ตอนที่ 585 ไม่ทรยศรักนี้ตลอดกาล
เมื่อเจียงโม่หานลองสอบถามจึงรู้ว่าแท้จริงห้องสอบของหยวนเจี๋ยตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาโดยเยื้องออกไปเพียงสองห้องเท่านั้น เอ่อ…เพราะความหิวกลับส่งผลกระทบต่อคะแนนสอบ เช่นนั้นก็หมายความว่ายังมีความรู้ไม่มากพอ ไม่หนักแน่นพอ !
เจียงโม่หานพักผ่อนอยู่ที่บ้านเช่าได้เพียงวันเดียวก็ถูกเรียกตัวไปที่ศาลต้าหลี่ สาเหตุเพราะผู้เข้าสอบที่ถูกกลิ่นอาหารจากหม้อไฟสำเร็จรูปทำพิษได้พากันไปฟ้องร้องเขาและเหล่าผู้คุมสอบ
แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังร้อนพระทัยเพราะเรื่องนี้ด้วย !
ผู้คุมสอบสมรู้ร่วมคิดกับผู้เข้าสอบเพื่อละเมิดกฎของสนามสอบอย่างโจ่งแจ้ง ? มันใช้ได้แล้วหรือ ? เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้เสด็จมาที่ศาลต้าหลี่เพื่อทำการสอบสวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง เมื่อจำเลยมาขึ้นศาลพร้อมกล่องเหล็กใบหนึ่ง ฮ่องเต้ก็ต้องเบิกดวงเนตรให้กว้างขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ “เจียงโม่หาน เหตุใดถึงกลายเป็นเจ้า ? ”
จากนั้นพระองค์ก็ดำริขึ้นได้ว่า ‘หรือหมินอ๋องกังวลว่าบุตรเขยจะลำบากในห้องสอบจึงเตรียมเส้นสายเอาไว้ ? ไม่ใช่กระมัง เพราะผู้ตรวจการในการสอบครานี้ไม่ถูกกับหมินอ๋อง ไม่ใช่หรือ ? ผู้ตรวจการคือใต้เท้าหลิ่วซึ่งเป็นขุนนางตงฉินผู้มีชื่อเสียง เขารับไม่ได้ที่พระองค์โปรดปรานหมินอ๋องจึงถวายฎีกาวิพากษ์วิจารณ์หมินอ๋องอยู่หลายครั้ง…แล้วสองคนนี้ไปรวมหัวกันตั้งแต่เมื่อใด ? ’
คดีความที่ไร้สาระเช่นนี้ พอเจียงโม่หานสาธิตวิธีใช้งานหม้อไฟสำเร็จรูป ความจริงปรากฏและทำให้ผู้เข้าสอบทั้งด้านในและด้านนอกศาลพากันตกตะลึง…นี่มันวิธีการน่าอัศจรรย์อันใดกัน ? ว่าอย่างไรนะ ? องค์หญิงเว่ยเว่ยแห่งตำหนักหมินอ๋องทรงคิดค้นขึ้นมาอย่างนั้นหรือ ? หากหม้อไฟสำเร็จรูปนี้เป็นที่นิยมแล้วจะเกิดประโยชน์ต่อเหล่าผู้เข้าสอบมากเพียงใด !
