ตอนที่ 564 นี่คือแนวทางการเป็นแขกของพวกเจ้าหรือ?
หนิงหวางเฟยแย้มโอษฐ์ “องค์หญิงเว่ยเว่ยชวนแค่พี่สาวของเจ้า แม่ก็ไปไม่ได้แล้วจะพาเจ้าไปด้วยอย่างไร ? ”
โม่ชิงหยูเข้าไปจับแขนโม่ชิงหลีที่กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่หญิง พี่หญิงคนดี ! พาข้าไปด้วยเถิด ? ตอนท่านทำขนม ข้าช่วยท่านได้…”
“เจ้าจะช่วยอะไรได้ ? ช่วยกินน่ะหรือ ? ” โม่ชิงหลีเคาะหน้าผากน้องชายตัวแสบ “ข้า อาหญิงหลินและองค์หญิงเจียวเจียว หมายความว่าเป็นงานรวมตัวของพวกสตรี แล้วเด็กน้อยอย่างเจ้าจะตามไปเพื่ออะไร ? วันหน้าหากมีโอกาสแล้วนัดอาหญิงหลินออกไปเล่นข้างนอก ข้าค่อยพาเจ้าไปด้วยแล้วกัน ! ”
โม่ชิงหยูเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “พี่หญิงไม่รักหยูเอ๋อร์แล้ว ฮือฮือฮือ…”
โม่ชิงหลีหัวเราะร่า “พอแล้ว เลิกแกล้งร้องได้แล้ว ! พรุ่งนี้พอข้าเรียนทำขนมมาจากอาหญิงหลินแล้วจะห่อกลับมาให้เจ้ากิน แบบนี้พอใจหรือไม่ ? ”
“แบบนั้น…ก็ได้ พี่หญิงต้องตั้งใจเรียนให้ดี ! ” พอได้ยินว่ามีขนมกิน โม่ชิงหยูก็เปลี่ยนสีหน้าและน้ำเสียง ดวงตากลมโตดูไม่เปียกชื้นเลยสักนิด
หนิงหวางเฟยแตะจมูกน้อย ๆ ของบุตรชายด้วยความเหนื่อยหน่าย “เจ้านี่นะ ! คิดถึงอาหญิงหลินที่ไหนกัน ? เป็นเพราะคิดถึงขนมที่นางทำมากกว่า ? ”
โม่ชิงหยูเข้าไปซุกในอ้อมแขนฟู่หวางด้วยความเขินอาย “ขนมที่อาหญิงหลินทำอร่อยมาก แถมยังหาซื้อไม่ได้…ฟู่หวางคิดว่าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
หนิงอ๋องกอดร่างนุ่มนิ่มเอาไว้พร้อมขานรับว่า ใช่ ! หนิงหวางเฟยทอดพระเนตรด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บุตรสาวอ่านเทียบเชิญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังมีบุตรชายที่ถามฟู่หวางด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสานั่นอีก ทำให้นางไม่รู้สึกเศร้าสร้อยอีกต่อไป ตอนนี้นางแค่รอดูว่า ‘นัดหมายที่ตำหนักหมินอ๋องในวันพรุ่งนี้ของบุตรสาวจะราบรื่นและมีความสุขหรือไม่…’
เช้าตรู่ของวันต่อมา โม่ชิงหลีก็แต่งกายอย่างเต็มยศและถือของขวัญขึ้นรถม้าไปยังตำหนักหมินอ๋อง หนิงหวางเฟยส่ายดวงพักตร์ หลังส่งนางออกไปแล้วก็ถอนหายใจออกมา “ใครไปตามนัดหมายเช้าขนาดนี้กัน ? หากองค์หญิงเว่ยเว่ยอยากตื่นบรรทมสายขึ้นมา จะไม่เท่ากับไปรบกวนแทนหรือ ? ”
หนิงอ๋องเข้าตำหนักมาพร้อมชายา “ตอนอยู่บนเรือเจ้าเคยเห็นหลินกู่เหนียงนอนตื่นสายหรือไม่ ? กู่เหนียงคนนั้น ทำงานอย่างมีความสุขทุกวัน แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนนิสัยดี วางใจเถิด นางไม่มีทางรังแกบุตรสาวของเจ้าแน่นอน ! ”
หนิงหวางเฟยยังกังวลอยู่ “ไม่ทราบว่าองค์หญิงเจียวเจียวที่โดนตามพระทัยนั้นจะมีนิสัยอย่างไร หลีเอ๋อร์นิสัยตรงไปตรงมาเกินไป บางครั้งก็ไม่ระวังคำพูด หากล่วงเกินองค์หญิงน้อย…”
