ตอนที่ 576 หากเป็นความฝัน ก็หวังว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาตลอดกาล
หลินจื่อเหยียนกลัวจริงๆ ว่านี่จะเป็นเพียงความฝัน การที่เขาร่ำเรียนมาอย่างยากลำบาก เหนื่อยจนแทบจะยอมแพ้ แต่เขากลับฝันว่าพี่รองที่โง่เขลาฟื้นจากอุบัติเหตุแล้วกลายเป็นอัจฉริยะผู้ทำได้ทุกอย่าง นำพาให้ครอบครัวร่ำรวย
ฝันว่าเจียงถงเซิงอัจฉริยะข้างบ้านกลายเป็นว่าที่สามีของพี่รอง คอยชี้แนะการเรียนให้แก่เขา ทำให้เขาได้เป็นซิ่วไฉตั้งแต่การสอบครั้งแรก นี่คือสิ่งที่เมื่อก่อนเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ !
ฝันว่าพี่เขยรองสามารถเลื่อนขั้นจากเจียงถงเซิงเป็นเจียงอั้นโฉ่วและเจียงเจี้ยหยวน แล้วพาเขากับพี่รองมาเป็นเพื่อนสอบที่เมืองหลวง ทำให้เขาได้พบกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง
ฝันว่าแท้จริงพี่รองของเขาเป็นบุตรสาวที่พลัดพรากไปหลายปีของหมินอ๋อง เพราะช่วยฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเอาไว้จึงถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงเว่ยเว่ย กลายเป็นหนึ่งในองค์หญิงเพียงสองพระองค์ของราชวงศ์ต้าเซี่ย
เขายังฝันอีกว่าตนได้เข้าวังไปกับพวกเจ้านายตำหนักหมินอ๋องเพื่อร่วมงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าอันยิ่งใหญ่ แม้ว่าอาหารในงานเลี้ยงจะเทียบชั้นกับฝีมือของพี่รองไม่ได้ แต่เมื่อเห็นฮ่องเต้และฮองเฮาผู้สูงส่ง เห็นเหล่าขุนนางขั้นสามขึ้นไปที่มาพร้อมกับฝูเหรินและบุตร ได้เห็นการแสดงอันยอดเยี่ยมของเหล่านางรำแห่งวังหลวง…
เขาแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นทุกสิ่งตรงหน้า เขาเป็นเพียงบัณฑิตยากจนจากชนบทคนหนึ่ง ทว่ามีวันที่ได้นั่งอยู่ในอุทยานหลวง นั่งอยู่ข้างกายหมินอ๋อง กินอาหารที่พ่อครัวจากห้องเครื่องจัดเตรียม ไม่ใช่ความฝันแล้วจะเรียกว่าอะไร ? พูดไปใครจะเชื่อ ?
นับตั้งแต่กลับจากวังหลวงมายังตำหนักอ๋องก็ได้นั่งร่วมโต๊ะกับหมินอ๋องและพระชายารวมถึงซื่อจื่อเพื่อกินหม้อไฟที่พี่รองเป็นคนทำ เขาจึงค่อย ๆ ได้สติขึ้นมาว่านี่ไม่ใช่ความฝัน เขาอยู่ที่ตำหนักหมินอ๋องจริง ๆ และเคยเข้าไปในวังหลวงแล้วด้วย !
หลินเว่ยเว่ยสงบนิ่งกว่าเขามาก เพราะงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าไม่ใช่การเข้าวังหลวงครั้งแรกของนาง หลังจากที่นางถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิงและต้องเข้าวังไปขอบพระทัย องค์หญิงเจียวเจียวก็ได้เชิญนางเข้าไปเที่ยวชมอุทยานหลวงและไม่ใช่เพียงครั้งเดียว
นอกจากนี้นางยังมีป้ายพระราชทานของฮ่องเต้ที่ทำให้สามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ สิ่งนี้สำหรับคนอื่นเป็นพระมหากรุณาธิคุณมากเพียงใด แต่สำหรับหลินเว่ยเว่ยแล้ว นางไม่เคยเป็นฝ่ายเข้าไปในวังเองแม้แต่ครั้งเดียว บางทีอาจเพราะชาติที่แล้วนางเคยดูละครโทรทัศน์ที่มีการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวงมากเกินไป นางจึงกลัวว่านิสัยไม่แยแสสิ่งใดของตนจะถูกคนในวังหลวงเอาไปหาประโยชน์และก่อให้เกิดหายนะขึ้นได้ นางพอใจกับชีวิตของตัวเองในเวลานี้ที่สุดแล้ว ไม่อยากให้ชีวิตมีเรื่องพลิกผันใดอีก ดังนั้นสถานที่อันตรายอย่างวังหลวงควรอยู่ห่างไว้เป็นการดีที่สุด !