ฮ่องเต้ก็คิดว่าสิ่งนี้ไม่เลว ทั้งยังลองชิมข้าวที่ทำจากหม้อไฟสำเร็จรูปด้วยพระองค์เองอีกด้วย ก่อนจะตรัสถามออกมาอย่างประหลาดพระทัยว่า “เวลาสั้น ๆ เพียง 1 เค่อ เหตุใดจึงทำให้ข้าวสุกได้ ? ”
เจียงโม่หานอธิบายว่าข้าวนี้ไม่ใช่ข้าวธรรมดา ทว่าต้องผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การล้างน้ำ – การหุงสุก – ล้างน้ำอีกรอบ – การแช่แข็ง – การละลายน้ำแข็ง – การอบแห้ง เป็นต้น
ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรเขาอย่างแฝงความนัยแล้วตรัสว่า “องค์หญิงเว่ยเว่ยใส่ใจเจ้าถึงเพียงนี้ เจ้าอย่าทำให้นางเสียใจเด็ดขาด ! ”
เจียงโม่หานประสานมือคาราวะพลางทูลอย่างหนักแน่นว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ทำให้องค์หญิงเว่ยเว่ยเสียใจตลอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ตอนนี้เจียงโม่หานนับว่ามีชื่อเสียงในหมู่ผู้เข้าสอบขุนนาง ด้านองค์หญิงเว่ยเว่ยในช่วงนี้ก็เป็นที่พูดถึงในเมืองหลวงว่าเป็นบุตรีที่หมินอ๋องเพิ่งตามหาเจอ อีกทั้งยังเป็นคู่หมั้นของบัณฑิตยากจนผู้นี้ !
“หืม ? จำเลยที่โดนฟ้องร้องในศาลต้าหลี่เมื่อครู่ชื่อว่าอะไร ? ” บัณฑิตผู้หนึ่งได้สติขึ้นมาจึงเอ่ยถามบัณฑิตที่อยู่ด้านข้าง
“ชื่อเจียงโม่หาน ! เจ้าคงไม่ได้ทำข้อสอบจนสมองเลอะเลือนหรอกกระมัง ? แค่ชั่วอึดใจก็จำไม่ได้แล้วหรือ ? ” คนตอบอยากจะยื่นมือไปแตะหน้าผากของคนถาม คงไม่ได้เป็นไข้ใช่ไหม ?
“เจียงโม่หาน…เจียงโม่หาน…” บัณฑิตผู้นั้นพึมพำซ้ำไปซ้ำมา “ชื่อนี้ช่างคุ้นมาก…”
“เจียงโม่หาน ? ! ! ” ทั้งสองตะโกนออกมาพร้อมกันพลางสบตากันด้วย “เจียงโม่หานก็ไม่ใช่ปรมาจารย์ด้านคณิตศาสตร์ที่เขียนตำรา ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ และ ‘ชุดแบบทดสอบคณิตศาสตร์เก้าบท’ หรอกหรือ ? ”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ! เจ้าดูสิ ข้าพกตำรา ‘คำอธิบายเก้าบทสำหรับศิลปะคณิตศาสตร์’ ติดตัวมาด้วย ชื่อผู้เขียนคือเจียงโม่หานไม่ผิดแน่ ! ” บัณฑิตอีกคนนำตำราเล่มหนึ่งออกมา
ทั้งสองมองไปที่ชื่อในบทนำ “เจ้าช่างขยันจริง ๆ สอบเสร็จแล้วยังจะพกตำราคณิตศาสตร์ติดตัวมาอีก ! ”
บัณฑิตผู้นั้นยิ้มแห้งพลางเอ่ยว่า “ใช่ที่ไหนกันเล่า ! ในการสอบฮุ่ยซื่อมีคำถามข้อหนึ่งตรงกับในตำรานี้ไม่ใช่หรือ ? ข้าเรียนไม่เก่ง ทำข้อสอบไม่ได้ การสอบครั้งนี้ข้าจึงหมดหวังแล้วตัดสินใจจะกลับไปเรียนอีกสามปีและค่อยลงสอบใหม่อีกครั้ง ! ”
“ข้อที่เจ้าเอ่ยถึง ข้าตอบได้ด้วยและยังมีข้อหนึ่งที่เหมือนในแบบทดสอบโดยเปลี่ยนแค่ตัวเลขเท่านั้น โชคดีที่ข้าประหยัดค่าอาหารและเสื้อผ้าเพื่อไปซื้อแบบทดสอบนี้ ! ”
“ใช่ ใช่แล้ว…พวกเราเคยคาดเดากันว่าผู้เขียนตำราทั้งสองเล่มนี้เป็นปรมาจารย์ด้านคณิตศาสตร์ไม่ใช่หรือ ? เหตุใดถึงกลายเป็นบัณฑิตที่ร่วมสอบฮุ่ยซื่อกับเราเสียได้ ? ”
“หรือจะเป็นคนชื่อเหมือน ? ” บัณฑิตผู้หนึ่งพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะบัณฑิตในศาลต้าหลี่ผู้นั้นเพิ่งอายุเท่าไรกันเอง ยังไม่เข้าพิธีสวมกวานเลยกระมัง ? จะเอาความแตกฉานด้านคณิตศาสตร์ชั้นสูงขนาดนี้มาจากที่ใด ?