หนิงอ๋องครุ่นคิด “ในเมื่อหลินกู่เหนียงเข้ากับองค์หญิงเจียวเจียวได้ เช่นนั้นองค์หญิงก็คงไม่ได้เป็นคนที่คบหาด้วยยาก อีกอย่างก็มีหลินกู่เหนียงอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ ? ข้าเชื่อว่านางต้องมีความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างแขกทั้งสองได้แน่นอน…”
แม้จะตรัสแบบนั้นแต่หนิงอ๋องก็รู้สึกกังวลเช่นกัน หากองค์หญิงเจียวเจียวอยากขัดแย้งกับหลีเอ๋อร์ขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าหลินกู่เหนียงก็คงออกหน้าปกป้องหลีเอ๋อร์อย่างชัดเจนไม่ได้ ? ได้แต่หวังว่าหลีเอ๋อร์จะเก็บอารมณ์และเข้ากับองค์หญิงทั้งสองได้
ขณะที่บิดามารดาคู่นี้กำลังกังวล รถม้าสองคันก็เข้ามาจอดที่หน้าประตูตำหนักหมินอ๋องพร้อมกัน โม่ชิงหลีโดนสาวใช้ประคองลงจากรถม้า นางหันไปมองคนที่ลงจากรถม้าอีกคันด้วยความสงสัย…สาวน้อยหน้าหวานที่ดูมีอายุมากกว่าตัวเองเล็กน้อย
องค์หญิงเจียวเจียวถอดหมวกบนเสื้อคลุมออกด้วยความรำคาญ…เจ้าเสื้อคลุมตัวหนา เป็นของที่ฮองเฮากำชับนักหนาและใส่ให้นางด้วยพระองค์เอง เฮ้อ ! เป็นความหนาวรูปแบบหนึ่ง นั่นก็คือความหนาวที่หมู่โฮ่วจินตนาการไปเอง ! ตอนนี้มาถึงบ้านพี่เว่ยเว่ยแล้ว น่าจะถอดออกได้แล้วกระมัง ?
“องค์หญิงน้อยของหม่อมฉัน รอให้เข้าไปในตำหนักแล้วค่อยถอดสิเพคะ ! ระวังประชวรเอานะเพคะ ! ” ฮองเฮาไม่วางพระทัยให้องค์หญิงน้อยออกจากวังองค์เดียว จึงส่งแม่นมหนิงติดตามมาด้วย
องค์หญิงเจียวเจียวขมวดพระขนง ท่าทางอารมณ์เสีย หลังจากเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว โม่ชิงหลีก็อดไม่ได้ที่จะกังวลในการคบหากับองค์หญิงพระองค์นี้ขึ้นมา
เมื่อลังเลอยู่พักหนึ่ง นางก็รีบเดินเข้าไปเพื่อถวายพระพรองค์หญิงเจียวเจียว “โม่ชิงหลีบุตรสาวหนิงอ๋อง ขอถวายพระพรองค์หญิงเพคะ ! ”
“โม่ชิงหลี ? ” องค์หญิงเจียวเจียวหันมาทอดพระเนตรนางแล้วคลายพระขนงที่ขมวดมุ่นออก จากนั้นรีบวางมาดของชนชั้นสูงทันที “เจ้าก็มาตามนัดหมายของพี่เว่ยเว่ยด้วยหรือ ? ”
โม่ชิงหลีกลัวอีกฝ่ายไม่พอพระทัยที่อาหญิงหลินนัดคนอื่นมาด้วย จึงรีบทูลว่า “ชิงหลีไม่ทราบว่าอาหญิงหลินมีนัดกับองค์หญิง หม่อมฉันเพิ่งส่งเทียบเชิญให้ตำหนักหมินอ๋องเมื่อวาน…”
องค์หญิงเจียวเจียวทอดพระเนตรนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วถามว่า “อาหญิงหลิน ? เจ้ารู้จักกับพี่เว่ยเว่ยได้อย่างไร ? ”
โม่ชิงหลีพูดออกมาตามตรง โดยเล่าเรื่องตอนเดินทางมาเมืองหลวงแล้วบังเอิญเจอหลินเว่ยเว่ยบนเรือและเรื่องที่อาหญิงหลินดูแลพวกนาง…ให้องค์หญิงเจียวเจียวฟังทีละเรื่อง
องค์หญิงเจียวเจียวทอดพระเนตรนางด้วยความอิจฉา “เจ้าเดินทางจากหนิงโจวแห่งตะวันตกเฉียงเหนือมาทางเรือ ? ระหว่างทางคงเจอเรื่องน่าสนุกไม่น้อยกระมัง ? ” เฮ้อ น่าอิจฉาชะมัด ! สถานที่ไกลสุดที่พระองค์เคยไปเยือนในชีวิตนี้ก็คือเขตล่าสัตว์นอกประตูเมืองหลวง !
