว่ยหันไปถลึงตาใส่นาง…สาวใช้อะไรกัน น่ารำคาญที่สุด ! ไม่เพียงทำตัวสะดุดตา แต่ยังทำให้หมดสนุกด้วย ! ชุนซิ่งเหลือบมองพื้นทันที นางรู้ว่าตัวเองถูกเกลียดเข้าแล้ว แต่สาวใช้คนสนิทก็มีหน้าที่ปกป้องชื่อเสียงของเจ้านาย หากเจ้านายทำผิดหรือพูดผิดก็ต้องเอ่ยเตือน…ฮือฮือฮือ ! เป็นสาวใช้ช่างยากนัก !
…
วันนี้ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ตามเจียงโม่หานออกไปข้างนอก พอหมินอ๋องทราบว่าบุตรสาวโดนเจ้าตัวแสบล่อลวงไป พระองค์ก็โมโหจนเสวยขนมไปถึงหนึ่งจาน ในที่สุดก็ทำให้จิตใจสงบลงได้ !
หมินหวางเฟยให้เหมยหยิงต้มน้ำแกงช่วยย่อยอาหารให้พระสวามีด้วยความรู้สึกทั้งขำและโมโห “พระองค์ก็เหลือเกิน ! บุตรสาวแค่ออกไปกับหานเอ๋อร์เท่านั้นเอง ไม่ได้หนีตามกันไปเสียหน่อย จะกริ้วทำไมเพคะ ? ”
หมินอ๋องตบโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์แล้วตรัสด้วยความโมโห “บุตรสาวแท้ ๆ ของข้าสนิทสนมกับเจ้าหน้าขาวนั้นยิ่งกว่าคนเป็นบิดาแท้ ๆ เสียอีก เจ้าคิดว่าน่าโมโหหรือไม่ ? ”