“เจ้าคิดว่าชื่อเจียงโม่หานเหมือนผักกาดขาวที่มีชื่อเรียกหลากหลายหรือไร ? จะมีชื่อที่ซ้ำกันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ ? ”
“แต่ว่า…เขาเป็นเพียงบัณฑิตที่ยากจนไม่ใช่หรือ ? ไปเรียนศาสตร์ตัวเลขมาจากที่ใดกัน มีทวยเทพมาเบิกเนตรให้รู้แจ้งอย่างนั้นหรือ ? ” บัณฑิตผู้หนึ่งเอ่ยเย้ยหยัน
“จะใช่เขาหรือไม่ ข้าก็ขอบคุณเจียงโม่หานผู้นั้น เพราะหากไม่มีเขาแล้ว โจทย์คณิตศาสตร์ในการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้ ข้าคงทำไม่ได้แน่นอน”
“ใช่ ใช่ ! เช่นนั้นเกรงว่าการสอบในปีนี้คงถูกลูกหลานตระกูลขุนนางยึดครองอำดับไปหมด ส่วนบัณฑิตยากจนอย่างพวกเรา…คงทำได้แค่มองตาปริบ ๆ เป็นแน่ ! ”
……
……
การเปิดศาลต้าหลี่ครั้งนี้มีที่มาประหลาดมาก ทั้งยังจบลงในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ แต่ชื่อเสียงของเจียงโม่หานกลายเป็นที่กล่าวถึงของเหล่าบัณฑิตมากมายตั้งแต่ก่อนจะประกาศรายชื่อเสียแล้ว
หลังจากนั้น ระหว่างที่เจียงโม่หานรอการประกาศผลสอบก็ได้ไปเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนความรู้ของบัณฑิตในเมืองหลวงพร้อมหยวนเจี๋ยและหยานจิงหยูประมาณสามสี่ครั้ง เขาสามารถประพันธ์บทกวีจนทำให้เหล่าบัณฑิตตกตะลึงได้หลายบท ส่งผลให้ชื่อเสียงของเขายิ่งโด่งดังมากขึ้นไปอีก !