แม่นมหนิงเห็นองค์หญิงน้อยของตนกำลังยืนตากลมและสนทนากับจวิ้นจู่น้อยตำหนักหนิงอ๋องไม่หยุด จึงกังวลว่าจะประชวร แต่ยังไม่กล้าเข้าไปทำลายความสุขของเด็กสาวทั้งสอง ได้แต่ร้อนใจจนเหงื่อออกเต็มหลัง
ทันใดนั้นก็มีเสียงสวรรค์ของใครบางคนมาช่วยนางออกจากความทรมานนี้
“พวกเจ้าคิดจะคุยกันจนฟ้ามืดอยู่ที่หน้าประตูบ้านข้าเลยหรือ ? ยังจะทำขนมกันอีกหรือเปล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยยืนอยู่ข้างประตูพลางกอดอกมองแขกทั้งสองสนทนากันอย่างสนุกสนาน…พวกเจ้าไม่ได้มาเป็นแขกที่ตำหนักหมินอ๋องหรือไร ? กลับมายืนคุยกันเองเสียได้ ! นี่คือแนวทางการเป็นแขกของพวกเจ้าหรือ ?
“พี่เว่ยเว่ย ! ”
“อาหญิงหลิน ! ”
เด็กสาวทั้งสองพูดประสานเสียงและเดินเข้าไปพร้อมกัน ในเวลาเดียวกันก็มองหลินเว่ยเว่ยด้วยรอยยิ้มสดใส
หลินเว่ยเว่ยเดินลงจากบันไดแล้วเข้ามาจับมือทั้งสองคน “รีบเข้าไปเถิด ! คนที่ไม่รู้ก็คงเข้าใจผิดว่าตำหนักหมินอ๋องของพวกเราปฏิเสธให้องค์หญิงเจียวเจียวและจวิ้นจู่ตำหนักหนิงอ๋องเข้าบ้าน ! ไอโหยว มือน้อย ๆ เย็นหมดแล้ว ! ไป ไปทำให้ร่างกายอบอุ่นในตำหนักกันเถิด ! ”
แม่นมหนิงและสาวใช้ของโม่ชิงหลีพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที…องค์หญิงเว่ยเว่ยมาได้ทันเวลาพอดี !
แขกตัวน้อยทั้งสองเข้ามานั่งให้ห้องรับรองของหลินเว่ยเว่ย ในห้องรับรองได้ถูกทำให้อุ่นแล้ว อุณหภูมิภายในจึงอบอุ่นเหมือนอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ในที่สุดองค์หญิงเจียวเจียวก็สามารถถอดเสื้อคลุมที่แสนจะหนักไหล่ออกไปได้ !
ชุนซิ่งยกชาและขนมเข้ามา นางรู้ว่านายหญิงของตนไม่ชอบให้ข้ารับใช้คอยตามติด จึงเชิญแม่นมหนิงและจื่อเซียงสาวใช้ของโม่ชิงหลีไปพักผ่อนที่ห้องด้านข้าง
ทั้งสองมองไปทางนายหญิงน้อยของตน เมื่อเห็นความสนใจของนายหญิงน้อยทั้งสองถูกขนมบนโต๊ะดึงดูดไปแล้ว พวกนางก็หันมามองหน้ากันอย่างเหนื่อยหน่ายและเดินตามชุนซิ่งออกจากห้องรับรอง
“พี่เว่ยเว่ย นี่คือขนมอะไร ? ” องค์หญิงเจียวเจียวจ้องขนมทรงกลมสีเหลืองทองเล็ก ๆ บนถาดแล้วถามออกมาด้วยความสงสัย
หลินเว่ยเว่ยหยิบขึ้นมากัด ก่อนจะชี้ครีมที่ไหลออกมา “นี่เรียกว่าครีมพัฟ นอกจากไส้ดั้งเดิมที่อยู่ด้านในแล้วข้ายังทำไส้เฉ่าเหมย (สตรอเบอร์รี่) และหลานเหมย (บลูเบอร์รี่) อีกด้วย ดูจากภายนอกไม่เห็นอะไร แต่ด้านในสร้างความประหลาดใจให้พวกเจ้าได้ ! ”
โม่ชิงหลีเห็นอาหญิงหลินและองค์หญิงเจียวเจียวเริ่มกินแล้ว นางจึงเริ่มหยิบครีมพัฟขึ้นมาแล้วกัดชิมคำเล็ก ๆ ทันใดนั้นนางก็มีดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “อาหญิงหลิน ด้านในมีไส้สีแดง ๆ ด้วยล่ะ ! น่าจะเป็นรสเฉ่าเหมยใช่หรือไม่ ? ”