ทว่าเมื่อหลินเว่ยเว่ยไม่เข้าไปในวังหลวง องค์หญิงเจียวเจียวจึงต้องเป็นฝ่ายมาหานางเอง ความถี่ในการมาที่ตำหนักหมินอ๋องขององค์หญิงเจียวเจียวทำให้ฮ่องเต้ถึงขั้นน้อยพระทัย เพราะแม้แต่วันสำคัญอย่างเทศกาลโคมไฟ องค์หญิงน้อยของพระองค์ก็ยังไม่อยู่เป็นเพื่อนในวังหลวง แต่ไปเดินชมงานเทศกาลโคมไฟกับพี่เว่ยเว่ยของนางเสียได้ !
ฮ่องเต้หยวนชิงรู้สึกเสียพระทัยที่ให้องค์หญิงเว่ยเว่ยปรากฎตัวต่อหน้าเจียวเจียวของพระองค์ เพราะนับตั้งแต่ได้พบกับหลินเว่ยเว่ยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือสายตาขององค์หญิงเจียวเจียวล้วนมีเพียงพี่เว่ยเว่ย บิดาอย่างพระองค์ในสายตาขององค์หญิงน้อยจึงไม่มีค่าอีกต่อไป !
ฮ่องเต้หยวนชิงข่มหทัยแล้วทำงานราชกิจจนเสร็จ ก่อนจะวางพู่กันบนโต๊ะทรงพระอักษรอย่างแรง พลางตรัสกับเต๋อฉวนที่โค้งตัวคอยปรนนิบัติอยู่ด้านข้างว่า “ไป ! ไปเดินชมงานเทศกาลโคมไฟเป็นเพื่อนเจิ้น ! ”
เต๋อฉวนกงกงตกใจขึ้นมาทันที ‘สวรรค์ ! งานเทศกาลโคมไฟมีผู้คนมากมาย เป็นโอกาสเหมาะในการลอบสังหาร ฝ่าบาทคงคิดว่าพระองค์มีพระชนมายุยืนนาน จึงจะพาองค์เองไปอยู่ในที่อันตรายเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ’
เต๋อฉวนกงกงกลอกตาไปมา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทูลฝ่าบาท ให้ไปทูลถามหมินอ๋องว่าสนพระทัยจะไปชมงานเทศกาลโคมไฟก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ไปถามเขาทำไม ? คนหยาบกระด้างอย่างเขาจะไปรู้อะไร ? ตอนนี้ในสายตาของเขาคงมีเพียงพระชายาเท่านั้น จะมีเวลามาสนใจเจิ้นได้อย่างไร ? ” ตรัสถึงหมินอ๋องแล้วฮ่องเต้หยวนชิงก็อดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา เมื่อก่อนเจ้านั่นเข้าวังแทบทุกวัน ตอนนี้มีครอบครัวสุขสันต์ ไฉนเลยจะยังจำคนหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างพระองค์ได้ ?
ไม่ใช่สิ ความอิจฉาตาร้อนเช่นนี้ของพระองค์ เหตุใดจึงเหมือนเหล่าสตรีในวังหลัง ? เพียงแค่หยูอันมีภรรยาอย่างนั้นหรือ ? แต่พระองค์ก็มีเช่นกัน ? !
“จงไปตำหนักคุนหนิงเพื่อทูลถามฮองเฮาว่าสนใจไปเดินชมงานเทศกาลโคมไฟกับเจิ้นหรือไม่ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงนึกถึงปีที่พระองค์และฮองเฮาเพิ่งอภิเษกสมรสกัน แทบทุกปีเมื่อถึงเทศกาลโคมไฟ ทั้งสองจะพากันออกไปเที่ยวเล่น ทายปัญหา ชมโคมไฟและทำเรื่องสนุกสนานต่าง ๆ ด้วยกัน คิดถึงช่วงเวลานั้นเหลือเกิน !
ผ่านไปไม่นานฮองเฮาก็เปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดธรรมดา แต่งกายเหมือนตอนที่ทั้งสองไปเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟทางเหนือไม่ผิดเพี้ยน ดวงพักตร์ของฮ่องเต้หยวนชิงเผยรอยแย้มพระโอษฐ์ออกมา ทว่าเมื่อเห็นองค์รัชทายาทที่อยู่ทางด้านหลังของฮองเฮาแล้วก็พลันเปลี่ยนเป็นรังเกียจขึ้นมาทันที
องค์รัชทายาท “…”
‘ฟู่หวง แววพระเนตรที่แสนรังเกียจและสีพระพักตร์ที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้เอ๋อร์เฉินสงสัยเหลือเกินว่ายังใช่โอรสแท้ ๆ ของพระองค์หรือไม่ ! ’
ส่วนหมินอ๋องที่เดิมทีคิดจะอยู่กับพระชายาเพียงลำพังนั้น เมื่อเห็นฮ่องเต้ ฮองเฮาและองค์รัชทายาทปรากฎตรงเบื้องหน้าก็พลันนิ่งงันไปทันที ‘เทศกาลสำคัญเช่นนี้ ครอบครัวของพวกพระองค์จะหยุดสร้างปัญหาให้ตำหนักหมินอ๋องหน่อยไม่ได้หรือ ? ’
หลังจากเห็นหมินอ๋องแล้ว เต๋อฉวนกงกงจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ‘มีเทพสงครามของต้าเซี่ยอยู่ด้วย ในที่สุดตนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทแล้ว อามิตตาพุทธ สหายย่อมร่วมเผชิญความลำบากไปพร้อมกัน หมินอ๋องก็เสียสละสักครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ ? ’
ฮ่องเต้หยวนชิงเห็นว่ามีเพียงหมินอ๋องและหมินหวางเฟยจึงตรัสถาม “เจียวเจียวกับเว่ยเว่ยอยู่ที่ใด ? ”
หมินอ๋องกลอกดวงเนตรเล็กน้อยพลางตอบไปว่า “พระธิดาของฝ่าบาทลากบุตรสาวของกระหม่อมไปชมโคมไฟแล้ว ส่วนบุตรชายของกระหม่อมเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกนางจึงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังมีเจ้าแซ่เจียงกับน้องชายของเว่ยเว่ยไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ฮองเฮาดึงมือของหมินหวางเฟยมากุมเอาไว้พลางตรัสอย่างคิดถึงว่า “จะว่าไปแล้วพวกเราสองพี่น้องก็ไม่ได้มาเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟด้วยกันสิบกว่าปีได้แล้วกระมัง มารำลึกความหลังกันหน่อยดีหรือไม่ ? ”
หมินอ๋องที่ปฏิเสธคำชวนของพวกเด็ก ๆ เดิมทีตั้งพระทัยที่จะเดินเที่ยวกับหมินหวางเฟยเพียงสองต่อสอง แต่คาดไม่ถึงว่าจู่ ๆ จะมีแขกไม่ได้รับเชิญทั้งสามโผล่เข้ามา จึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
แต่หมินหวางเฟยที่ชอบความครึกครื้นกลับรู้สึกว่าคนยิ่งเยอะยิ่งสนุก เป็นผลให้จากที่วางแผนเอาไว้เพียงสองคนก็กลายเป็นห้าคนทันที
ตลอดสองข้างทางของถนนเจิ้งหยางที่แสนพลุกพล่านล้วนประดับประดาไปด้วยโคมไฟระยิบระยับ โคมไฟกระต่ายขนาดเล็ก โคมไฟดอกบัวที่เสมือนจริง โคมไฟหมุนได้ที่วิจิตรงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โคมวังหลวง (โคมไฟหกหรือแปดเหลี่ยม) ที่วิจิตรตระการตาจนทำให้ตาลายไปหมด
ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินไหล่กระทบไหล่กันไปมา มีคนที่รู้หนังสือคอยทายปริศนาเพื่อปลุกความอยากรู้ของเหล่ากู่เหนียงน้อย มีคนธรรมดาที่พาภรรยา บุตรชาย บุตรสาว และครอบครัวออกมาเที่ยวเล่น มีสหายสามสี่คนเดินเที่ยวตามประสาคนหนุ่มและมีเหล่าพี่ชายที่คอยปกป้องน้องสาว…
ฮองเฮาและหมินหวางเฟยเดินจูงมือกันอยู่ด้านหน้าพลางชี้ไปยังโคมไฟตลอดสองข้างทางเป็นระยะ พร้อมพยักหน้าสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ฮ่องเต้และหมินอ๋องเดินเคียงข้างภรรยาของตน โดยเฉพาะหมินอ๋องที่คอยปกป้องพระชายาอยู่ตลอดเวลาเพราะเกรงว่านางจะถูกคนเบียด ส่วนองค์รัชทายาทก็คอยดำเนินตามหลังผู้อาวุโสและมีองครักษ์ของทั้งสองครอบครัวเดินรั้งท้าย ท่ามกลางฝูงชนที่แสนคึกคัก มีองครักษ์เงาแฝงตัวอยู่มากมายเท่าไรก็ไม่อาจทราบได้ !
หมินหวางเฟยหยุดฝีเท้าลงตรงเบื้องหน้าโคมไฟหมุนดวงหนึ่ง นางดูเหมือนสนพระทัยโคมไฟที่วิจิตรดวงนี้มาก หมินอ๋องจึงเอ่ยโดยไม่กะพริบดวงเนตรว่า “เถ้าแก่ โคมไฟนี้ข้าขอซื้อ ! ”
เถ้าแก่มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าคนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา แต่เขาก็ยังเผยสีหน้าลำบากใจออกมา “ต้องขออภัยด้วย โคมไฟดวงนี้เป็นรางวัลสำหรับทายปัญหา ดังนั้นจึงขายให้ไม่ได้ขอรับ !