วันที่ประกาศผลสอบคือวันที่หก เดือนสี่ เจียงโม่หานได้รับเชิญไปที่หอจอหงวน หลินเว่ยเว่ยและหลินจื่อเหยียนย่อมไม่พลาดวันสำคัญเช่นนี้จึงลุกขึ้นมาแต่งตัวเต็มยศตั้งแต่เช้า ก่อนจะทำการจองโต๊ะมุมในโถงของหอจอหงวนเอาไว้ ทั้งยังนำของว่างและชาที่เตรียมมาเองขึ้นไว้บนโต๊ะอีกด้วย
เจียงโม่หานไปรวมตัวกับหยานจิงหยู หยวนเจี๋ย บัณฑิตจากภาคเหนือรวมถึงบัณฑิตของเมืองหลวงที่เพิ่งรู้จักกัน จากนั้นจึงไปที่หอจอหงวนพร้อมกัน พวกเขาได้จองห้องที่หอจอหงวนเอาไว้หนึ่งห้อง
ทันทีที่ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา หลินเว่ยเว่ยก็จำคู่หมั้นหนุ่มที่อยู่ในกลุ่มบัณฑิตรูปร่างสูงใหญ่และท่าทางโดดเด่นได้ทันที นางลุกขึ้นยืนพลางโบกมือแรง ๆ “บัณฑิตน้อย ทางนี้ ทางนี้ ! ! ”
หยานจิงหยูและหยวนเจี๋ยมองเจียงโม่หานด้วยสายตาหยอกล้อ “น้องเจียง เจ้าจะไปที่ห้องกับพวกเรา หรือจะอยู่ที่ห้องโถงเป็นเพื่อน…น้องสะใภ้ ? ”
สีหน้าของเจียงโม่หานไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เพียงยิ้มเบาบางแล้วเอ่ยกับเหล่าบัณฑิตว่า “ห้องโถงนี้มีมุมที่ดีและสามารถทราบอันดับได้ทันที ไม่ทราบว่าพี่ชายทั้งหลายจะนั่งรอการประกาศผลด้วยกันหรือไม่ ? ”
หยานจิงหยูไม่รอให้คนอื่นเอ่ยปากก็แสดงความเห็นทันที “ถูกต้อง ! ห้องโถงนี้คึกคักจะตายไป ! ” เขาหรี่ดวงตาที่สั้นระดับ – 200 ของตน ก่อนที่สายตาจะหยุดลงที่ของว่างซึ่งวางอยู่เต็มโต๊ะของหลินเว่ยเว่ย เมื่อประเมินด้วยสายตาแล้วก็พบว่าเป็นของที่ไม่สามารถหาซื้อได้จากร้านเถียนมี่ฉือกวง !
บัณฑิตภาคเหนือส่วนใหญ่เคยพบหลินเว่ยเว่ยมาก่อน บัณฑิตจากเมืองหลวงต่างก็สบตากัน ท่านนี้คือองค์หญิงเว่ยเว่ยผู้โด่งดังอย่างนั้นหรือ ? ช่างสมกับที่เกิดในตระกูลแม่ทัพ ช่างแตกต่างยิ่งนัก ไม่มีท่าทางเขินอายเหมือนสตรีทั่วไปแม้แต่น้อย
เหล่าบัณฑิตทยอยนั่งลง หลินเว่ยเว่ยเอ่ยทักทายทุกคนอย่างกระตือรือร้น “เมื่อวานนี้ในวังได้พระราชทานกวางมาครึ่งตัว ข้าจึงเอามาทำเป็นเนื้อกวางแผ่น พวกท่านลองชิมสิว่ารสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
หยานจิงหยูและหยวนเจี๋ยเคยกินเนื้อแผ่นของร้านหนิงจี้ตอนอยู่ทางเหนือ จึงรู้ว่าของกินชนิดนี้เป็นสิ่งที่หลินเว่ยเว่ยถนัดที่สุด จึงหยิบคนละแผ่นอย่างไม่เกรงใจ หยานจิงหยูเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เนื้อแผ่นเช่นนี้ไม่ได้กินมาครึ่งปีแล้ว คิดถึงจริง ๆ ข้าไม่เกรงใจแล้วนะ ! ”
หลินเว่ยเว่ยเอ่ยว่า “เดือนหน้าร้านเถียนมี่ฉือกวงจะมีเนื้อหมูแผ่นออกมาใหม่ ไม่นานชาวเมืองหลวงก็จะสามารถซื้อเนื้อแผ่นได้แล้ว”
บัณฑิตเมืองหลวงที่สนิทสนมกับหยานจิงหยูและหยวนเจี๋ย ส่วนใหญ่มาจากครอบครัวชนชั้นขุนนาง หนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ร้านเถียนมี่ฉือกวงเพิ่งเปิดได้สามเดือนก็ขึ้นมาแทนที่เจ้าเก่าของเมืองหลวงอย่าง ‘ร้านเต้าเซียง’ จนกลายเป็นร้านขนมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน”